“การทดสอบนั้นง่ายมาก ในที่แห่งนี้มีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง ใครก็ตามที่สามารถขึ้นถึงยอดเขาและข้ามไปยังอีกฝากหนึ่งของภูเขาได้ จะถือว่าผ่านการทดสอบ” ฟู่เสี่ยวอวิ๋นกล่าว
แม้น้ำเสียงที่นางใช้พูดจะเรียบง่าย แต่แขกทุกคนต่างรู้สึกเคร่งเครียด
หากการทดสอบเข้าร่วมตระกูลฟู่เป็นการทดสอบที่ง่ายอย่างที่นางว่า ตระกูลฟู่จะเรียกว่าเป็นขุมอำนาจสามดาวได้อย่างไร?
แต่ในเมื่อฟู่เสี่ยวอวิ๋นไม่คิดอธิบายรายละเอียดอะไรมาก พวกเขาย่อมไม่กล้าเอ่ยถามและเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ เพราะอย่างไรเมื่อการทดสอบเริ่มขึ้น พวกเขาก็จะรู้เอง
แขกทุกคนออกจากพื้นที่พระราชวังไปยังอาณาเขตทางเหนือ อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของโลกจำลองในอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์นั้นเบาบางเป็นอย่างมาก เพราะงั้นเพียงแค่ก้าวเท้าไม่กี่ก้าว พวกเขาก็สามารถมาถึงที่หมายได้อย่างรวดเร็ว
ด้านหน้าพวกเขาปรากฏภูเขาลูกหนึ่ง ภูเขาลูกนี้มีความสูงราวๆพันฟุตและกว้างหลายหมื่นฟุต เพียงแต่สำหรับนิรันดณ์ระดับโลกียนิพพานเช่นพวกเขา การข้ามภูเขาขนาดแค่นี้จะไปยากอะไร?
“ทุกคนช่วยหยิบกระดาษไปคนละแผ่นด้วย เมื่อพวกท่านไปถึงยอดบนสุดของภูเขา ที่นั่นจะมีใครบางคนรอประทับตาลงบนกระดาษให้พวกท่าน” ฟู่เสี่ยวอวิ๋นกล่าวและมอบกระดาษ “สำหรับใครที่ไม่ได้รับตราประทับจากคนที่อยู่บนยอดเขา จะถือว่าไม่ผ่านการทดสอบ”
ทุกคนหันมองหน้ากัน แค่การได้รับตราประทับลงบนกระดาษ จะยากถึงขนาดนับว่าเป็นการทดสอบเลย?
ฟู่เสี่ยวอวิ๋นกล่าวต่อ “ข้าขอเตือนทุกๆท่านเอาไว้ก่อนว่าโลกแห่งวรยุทธนั้นโหดร้าย หากไม่รู้จักประมาณตนเองให้ดี อาจจะต้องนำชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
แค่การทดสอบเล็กๆน้อยๆนี้ สามารถทำให้พวกเขาเสียชีวิตได้เลย?
“ใครที่ไม่ต้องการเสี่ยงชีวิต ก็ไม่จำเป็นต้องทำการทดสอบ แต่หากใครที่ยังต้องการทดสอบ จะต้องเตรียมใจยอมรับความตายเอาไว้” ฟู่เสี่ยวอวิ๋นกล่าวอย่างเรียบง่าย “หากไม่มีคำถามก็ขอให้ทุกคนเริ่มการทดสอบได้”
แม้จะลังเลเล็กน้อย แต่แขกมากมายก็ก้าวเดินเข้าสู่ภูเขาโดยให้คู่หูที่มาด้วยรออยู่ที่นี่
หลิงฮันนำสตรีนกอมตะเข้าสู่หอคอยทมิฬ และก้าวเข้าสู่ภูเขาพร้อมกับจักรพรรดินีอย่างไม่รีบร้อน
ฟู่เสี่ยวอวิ๋นกล่าวเอาไว้ว่าขอแค่ได้ประทับตราลงบนกระดาษ และข้ามไปยังอีกฝากหนึ่งของภูเขาได้ก็ถือว่าผ่านการทดสอบ เพราะงั้นทั้งสองคนจึงไม่ต้องรีบเร่งไปแข่งขันกับใคร
เมื่อพวกเขาก้าวเท้าเข้าสู่พื้นของภูเขา หลิงฮันกับจักรพรรดินีก็เผยสีหน้าประหลาดใจ เนื่องจากความเร็วของพวกเขาถูกลดลงไปหลายส่วน
ตามหลักแล้ว โลกจำลองที่ถูกสร้างขึ้นมาจะมีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่เบาบาง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเหนี่ยวรั้งพลังของนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานเอาไว้ เพียงแต่ว่าภายในภูเขาลูกนี้กลับต่างออกไป อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของมันหนาแน่นยิ่งกว่าพื้นที่ทั่วไปของดินแดนแห่งเซียนในโลกภายนอกเสียอีก ซึ่งส่งผลให้ความเร็วของพวกเขาลดลงไปหลายร้อยเท่า
เพียงแต่ว่าตระกูลฟู่ได้ตั้งการทดสอบนี้ขึ้นมาเพื่อรับอัจฉริยะเข้าร่วมตระกูล ไม่ใช่เพื่อต้องการสังหารพวกเขา เพราะเหตุนั้นไม่ว่าอย่างไรนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานที่มีความสามารถ ก็ย่อมผ่านการทดสอบนี้ได้ ยิ่งหลิงฮันกับจักรพรรดินีบรรลุนิพพานด้วยวิธีการตัดขาดสวรรค์และปฐพี แถมยังมีพลังต่อสู้ที่ไร้เทียมทานในระดับสองนิพพานด้วยแล้ว พวกเขาจึงสมควรผ่านการทดสอบได้อย่างง่ายดาย
ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนความเข้าใจในศาสตร์วรยุทธกันระหว่างทาง
หลิงฮันได้มอบทักษะยุทธที่ได้มาจากราชานิรันดร์ว่านโซ่วให้แก่จักรพรรดินี หากจักรพรรดินีสามารถสั่งการร่างแยกแต่ละร่างให้สร้างสัตว์อสูรสงครามนับสิบขึ้นมาได้ พลังต่อสู้ของนางจะเพิ่มสูงขึ้นจนน่าสะพรึงกลัว
“หยุด!” ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั่นเอง จู่ๆบุรุษผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวด้านหน้าพวกเขา บุรุษผู้นี้สวมชุดราวกับยามคุ้มกันและถือกระบี่อยู่ในมือ “หากต้องการผ่านทาง พวกเจ้าต้องรับหนึ่งกระบี่ของข้าให้ได้เสียก่อน”
หลิงฮันกล่าว “แล้วถ้าทำไม่ได้ล่ะ?”
“นั่นหมายความว่าพวกเจ้ามีโชคชะตาที่จะไม่ได้ไปต่อ” บุรุษผู้ที่ขวางทางเอ่ยกล่าว “ข้าจะพยายามเมตตา ไม่โจมตีรุนแรงจนพวกเจ้าเสียชีวิต”
เพราะแบบนี้ฟู่เสี่ยวอวิ๋นถึงกล่าวเตือนสินะ ที่แท้รูปแบบของการทดสอบก็เป็นเช่นนี้เอง
หลิงฮันเผยรอยยิ้มและกล่าว “แล้วข้าสามารถลงมือโจมตีได้ด้วยหรือไม่?”
บุรุษถือกระบี่ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะและกล่าว “เจ้าเป็นคนที่เจ็ดที่ถามข้าแบบนั้น! แน่นอนว่าเจ้าสามารถตอบโต้ได้ แต่นั่นจะทำให้พลังป้องกันของเจ้าลดลง จนไม่อาจรอดชีวิตจากกระบี่ของข้า!”
“เจ้าเป็นนิรันดร์สองนิพพาน?” หลิงฮันเอ่ยถาม
บุรุษถือกระบี่ตอบกลับอย่างไม่คิดอะไร “ไม่ผิด ข้าคือนิรันดร์สองนิพพาน เพียงแต่เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าไม่ใช้พลังที่แท้จริงของข้าแน่นอน และจะควบคุมโจมตีให้อยู่ในระดับของหนึ่งนิพพาน”
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ข้าไม่ได้กังวล ที่ข้าถามเพราะเป็นห่วงเจ้าต่างหาก”
“เจ้าจะห่วงข้าทำไม?” บุรุษถือกระบี่ถามด้วยความสงสัย
‘ตูม’ ทันใดนั้นเอง จู่ๆจักรพรรดินีก็ปล่อยฝ่ามือเข้าใส่บุรุษตรงหน้า ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์และดวงดาวมากมายปรากฏออกมาจากอำนาจของตราประทับแห่งเต๋าบนฝ่ามือ
บุรุษถือกระบี่ตกตะลึง แต่ในขณะที่เขากำลังจะกวัดแกว่งกระบี่ เพื่อรับมือไปตามสัญชาตญาณนั่นเอง ความรู้สึกลังเลก็ผุดขึ้นมาในจิตใจของเขา
ฝ่ามือนี้น่าสะพรึงกลัวเกินไป!
เขาเกรงว่าหากทุ่มพลังไปกับการตอบโต้ เขาอาจจะตายเพราะไม่เหลือพลังเอาไว้ป้องกัน
หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ บุรุษถือกระบี่ก็ล้มเลิกความคิดที่จะตอบโต้ และนำกระบี่มาบังที่หน้าอกเพื่อป้องกันฝ่ามือที่พุ่งเข้ามา
ปัง!
ฝ่ามือของจักรพรรดินีปะทะเข้ากับตัวกระบี่ บุรุษถือกระบี่ถูกส่งลอยถอยหลังหลายก้าว ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นซีดขาวและกระอักโลหิตออกมา
“นี่ล่ะคือสิ่งที่ข้ากังวลว่าจะเกิดขึ้นกับเจ้า” หลิงฮันกล่าวปิดท้าย
ถึงแม้บุรุษที่ปรากฏตัวขวางทางพวกเขาจะเป็นนิรันดร์สองนิพพาน แต่อีกฝ่ายก็เป็นเพียงยามคุ้มกันของตระกูลฟู่ ซึ่งไม่มีศักยภาพของราชา แต่ในทางตรงกันข้าม พลังต่อสู้ของจักรพรรดินีนั้น สามารถกล่าวได้ว่าไร้เทียมทานแม้จะเป็นในระดับสองนิพพาน ซึ่งเทียบได้กับเป่ยเสวียนหมิง ไม่มีทางอยู่แล้วที่นิรันดร์สองนิพพานทั่วไปจะต้านทานไหว
บุรุษขวางทางพ่ายแพ้ในหนึ่งกระบวนท่า!
เขาจ้องมองไปยังจักรพรรดินีด้วยแววตาเบิกกว้าง ใครจะไปทำใจเชื่อได้ว่านิรันดร์หนึ่งนิพพาน จะสามารถเอาชนะนิรันดร์สองนิพพานเช่นเขาได้ง่ายดายขนาดนี้? หากไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง แต่มีคนอื่นบอกเขา เขาคงจะคิดว่าเป็นเพียงเรื่องล้อเล่นแน่ๆ
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ต่อไปก็ข้าสินะ”
บุรุษถือกระบี่ฝืนลุกขึ้นยืน แม้หน้าอกของเขาจะรับแรงกระแทกอันหนักหน่วงมา แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ต้านไหว เขาเชื่อว่าต่อให้ตนเองได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ด้วยพลังบ่มเพาะระดับสองนิพพาน ก็ยังเพียงพอที่จะใช้ทดสอบจอมยุทธหนึ่งนิพพานทั่วไปอยู่ดี
“สามีของข้าแข็งแกร่งกว่าข้า” จักรพรรดินีกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแส นางไม่ได้คิดจะโอ้อวดแต่แค่บอกความจริง
บุรุษถือกระบี่หวาดกลัวจนตัวสั่น ‘ตุบ’ มือของเขาไร้เรี่ยวแรงจนกระบี่ร่วงลงไปที่พื้น
เขายังไม่อยากตายก่อนวัยอันควร!