ชายหนุ่มชุดขาวรีบพยายามทำให้ท่วงทำนองของตัวเองกลับคืนมา หากมีใครรู้ว่าตัวเขา ‘ฟู่เกาหยุนผู้เป็นอัจฉริยะแห่งเสียงบรรเลง’ ถูกใครอื่นทำให้ท่วงทำนองเสียจังหวะล่ะก็ เขาจะต้องพบกับความอับอายเพียงใด?
เพียงแต่ว่าแม้ท่วงทำนองการตีชามของหลิงฮันจะมั่วซั่ว แต่อำนาจในการลุกล้ำจิตใจกลับรุนแรงจนฟู่เกาหยุนไม่สามารถเล่นท่วงทำนองของตนเองได้
ฟู่เกาหยุนรู้สึกอัปยศเป็นอย่างมาก เขาไม่สามารถควบคุมท่วงทำนองของมือทั้งสองได้เลยแม้แต่นิดเดียว และทำได้เพียงเล่นตามจังหวะทำนองของหลิงฮัน
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “แบบนี้ข้าถือว่าผ่านการทดสอบรึเปล่า?”
ตัวเขานั้นไม่รู้วิธีการบรรเลงบทเพลงเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ด้วยอำนาจจิตวิญญาณที่ทรงพลังของเขา ทำให้ท่วงทำนองที่บรรเลงออกไปสามารถส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณของผู้ฟังได้
หากเป็นในเรื่องของความมั่นคงของจิตใจแล้ว ฟู่เกาหยุนไม่สามารถเทียบเขาได้เลยแม้แต่น้อย ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นนิรันดร์สองนิพพานก็ตามแต่
ฟู่เกาหยุนกัดฟันและกล่าว “ก่อนอื่นใด เจ้าต้องถูกข้าทุบตีเสียก่อน!”
เขาทนไม่ไหวอีกต่อไป ในศาสตร์ของการบรรเลงบทเพลงแล้ว เขาคือคนที่อัจฉริยะที่สุดของตระกูลฟู่ จึงไม่อาจยอมรับความอัปยศครั้งนี้ได้
ฟู่เกาหยุนกล่าวอย่างมั่นใจ “เจ้าต้องรับสามกระบวนท่าของข้า”
‘พรึบ’ ฟู่เกาหยุนชี้นิ้ว คลื่นวายุที่พัวพันไปด้วยแสงอำนาจสีทองถูกปลดปล่อยเข้าใส่หลิงฮัน
หลิงฮันยิ้มและชี้นิ้วออกไปเช่นกัน ‘พรึบ’ คลื่นพลังที่เย็นยะเยือกเกินพรรณนาถูกปลดปล่อยออกไป ความเย็นยะเยือกนี้ต่อให้เป็นนิรันดร์สองนิพพานก็ไม่อาจหนีพ้นถูกแช่แข็ง!
‘แกร่ก แกร่ก แกร่ก’ คลื่นพลังสีทองของฟู่เกาหยุนถูกแช่แข็งและแตกสลายเป็นชิ้นๆในพริบตา
ฟู่เกาหยุนเผยสีหน้าตกตะลึง อีกฝ่ายต้านทานการโจมตีของเขาที่เป็นนิรันดร์สองนิพพานขั้นปลายได้!
รุ่นเยาว์ผู้นี้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว!
ฟู่เกาหยุนคำรามและไม่คิดจะออมมืออีกต่อไป มือสองข้างของเขานำดาบเล่มยาวสองเล่มออกมากวัดแกว่ง และพุ่งทะยานจู่โจมหลิงฮัน
หลิงฮันรับมือกับดาบของฟู่เกาหยุนด้วยมือเปล่า กายหยาบของเขาในตอนนี้มีความทนทานเทียบเท่าแร่โลหะกึ่งนิรันดร์สองดาวครึ่ง ต่อให้เป็นการโจมตีของนิรันดร์สามนิพพาน หรืออุปกรณ์กึ่งนิรันดร์สองดาวก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาบาดเจ็บ
ดาบในมือของฟู่เกาหยุนคืออุปกรณ์กึ่งนิรันดร์สองดาว ใบดาบนั้นทั้งแหลมคมและมีพลังทำลายที่น่าสะพรึงกลัว หากถูกคมดาบในมือทั้งสองข้างนี้กวัดแกว่งเข้าใส่ ต่อให้เป็นนิรันดร์สองนิพพานก็ยากที่จะมีชีวิตรอด
เพียงแต่ว่าต่อหน้าหลิงฮันแล้ว พลังเท่านี้ยังไม่เพียงพอ
ทั้งสองปะทะกันอย่างดุเดือด ในระยะเวลาอันสั้นคงยากที่จะบอกได้ว่าฝ่ายไหนที่เหนือกว่า
ฟู่เกาหยุนตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขาคืออัจฉริยะที่บรรลุขีดจำกัดสูงสุดแท้จริงในระดับวารีนิรันดร์ด้วยดวงดาวหนึ่งล้านดวง และบรรลุระดับโลกียนิพพานด้วยการตัดนิพพานที่สมบูรณ์ กล่าวคือในระดับโลกียนิพพานเขาสมควรไร้พ่ายในระดับเดียวกัน
แต่ทว่าเหตุใดจอมยุทธที่เพิ่งจะทะลวงผ่านเป็นนิรันดร์หนึ่งนิพพานสำเร็จถึงสามารถต่อสู้กับเขาได้อย่างไรสูสีกัน? เดี๋ยวก่อน… ไม่ใช่ว่าหากรุ่นเยาว์ผู้นี้บรรลุเป็นนิรันดร์หนึ่งนิพพานขั้นสูงสุดล่ะก็ อีกฝ่ายจะสามารถกำราบเขาได้อย่างง่ายดายเลยหรอกรึ?
“จะ… เจ้าบรรลุระดับโลกียนิพพานด้วยวิธีตัดขาดสวรรค์และปฐพี!” จู่ๆเขาก็ตระหนักถึงความเป็นไปได้นี้ขึ้นมา หากไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้ล่ะก็ ไม่มีทางที่นิรันดร์หนึ่งนิพพานจะมีพลังต่อสู้ราวกับสัตว์ประหลาดได้ขนาดนี้
หลิงยิ้มและกล่าว “จะต่อให้ครบสามกระบวนท่ารึเปล่า?”
ฟู่เกาหยุนหยุดลงมือและกล่าว “พอกันที ข้าไม่สู้แล้ว เจ้ามันเป็นประหลาดเกินไปจนข้าไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะได้รึไม่”
แต่ไม่อาจเอาชนะก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสังหารหลิงฮันไม่ได้ ทักษะลับบางอย่างนั้นแม้จะใช้ออกไปจะส่งผลกระทบต่อตัวเองด้วย แต่ก็สามารถใช้บดขยี้ศัตรูได้อย่างสิ้นซาก
“ไปดื่มกันเถอะ” ฟู่เกาหยุนเดินเข้ามาโอบไหล่หลิงฮันอย่างใกล้ชิด การกระทำของเขาส่งผลให้จักรพรรดินีไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก และลงมือจู่โจมทันที
“ฮึ่ม!” ฟู่เกาหยุนอุทานออกมา ก่อนจะเข้าปะทะในระยะประชิดกับจักรพรรดินี
เพียงไม่กี่ลมหายใจทั้งสองคนก็ได้แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันไปนับพัน โดยจักรพรรดินีเป็นฝ่ายเสียเปรียบเล็กน้อยแต่ก็ไม่รู้สึกหวาดหวั่น
“บ้าชัดๆ!” ดวงตาของฟู่เกาหยุนแทบจะถลนออกมา จักรพรรดินีเองก็ต้องบรรลุระดับโลกียนิพพานด้วยวิธีตัดขาดสวรรค์และปฐพีเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นนางคงไม่สามารถต่อกรกับเขาที่เป็นถึงนิรันดร์สองนิพพานขั้นปลายได้
ต่อหน้าสัตว์ประหลาดสองคนนี้ ใครจะยังกล้าเรียกตนเองว่าอัจฉริยะ?
“ชื่อของข้าคือฟู่เกาหยุน ไม่ทราบว่าน้องชายมีชื่อว่าอะไร?” ฟู่เกาหยุนกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง โดยไม่ถือว่าตนเองมาจากตระกูลที่สูงส่ง
“我叫傅高云,兄弟你怎么称呼?”傅高云显得十分随意,丝毫没有世家子弟的架子。
“หลิงฮัน ส่วนภรรยามีชื่อว่าหล่วนซิง” หลิงฮันแนะนำตัว
ฟู่เกาหยุนพยักหน้าและไม่ไปโอบไหล่หลิงฮันเหมือนก่อนหน้านี้ “น้องชายหลิงฮัน พลังต่อสู้ของเจ้านั้นน่าอัศจรรย์อย่างแท้จริง แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ ข้าต้องแก้ไขทักษะบรรเลงบทเพลงอันห่วยแตกของเจ้า!”
หลิงฮันหัวเราะ นอกจากบ่มเพาะพลังแล้ว สิ่งที่เขาชื่นชอบก็มีเพียงการปรุงยาเท่านั้น เขาไม่สนใจที่จะฝึกฝนทักษะบรรเลงบทเพลงแม้แต่นิดเดียว
ตราบใดที่ฟู่เกาหยุนไม่ทำตัวใกล้ชิดหลิงฮัน จักรพรรดินีก็ไม่คิดจะลงมือ ทั้งสามคนเดินลงมาจากยอดเขาพร้อมกัน ซึ่งหลิงฮันก็ได้นำสตรีนกอมตะออกมาจากหอคอยทมิฬ และแนะนำให้ฟู่เกาหยุนรู้จัก
ฟู่เกาหยุนนั้นเปรียบกับหลิงฮันเหมือนเป็นน้องชาย เพราะงั้นในฐานะที่สตรีนกอมตะเป็นน้องสะใภ้ เขาจึงแสดงท่าทีของพี่ใหญ่อันสูงส่งออกมา
“หืม ท่านพี่ ทำไมท่านถึงได้ลงมาพร้อมกับพวกเขาล่ะ?” ฟู่เสี่ยวอวิ๋นนั้นข้ามมาอยู่อีกฝั่งของภูเขาเพื่อรอพบผู้ผ่านการทดสอบ เมื่อเห็นว่าฟู่เกาหยุนเดินเคียงข้างมากับพวกหลิงฮันสามคน นางก็แสดงท่าทางประหลาดใจออกมาอย่างปิดไม่มิด
เท่าที่นางจำความได้ พี่ชายของนางมีนิสัยที่หยิ่งทะนงเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครอยู่ในสายตาของเขามาก่อน แต่เหตุใดตอนนี้พี่ชายของนางถึงได้เดินหัวเราะพูดคุยอยู่กับหลิงฮันอย่างสนิทสนมกัน?
ฟู่เกาหยุนยิ้มและกล่าว “ข้านับว่าเขาเป็นน้องชายของข้าแล้ว ไม่เห็นจะแปลกหากข้าจะพาเข้าลงมาส่งด้วยตัวเอง!”
นับเป็นน้องชาย?
ท่านรู้จักเขานานขนาดไหนกัน ถึงได้เรียกอีกฝ่ายว่าน้องชาย?
เป่ยเสวียนหมิงที่อยู่ด้านข้างเผยสีหน้าไม่สบอารมณ์ทันที ตัวเขานั้นเคยจงใจตีสนิทเพื่อชนะใจฟู่เกาหยุนมาแล้วหลายครั้ง แต่อีกฝ่ายก็ไม่เคยคิดจะแยแสเขาเลยแม้แต่น้อย
เจ้าเป็นคนที่หยิ่งทะนงมากไม่ใช่รึไงกัน? แต่เหตุใดเจ้าถึงได้เดินหัวเราะมากับเหล่าหนอนแมลงด้วยท่าทางสนุกสนานเช่นนั้น? นี่เจ้าจงใจหักหน้าข้าใช่หรือไม่?
“หลิงฮัน มาประลองกับข้าอีกครั้ง!” ทันใดนั้นเอง จู่ๆเซียวเซิ่งก็ตะโกนแทรกเข้ามา