เซี่ยงเหยี๋ยนแทบจะบ้าคลั่ง ในขณะที่ฟู่เก่าหยุนรู้สึกเศร้าสลด เขาจำได้เป็นอย่างดีว่า ตัวเขาเองนั้นเคยร้องขอให้อีกฝ่ายรับเป็นศิษย์มาแล้วมากมายกี่ครั้ง ซึ่งทุกครั้งเซี่ยวเหยี๋ยนก็ปฏิเสธอย่างไม่แยแส แต่ตอนนี้เหตุการณ์ตรงหน้ากลับกลายเป็นว่า เซี่ยงเหยี๋ยนกำลังพยายามขอให้หลิงฮันมาเป็นศิษย์ของตน และหลิงฮันได้ปฏิเสธอย่างไม่แยแส
สถานการณ์ที่กลับตาลปัตรเช่นนี้ทำให้เขาแทบจะร้องไห้ออกมา
“ข้าก็ยังไม่เห็นด้วยอยู่ดี ด้วยพรสวรรค์ในการเข้าถึงอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เปลวเพลิงที่ยอดเยี่ยมขนาดนั้น หากไม่มาเป็นนักปรุงยาพรสวรรค์ของเจ้าจะกลายเป็นเสียเปล่า!” เซี่ยงเหยี๋ยนส่ายหัว เขาไม่ต้องการปล่อยให้อัจฉริยะเช่นนี้หลุดมือไป
หลิงฮันหัวเราะและกล่าว “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องไปตระกูลฟู่อยู่แล้ว หากมีเวลาหลังจากบ่มเพาะพลัง ข้าจะไปขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสแล้วกัน”
ต่อหน้าปรมาจารย์นักปรุงยาที่สูงส่ง เจ้ายังกล้าต่อรองอีก?
แต่ถึงแม้หลิงฮันจะปฏิเสธ ฟู่เกาหยุนและฟู่เสี่ยวอวิ๋นก็ยังรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากอยู่ดี เพราะเท่าที่เห็น ดูเหมือนว่าเซี่ยงเหยี๋ยนจะให้ความสำคัญกับหลิงฮันเป็นอย่างมาก หากตระกูลฟู่รับหลิงฮันเข้าร่วมตระกูล โอกาสที่เซี่ยงเหยี๋ยนจะถอนตัวออกจากตระกูลฟู่ก็มีอยู่เพียงน้อยนิด
เซี่ยงเหยี๋ยนยังคงโน้มน้าวอยู่หลายครั้ง ก่อนจะยอมแพ้ในที่สุด
สายตาของเซี่ยงเหยี๋ยนเบี่ยงไปมองหาเป่ยเสวียนหมิง ‘ตุบ ตับ ตุบ’ เขาคว้าร่างอีกฝ่ายเข้ามาหาและทุบตีระบายอารมณ์
ใครใช้ให้ก่อนหน้านี้เจ้าหนูนี่พูดจากับเขาด้วยน้ำเสียงที่ไม่น่าสบอารมณ์กัน?
เป่ยเสวียนหมิงแม้จะรู้สึกไม่ยินยอมแต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้
อย่าเพิ่งพูดถึงตอนนี้ที่พลังของเขาอ่อนด้อยกว่าเซี่ยงเหยี๋ยนหลายเท่าเลย ต่อให้ในอนาคตเขามีพลังทัดเทียมหรือสูงกว่าอีกฝ่าย เขาก็ไม่กล้าต่อต้านอยู่ดี
อีกฝ่ายมีสถานะของปรมาจารย์นักปรุงยาสามดาวอันสูงส่ง!
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้เป่ยเสวียนหมิงรู้สึกรันทดจนแทบจะกระอักโลหิตออกมา นอกจากเขาจะท้าประลองหลิงฮันและพ่ายแพ้อย่างหมดสภาพแล้ว เขายังทำให้ปรมาจารย์นักปรุงยาระดับสามดาวไม่พอใจจนทุบตีเขาอีก หากเรื่องนี้ถูกประมุขนิกายอาญาสิ้นแสงรู้เข้า เขาอาจจะถูกลงโทษก็เป็นได้
หลังจากเซี่ยงเหยี๋ยนระบายอารมณ์จนพอใจ เขาก็ขอตัวจากไปพร้อมกับอนุญาติให้หลิงฮันมาพบเขาได้ตลอดเวลาที่ต้องการ
“ยอดมาก น้องชายหลิง!” ฟู่เกาหยุนยกนิ้วโป้งให้หลิงฮัน เกรงว่าคนที่ไม่แสดงท่าทียำเกรงต่อนักปรุงยาระดับสามดาวคงมีเพียงแค่หลิงฮันแค่คนเดียวเท่านั้น
เป่ยเสวียนหมิงเค้นเสียงก่อนจะเดินจากไป เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้เขาเสียหน้าเกินกว่าจะอยู่ที่นี่ต่อ
“ฮึ่ม!” ฟู่เกาหยุนมองตามแผ่นหลังเป่ยเสวียนหมิง “ข้ารังเกียจหมอนั่นมาตั้งแต่แรกเห็นแล้ว น้องชายหลิง ข้าว่าคนที่เหมาะสมจะมาเป็นน้องเขยของข้า คงมีแต่เจ้านี่ล่ะ”
เป่ยเสวียนหมิงที่ได้ยินก็กระทืบเท้าอย่างรุนแรง และเหินร่างหายไปในพริบตา
“ท่านพี่!” ฟู่เสี่ยวอวิ๋นเขินอาย
ฟู่เกาหยุนกล่าวต่อ “เจ้าลองคิดดูให้ดี น้องชายหลิงของข้าแม้จะไม่หล่อเหลาที่สุด แต่พรสวรรค์ในศาสตร์วรยุทธของเขานั้นโดดเด่นเหนือใคร แถมยังเป็นที่ชื่นชอบของผู้เฒ่าเหยี๋ยนอีก เจ้าคิดว่าจะไปหาบุรุษที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ได้จากที่ไหนอีก?”
หลิงฮันหัวเราะและกล่าว “น่าเสียดายที่น้องชายของท่านมีภรรยาแล้ว” เขายื่นแขนออกไปโอบเอวจักรพรรดินีและสตรีนกอมตะ
“ฮ่าๆๆ การที่บุรุษจะมีภรรยาสาม นางสนมสี่ไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลก” ฟู่เกาหยุนกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ยอมแพ้
หลิงฮันทำหน้าครุ่นคิด หากนับรวมฮูหนิวและคนอื่นๆแล้ว จำนวนสตรีของเขาจะมีเกินภรรยาสาม นางสนมตามคำที่ฟู่เกาหยุนกล่าวรึเปล่า
“ไปดื่มกันดีกว่า” เขารีบเปลี่ยนบทสนทนา
“ดื่ม ดื่ม!” ฟู่เกาหยุนที่ได้ยินก็นึกขึ้นมาได้ว่าพวกเขากำลังจะไปกินดื่มกัน นอกจากนั้นเขาก็ยังมีอีกสิ่งที่ต้องทำคือการฝึกฝนทักษะการบรรเลงให้หลิงฮัน
หลิงฮันกับฟู่เกาหยุนกินดื่มและพูดคุยกันจนกระทั่งเช้าวันถัดมา ซึ่ง นอกจากทักษะการบรรเลงของหลิงฮันจะไม่ดีขึ้นแล้ว ยังเรียกได้ว่าย่ำแย่ลงไปกว่าเดิมอีก
การทดสอบในครั้งนี้ตระกูลฟู่รับอัจฉริยะจำนวนมากที่ตัดผ่านนิพพานได้อย่างสมบูรณ์เข้าตระกูล ในความเป็นจริง การทดสอบที่พวกเขาจัดขึ้นนั้น ไม่ได้มีความหมายในการเลือกรับคนขนาดนั้น แต่การทดสอบมีไว้เพื่อลดความหยิงทะนงตัวของเหล่าอัจฉริยะ
หลิงฮันไหว้วานฟู่เกาหยุนให้หาซื้อแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับยี่สิบจำนวนมากมาให้เขา เนื่องจากเขาต้องการยกระดับของดาบอสูรนิรันดร์ให้เป็นอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์
ในดินแดนแห่งเซียนย่อมไม่ขาดแคลนแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับยี่สิบ
เพียงแต่หากต้องการพวกมันในจำนวนมาก ก็จำเป็นต้องจ่ายศิลาดวงดาวเป็นจำนวนมากเช่นกัน ถึงแม้ที่ผ่านๆมาหลิงฮันจะได้รับและปล้นชิงศิลาดวงดาวมาได้จำนวนหนึ่ง แต่ศิลาดวงดาวจำนวนเพียงแค่นั้นย่อมไม่เพียงพอสำหรับการยกระดับดาบอสูรนิรันดร์ให้เป็นอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์
ด้วยเหตุนี้เอง หลิงฮันจึงมุ่งหน้าไปหาเซี่ยงเหยี๋ยนและขอให้อีกฝ่ายสอนวิธีหลอมเม็ดยาให้แก่เขา เพื่อที่เขาจะทำเงินให้ตัวเองได้
เซี่ยงเหยี๋ยนตั้งความหวังกับหลิงฮันเอาไว้มากอยู่แล้ว และด้วยการที่กลัวว่าหลิงฮันจะไม่กลับมาหาเขาอีก เขาจึงตอบคำถามทุกอย่างที่หลิงฮันถามโดยไม่หวงความรู้แม้แต่นิดเดียว
เมื่อหลิงฮันไถ่ถามเสร็จ เขาก็ขอตัวและเข้าสู่หอคอยทมิฬเพื่อทำความเข้าใจหลักพื้นฐานของการหลอมเม็ดยาระดับนิรันดร์ใต้ต้นสังสารวัฏทันที อีกหนึ่งเดือนต่อมา เขาทำการทดลองหลอมเม็ดยาด้วยความรู้พื้นฐานเป็นครั้งแรก ซึ่งเตาหลอมก็เกิดการระเบิดอย่างไม่น่าแปลกใจ
เซี่ยงเหยี๋ยนตกตะลึงกับผลลัพธ์ของหลิงฮันเป็นอย่างมาก
“เจ้าไม่ใช่มนุษย์!” ชายชราอุทาน “แม้ข้าจะประเมินศักยภาพของเจ้าเอาไว้สูงมาก แต่กว่าเจ้าจะเข้าใจหลักพื้นฐานพอที่จะเริ่มหลอมเม็ดยาได้ ก็สมควรใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งหมื่นปี แต่ความเป็นจริงเจ้ากลับใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น!”
หลิงฮันนั้นมีต้นสังสารวัฏ ระยะเวลาหนึ่งวันจะเทียบได้กับหนึ่งร้อยปี เพราะงั้นระยะเวลาหนึ่งเดือนที่หลิงฮันใช้ไปจึงเท่ากับสามพันปี ซึ่งเซี่ยงเหยี๋ยนไม่มีทางรับรู้เรื่องนี้
“คำนวณจากผลลัพธ์ของเจ้าแล้ว ในระยะเวลาสิบปีเป็นอย่างมาก เจ้าคงสามารถหลอมเม็ดยาเตาแรกได้สำเร็จ” เซี่ยงเหยี๋ยนรู้สึกอิจฉาพรสวรรค์ในศาสตร์ปรุงยาของหลิงฮันเป็นอย่างมาก
สิบปีสำหรับเตาหลอมเตาแรก?
หลิงฮันส่ายหัวพร้อมกับถอนหายใจ
เพียงแต่ความเร็วเท่านี้ก็นับว่าน่าอัศจรรย์มากแล้ว สำหรับปรมาจารย์นักปรุงยาแทบจะทั้งหมด กว่าพวกเขาจะหลอมเม็ดยานิรันดร์เตาแรกสำเร็จนั้น หากเป็นอัจฉริยะก็ใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งล้านปี หรือบางคนใช้เวลาเป็นร้อยล้านปีเลยก็มี
หลิงฮันเอ่ยขอให้ฟู่เกาหยุนสืบหาข้อมูลของตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ให้แก่เขา ก่อนจะขอตัวจากไปพร้อมกับจักรพรรดินีและสตรีนกอมตะ ในเมื่อตอนนี้เขาบรรลุเป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะสะสางหนี้แค้นกับตระกูลติงเสียที
ณ ตอนนี้มีเพียงติงเหยาหลง ติงซาน และติงซงเพียงสามคนเท่านั้นที่สามารถโค่นล้มเขาได้ แต่สำหรับสมาชิกตระกูลติงคนอื่นๆนั้น ไม่มีทางเลยที่จะเป็นคู่ต่อสู้ให้แก่เขา
ทางด้านของจางชงเองก็สามารถทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานได้สำเร็จเช่นกัน เพียงแต่ว่าเนื่องจากอีกฝ่ายไม่ได้ถูกรับตัวเข้าร่วมกับตระกูลฟู่ จางชงกับเม่าซูอวี่จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลับเมืองธุลีจันทรา ซึ่งหลิงฮันนั่งเรือโดยสารไปพร้อมกับทั้งสองคน
ในระยะเวลาหลายเดือนระหว่างเดินทาง หลิงฮันขัดเกลาพลังบ่มเพาะใต้ต้นสังสารวัฏทุกวัน จนในตอนนี้พลังบ่มเพาะของเขาบรรลุระดับหนึ่งนิพพานขั้นกลางแล้ว
ทางด้านของจักรพรรดินีเองก็ได้ทำการดูดซับหยดสายฟ้าสวรรค์จำนวนมาก จนรู้แจ้งทักษะอัสนะมาสองทักษะ นางต้องการฝึกฝนทักษะอัสนีทั้งสองให้เชี่ยวชาญเพื่อที่พลังบ่มเพาะของนางจะได้ทรงพลังยิ่งขึ้นไปอีก
เมื่อโดยสารจอดท่า หลิงฮันก้าวลงจากเรือด้วยความมั่นใจ
ตระกูลติง ถึงเวลาชำระหนี้แค้นล่วงหน้าแล้ว