หลิงฮันและเม่าไต้ออกเดินทางไปยังเมืองหลีเฮิ่นพร้อมกัน
เมืองหลีเฮิ่นคือสถานที่ตั้งของตระกูลฟู่ แต่เดิม เม่าไต้คิดจะไปยังตระกูลฟู่หลังจากที่เขาบรรลุเป็นนิรันดร์สี่นิพพานแล้ว แต่หลังจากที่ได้เห็นพลังต่อสู้อันแข็งแกร่งของหลิงฮัน เขาก็รู้สึกว่าตนเองไม่ควรเสียเวลาอยู่ที่เมืองธุลีจันทราอีกต่อไป
ต้องรีบไปยังตระกูลฟู่เพื่อขัดเกลาพลังให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
หากไม่มีสมบัติที่ใช้สำหรับเหาะเหิน การเดินทางด้วยเรือก็ย่อมเป็นวิธีที่รวดเร็วที่สุด เนื่องจากการเคลื่อนย้ายในพริบตาด้วยรูปแบบอาคมนั้นฟุ่มเฟือยเกินไป
จุดนี้ทำให้หลิงฮันเริ่มนับถือในความสามารถของสุนัขตัวดำขึ้นมา
หลิงฮันคาดหวังกับการเดินทางครั้งนี้เป็นอย่างมาก เมื่อไปถึงตระกูลฟู่ เขาหวังเหลือเกินว่าจะตามหาตำแหน่งที่ตั้งของตำหนักมัจฉาวายุภักษ์พบ
เวลาผ่านไปเกือบๆปี เรือโดยสารก็มาถึงเมืองหลีเฮิ่น
เมืองสามดาวแห่งนี้แบ่งออกเป็นสี่เมืองเล็กคือ เมืองย่อยหลีเทียน เมืองย่อยเฮิ่นเปี๋ย เมืองย่อยต้าหวางและเมืองย่อยเซี่ยวหวาง ในหมู่เมืองย่อยทั้งสี่นี้ เมืองย่อยหลีเทียนคือเมืองที่ลำดับชั้นสูงที่สุด เมืองแห่งนี้มีเพียงสมาชิกตระกูลฟู่ และขุมอำนาจพันธมิตรเท่านั้นที่สามารถอาศัยอยู่ได้
ส่วนผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองย่อยเฮิ่นเปี๋ยนั้น จะเป็นเหล่าขุมอำนาจที่อยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลฟู่ รองลงมาจากนั้นคือเมืองย่อยต้าหวางและเมืองย่อยเซี่ยวหวาง ที่คนอาศัยอยู่จะเป็นเพียงพลเมืองทั่วไป โดยที่เมืองต้าหวางมีลำดับชั้นที่สูงกว่า
เม่าไต้พาจางชงและเม่าซูอวี่ติดตามมาด้วย ในขณะที่หลิงฮันเองก็พาจักรรรดินีและสตรีนกอมตะติดตามมา พวกเขาจำเป็นต้องอาศัยอยู่ในเมืองเซี่ยวหวางก่อนเป็นอันดับแรก และรอคำอนุญาติจากตระกูลฟู่
ในหมู่เมืองย่อยทั้งสี่ มีเพียงเมืองเซี่ยวหวางเพียงเมืองเดียวเท่านั้น ที่สามารถอาศัยอยู่ได้หากจ่ายค่าพำนักด้วยศิลาดวงดาว ในขณะที่เมืองอีกสามเมืองจำเป็นต้องขอคำอนุญาติ
หลังจากรอคอยอยู่หลายวัน พวกหลิงฮันก็ได้รับอนุญาติให้เข้าสู่เมืองหลีเทียนได้
เมืองย่อยทั้งสี่มีโครงสร้างเรียงกันเป็นแนวตั้ง ซึ่งการจะไปยังเมืองหลีเทียนที่อยู่บนสุด จำเป็นต้องเดินทางผ่านรูปแบบอาคมเคลื่อนย้าย เหตุผลที่สามารถใช้รูปแบบอาคมเคลื่อนย้ายได้ก็เพราะว่า ระยะทางระหว่างเมืองนั้นไม่ได้ไกลกันจนเกินไป ทำให้การเผลาผลาญทรัพยากรอยู่ในระดับที่รับได้
หลังจากมาถึงเมืองหลีเทียน เม่าไต้และหลิงฮันก็แยกกัน
ถึงแม้ว่าเม่าไต้จะเป็นอัจฉริยะ แต่ศักยะภาพของเขาก็ยังด้อยกว่าหลิงฮัน เพราะงั้นการปฏิบัติที่ได้รับจากตระกูลฟู่จึงต่างกัน
หนึ่งวันต่อมา และแล้วฟู่เกาหยุนก็มาหาหลิงฮัน
“น้องชายหลิง ในที่สุดเจ้าก็มาเสียที!” ทันทีที่ปรากฏตัว ฟู่เกาหยุนก็กอดไหล่ต้อนรับหลิงฮันอย่างอบอุ่น
หลิงฮันยิ้มตอบรับอย่างเป็นมิตร ในขณะที่จักรพรรดินีนั้นไม่ใช่ ‘เจ้ากล้ามาแตะต้องบุรุษของข้างั้นรึ?’
ฟู่เกาหยุนนั้นไม่ทำให้หลิงฮันผิดหวังแม้แต่น้อย เขาสามารถหาซื้อแร่โลหะจำนวนมากมาให้หลิงฮันได้ ซึ่งหลิงฮันก็บังเอิญได้รับความมั่งคั่งมาจากทรัพยากร ที่ตระกูลติงสะสมมานานหลายล้านปีพอดี
หลิงฮันในตอนนี้มีศิลาดวงดาวมากถึงหนึ่งร้อยล้านก้อนอยู่ในมือ ซึ่งกล่าวได้ว่าร่ำรวยเป็นอย่างมาก
“น้องชายหลิง หากเจ้าไม่มาล่ะก็ ผู้เฒ่าเหยี๋ยนจะต้องพิโรธเป็นแน่” ฟู่เกาหยุนกล่าว เหตุผลที่เขาต้องการให้หลิงฮันมาที่ตระกูลฟู่เร็วๆนั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาต้องการพาหลิงฮันไปพบเซี่ยงเหยี๋ยน หากหลิงฮันไม่รีบมาล่ะก็ ปรมาจารย์นักปรุงยาที่ยิ่งใหญ่จะต้องระเบิดอารมณ์ใส่ตระกูลฟู่เป็นแน่
หลิงฮันหัวเราะและไปพบเซี่ยงเหยี๋ยนพร้อมกับฟู่เกาหยุน
อุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้สำหรับทดสอบอัจฉริยะเข้าตระกูลถูกนำกลับมาแล้ว พวกหลิงฮันเข้าสู่ประตูหินและมายังลานที่พักข้างปราสาท เมื่อเปิดประตูเข้าไป นอกจากเซี่ยงเหยี๋ยนแล้ว พวกเขายังพบเห็นชายชราผมขาวโพลน และสตรีงดงามผมดำยาวยืนอยู่ในห้องด้วย
เมื่อฟู่เกาหยุนเห็นสตรีงดงามผู้นั้น ใบหน้าของเขาก็กระตุกไปมา และมีท่าทางราวกับอยากจะเผ่นหนี
“โอ้ หยุนหยุนน้อย!” ทันทีที่สตรีผู้นั้นเห็นฟู่เกาหยุน นางก็ตะโกนเรียกเสียงดังโดยที่ไม่สำรวมกิริยาแม้แต่น้อย ท่าทางที่นางแสดงออกมานั้นห้าวหาญยิ่งกว่าบุรุษเสียอีก “เหตุใดเจ้าถึงทำท่าเหมือนกับอยากจะหนีให้พ้นๆหน้าข้ากัน? ข้าไม่ได้จะระเบิดรูทวารเจ้าเสียหน่อย”
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง หลิงฮันก็ทำใจทันทีว่าทำไมฟู่เกาหยุนก็ทำท่าทางเช่นนั้น สตรีผู้นี้มีนิสัยห้าวเกินไป…
“เด็กโง่ ทำไมเจ้าถึงไม่ทำตัวให้เป็นสุภาพสตรีบ้าง?” ชายชราผมขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงตำหนิ เขาคือซือถูถัง เมื่อถูกเซี่ยงเหยี๋ยนคะยั้นคะยออยู่หลายครั้ง ในที่สุดเขาก็ยอมมาที่นี่ในวันนี้
สตรีผู้นี้คือหลานสาวของเขา ชื่อของนางคือซือถูเซี่ยวเจิน เนื่องจากบุตรและสะใภ้ของเขาเสียชีวิตไปนานแล้ว หลานสาวคนนี้จึงเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่เขาเหลืออยู่
“คารวะผู้เฒ่าเหยี๋ยน ผู้เฒ่าถัง!” ฟู่เกาหยุนก้าวเดินมาด้านหน้าและแสดงความเคารพปรมาจารย์นักปรุงยาทั้งสอง
ชายชราสองคนนี้คือนักปรุงยาระดับสูงสุดในตระกูลฟู่ ซึ่งสมาชิกของตระกูลฟู่ทุกคนต่างมีความนอบน้อมต่อพวกเขา
ปรมาจารย์นักปรุงยาทั้งสองยิ้มตอบรับตามมารยาท และเมื่อเซี่ยงเหยี๋ยนพบเห็นหลิงฮัน เขาก็หัวเราะออกมาและกล่าว “เจ้าหนู ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว มานี่มานี่ ขอข้าทดสอบหน่อยว่าทักษะปรุงยาของเจ้าขึ้นสนิมบ้างรึเปล่า”
“เฒ่าเหยี๋ยน เจ้าเรียกข้ามาที่นี่ทำไม?” ซือถูถังกล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขัง “เจ้าก็รู้ว่าข้ายุ่งอยู่ตลอดเวลา ข้าไม่มีเวลามามัวไร้สาระกับเจ้าหรอกนะ”
ซือถูเซี่ยวเจินจ้องมองหลิงฮันด้วยแววตาสงสัย เนื่องจากนางไม่เคยเห็นเซี่ยงเหยี๋ยนมีท่าทีเป็นมิตรต่อใครแบบนี้มาก่อน
ซือถูถังเค้นเสียงและกล่าวด้วยท่าทีเหยีดยหยาม “เฒ่าถัง ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่ามัวเสียเวลาอยู่กับเม็ดยาวายุเพลิงเก้าเมฆาอย่างเปล่าประโยชน์เลยจะดีกว่า”
“ฮึ่ม เจ้ากล้าพูดได้อย่างไรว่าข้าเสียเวลาอย่างเปล่าประโยชน์?” เซี่ยงเหยี๋ยนแสยะยิ้มพร้อมกับโยนขวดเม็ดยาให้กับอีกฝ่าย แม้สีหน้าที่เขาแสดงออกมาจะดูเหมือนไม่แยแส แต่ภายในใจนั้นเขากำลังตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
ซือถูถังรับขวดเม็ดยามาตามสัญชาตญาณและกล่าว “นี่คืออะไร?”
“ลองเปิดดูสิ” เซี่ยงเหยี๋ยนสะบัดมือด้วยท่าทางโอ้อวด
“มัวแต่อมพะนำอยู่ได้” ซือถูถังเค้นเสียงและเปิดขวดเม็ดยาอย่างระมัดระวัง หลังจากได้กลิ่นเม็ดยาที่ลอยออกมา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึงราวกับเห็นผี
ทั่วร่างของเขาสั่นสะท้านก่อนจะอุทานออกมา “เม็ดยาวายุเพลิงเก้าเมฆา!”