ฟู่เจิ้งถงทำใจเชื่อไม่ลง
ศาสตร์วรยุทธมีกฎเหล็กในการสู้ข้ามระดับที่ไม่อาจทำลายได้ เพราะงั้นเรื่องเช่นนี้จึงไม่สมควรเกิดขึ้น
ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ พลังบ่มเพาะของหลิงฮันจะต้องไม่ใช่สองนิพพาน แต่เป็นสามนิพพานขั้นสูงสุด!
“ช่างเป็นพวกขี้ขลาดอะไรเช่นนี้ ทั้งๆที่มีพลังบ่มเพาะระดับสามนิพพาน แต่กลับจงใจฝึกฝนทักษะบางอย่างเพื่อปกปิดออร่าของตนเองเพื่อหลอกคนอื่น!” ฟู่เจิ้งถงกัดฟันและกล่าวอย่างเคียดแค้น
“พวกกบก้นบ่อ!” หลิงฮันคร้านจะโต้เถียงกับอีกฝ่าย เขาปล่อยหมัดออกไปพร้อมกับกระตุ้นพลังต่อสู้ให้สูงขึ้นกว่าเดิม
“จงศิโรราบต่อข้า!” ฟู่เจิ้งถงสงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว ในเมื่อเขากับหลิงฮันมีพลังต่อสู้ที่ทัดเทียมกัน งั้นสิ่งที่จะตัดสินผลแพ้ชนะได้ก็คือความเชี่ยวชาญในทักษะยุทธ
ด้วยการที่เป็นสมาชิกของตระกูลฟู่ มีรึที่เขาจะด้อยกว่าจอมยุทธจากเมืองหนึ่งดาว?
ปัง! ปัง! ปัง!
ทั้งสองฝ่ายเข้าห่ำหั่นกันด้วยทักษะยุทธ คลื่นกระแทกที่เกิดจากการปะทะส่งผลให้พื้นแผ่นดินสั่นสะเทือน
โชคดีที่สถานที่แห่งนี้มีรูปแบบอาคมคุ้มกันติดตั้งเอาไว้
และด้วยการที่บริเวณที่พวกหลิงฮันอยู่คือทางเข้าสำนัก จึงมีผู้คนเดินเผ่นผ่านเข้าออกไปมาอยู่ตลอดเวลา ผ่านไปไม่นาน ใครหลายคนก็สังเกตเห็นการต่อสู้ระหว่างหลิงฮันกับฟู่เจิ้งถงและหยุดดู แน่นอนว่ามีคนบางส่วนที่เมื่อพบเห็นจักพรรดินีแล้ว พวกเขาก็ไม่อาจละสายตาไปจากนางได้
แต่เสน่ห์ของจักรพรรดินีก็ไม่สามารถดึงดูดสายตาผู้คนได้นานนัก เพราะทุกคนเริ่มสังเกตเห็นว่าหลิงฮันนั้นเป็นเพียงนิรันดร์สองนิพพานเท่านั้น
น่าอัศจรรย์มาก เป็นไปได้อย่างไรที่นิรันดร์สองนิพพานจะแข็งแกร่งขนาดนี้? หากรุ่นเยาว์ผู้นี้บรรลุเป็นนิรันดร์สี่นิพพาน ไม่ใช่เขาจะต่อกรกับตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณได้เลยรึไง?
ตูม! ตูม! ตูม!
หลิงฮันระเบิดพลังต่อสู้ทั้งหมดออกมาและสู้ข้ามสองระดับได้อย่างไร้เทียมทาน ในที่สุดเขาก็พบเจอคู่ต่อสู้ที่ทำให้เขาต้องใช้พลังทั้งหมดได้เสียที
ยิ่งการต่อสู้ดำเนินต่อไปหลิงฮันก็ยิ่งหึกเหิมขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ฟู่เจิ้งถงเริ่มรู้สึกหวาดผวาขึ้นทีละน้อย เนื่องจากไม่ว่าจะดูยังไง หลิงฮันก็ไม่เหมือนกันนิรันดร์สามนิพพานเลยแม้แต่น้อย
เขาเริ่มอดรู้สึกไม่ได้ว่าอาจจะถูกเป่ยเสวียนหมิงหลอกเข้าให้แล้ว
เป่ยเสวียนหมิงนั้นไม่เคยกล่าวว่าตนเองถูกหลิงฮันโค่นล้มมาก่อน อีกฝ่ายบอกเพียงว่าหลิงฮันมาล่วงเกินตนเองและมีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับเฟิงเกาหยุน เพราะเหตุนั้นนายน้อยไห่ถึงได้บอกให้เขามาที่นี่เพื่อสั่งสอนหลิงฮัน
แต่จากสถานการณ์ในตอนนี้ ใครจะเป็นฝ่ายสั่งสอนใครกันแน่?
ไม่ว่าอย่างไรการต่อสู้ก็ดำเนินมาถึงขนาดนี้แล้ว เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่เขาจะยอมถอยหลัง ในทางกลับกัน เขาจะต้องเอาชนะการต่อสู้ครั้งนี้ให้ได้ เพราะไม่เช่นนั้นในอนาคตเขาคงไม่มีหน้าไปพบใคร
ฟู่เจิ้งถงคำรามและนำดาบเล่มหนึ่งออกมา บนใบดาบเล่มนี้มีลวดลายอสรพิษถูกสลักเอาไว้ ‘ครืนน’ เมื่อปราณก่อเกิดถูกชี้นำเข้าสู่ตัวดาบ ลวดลายอสรพิษก็ส่องสว่างและมีร่างจำแลงของอสรพิษยักษ์ปรากฏออกมา
“พ่ายแพ้ไปซะ!” ฟู่เจิ้งถงกวัดแกว่งดาบสะบั้นเข้าหาหลิงฮัน ‘พรึบ’ ร่างจำแลงของอสรพิษยักษ์คดเคี้ยวไปมากลางอากาศและพุ่งทะยานใส่หลิงฮัน
“คิดว่ามีแค่เจ้าคนเดียวที่มีอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์?” หลิงฮันนำดาบอสูรนิรันดร์ออกมา เมื่อไม่นานมานี้ดาบอสูรนิรันดร์เพิ่งจะถูกยกระดับกลายเป็นอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์สองดาว ซึ่งเขาก็กำลังอยากจะทดสอบพลังของดาบอยู่พอดี
‘ครืนนนน’ เมื่อหลิงฮันสะบั้นดาบออกไป ดาบอสูรนิรันดร์ก็สั่นสะท้านพร้อมกับระเบิดคลื่นแสงอันเจิดจ้าขึ้นสู่ท้องฟ้า ปราณดาบนับไม่ถ้วนถูกปลดปล่อยออกมาและฉีกกระชากร่างจำแลงอสรพิษยักษ์ออกเป็นเศษซาก
แต่ถึงแม้ร่างเงาอสรพิษจะไม่หลงเหลืออยู่แล้ว ปราณดาบก็ยังไม่สลายหายไปและยังคงพุ่งทะยานเข้าหาฟู่เจิ้งถง
“อะไรกัน!” ฟู่เจิ้งถงตกตะลึง เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าจอมยุทธจากขุมอำนาจที่อ่อนแอเช่นหลิงฮันจะมีอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์อยู่ในครอบครอง แถมยังทรงพลังยิ่งกว่าของเขาเสียอีก
เขารีบกระโดดล่าถอยอย่างรวดเร็ว ปราณดาบที่อุปกรณ์กึ่งนิรันดร์ของหลิงฮันปลดปล่อยออกมานั้นน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก ซึ่งสามารถบดขยี้ร่างกายของเขาได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้นั่นจะไม่ทำให้เขาเสียชีวิต แต่ใครบ้างจะอยากให้กายหยาบของตนเองถูกทำลาย?
แต่เดิมแล้วพลังต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายนั้นเท่าเทียมกัน แต่เมื่ออุปกรณ์กึ่งนิรันดร์ถูกนำมาใช้ต่อสู้ ความได้เปรียบของทั้งสองฝ่ายก็เด่นชัดขึ้นมาทันที
หลังจากหลิงฮันสะบั้นดาบไปหลายสิบครั้ง ร่างกายของฟู่เจิ้งถงก็ชโลมไปด้วยโลหิตและได้รับบาดเจ็บสาหัส
โชคดีที่บาดแผลที่ฟู่เจิ้งถงได้รับนั้นเกิดขึ้นจากปราณดาบ หากอีกฝ่ายถูกดาบอสูรนิรันดร์สัมผัสเข้าโดยตรงล่ะก็ อีกฝ่ายคงจะตายไปแล้ว
ฟู่เจิ้งถงล่าถอยไปหลายร้อยไมล์ก่อนจะหยุด ดวงตาของเขาจดจ้องไปยังหลิงฮันจากระยะไกลด้วยความอับอาย ตอนแรกเขาตั้งใจจะเป็นฝ่ายสั่งสอนหลิงฮันแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่ถูกสั่งสอนดันกลายเป็นเขาเสียเอง ยิ่งกว่านั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังมีพยานรู้เห็นหลายคนอีกด้วย
แต่ถ้าหากถามว่ายังจะให้เขาดื้อรั้นที่จะสู้ต่อหรือไม่นั้น ขอบอกเลยว่าไม่ เขาไม่ต้องการถูกทารุณไปมากกว่านี้แล้ว
ที่หน้าทางเข้าสำนัก ผู้คนมากมายต่างพูดคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นโดยที่ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่รู้ว่าหลิงฮันเป็นใคร พวกเขาต่างคาดเดาที่มาของหลิงฮันกันไปต่างๆนาๆ
“ผู้อาวุโสเม่า!” หลิงฮันพยักหน้าให้กับเม่าไต้
เม่าไต้รู้สึกกระอักกระอ่วน ในตอนแรกเขาเคยคิดด้วยซ้ำว่าอยากจะรับหลิงฮันมาเป็นศิษย์ แต่เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ปี แม้หลิงฮันจะยังมีพลังบ่มเพาะที่ต่ำกว่าเขา แต่กลับมีพลังต่อสู้ที่เหนือไปกว่าเขาเสียแล้ว
การยอมรับความเป็นจริงนี้ให้ได้นั้นเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก
“ไม่ต้องเรียกข้าว่าผู้อาวุโสแล้ว อย่างแรกคือตัวข้าไม่ใช่แม่ทัพใหญ่ของกองทัพจันทราม่วงอีกต่อไป และอย่างที่สองคือตัวเจ้าในตอนนี้มีพลังที่แข็งแกร่งเหนือข้าแล้ว” เม่าไต้กล่าว
หลิงฮันไม่คัดค้านและเปลี่ยนคำใช้เรียกอีกฝ่าย “เช่นนั้นข้าจะเรียกท่านว่าพี่ชายเม่า”
เม่าไต้พยักหน้า ในขณะที่เขากำลังจะเดินเข้าสำนักไปพร้อมกับหลิงฮันนั่นเอง จู่ๆฟู่เกาหยุนก็เดินเข้ามาหา
“น้องชายหลิง ข้าได้ยินว่าเจ้าเพิ่งปะทะกับใครมางั้นรึ?” ฟู่เกาหยุนหันมองซ้ายขวาก่อนจะกล่าวต่อ “ไหนล่ะ คนที่เจ้าสู้ด้วยไปไหนเสียแล้ว?”
“การปะทะเพิ่งจะจบไปเมื่อครู่” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ทำไมถึงได้รวดเร็วขนาดนั้น? ข้ายังไม่ทันได้เห็นการแสดงสนุกๆเลยแท้ๆ ว่าแต่เจ้านี่ช่างเป็นตัวจอมปัญหายิ่งนัก แค่เพิ่งจะมาสำนักเป็นครั้งแรกเจ้าก็ไปมีเรื่องกับคนอื่นเสียแล้ว” ฟู่เกาหยุนหยอกล้อหลิงฮัน
หลิงฮันกรอกตามองบนและกล่าว “ต้นเหตุก็คือเจ้านั่นล่ะ! แต่จะว่าไป ผู้สืบทอดของตระกูลฟู่มีอยู่ทั้งหมดกี่คนรึ?”
“เหตุใดจู่ๆถึงได้ถามคำถามเช่นนั้นกัน?” ฟู่เกาหยุนทำหน้าตาประหลาดใจ
“คนที่ข้าเพิ่งโค่นไปเห็นว่าชื่อฟู่เจิ้งถง”
“ว่าไงนะ!’ ฟู่เกาหยุนอุทาน “เจ้าเพิ่งปะทะกับฟู่เจิ้งถงมางั้นรึ?”
พระเจ้า… อีกฝ่ายเป็นถึงนิรันดร์สี่นิพพานเชียวนะ!