ทุกคนจ้องมองไปยังฟู่เก่าหยุนด้วยสายตาคาดหวัง
เขตแดนลี้ลับเฉียนหลงนั้นไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลฟู่แต่เพียงผู้เดียว แต่เป็นการปกครองร่วมกันกับขุมอำนาจสามดาวใกล้เคียงอีกสี่แห่ง บางครั้งบางคราวก็มีบ้างที่ขุมอำนาจสามดาวอื่นๆจะเข้าร่วมด้วยอีก
การเข้าสู่เขตแดนลี้ลับเฉียนหลงถูกกำหนดข้อจำกัดไว้ที่ระดับโลกียนิพพานก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียวที่ตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณหรือระดับขอบเขตตำหนักอมตะจะเข้าไปด้านใน เพียงแต่ว่าตัวตนระดับนั้นจะไม่สามารถเข้าส่วนที่ลึกมากของเขตแดนลี้ลับได้ จึงไม่คุ้มค่าที่จะสิ้นเปลือง ‘เกราะโลหิตมังกร’ ให้พวกเขาสวมใส่
ฟู่เกาหยุนเป็นหนึ่งในสี่ผู้สืบทอดตระกูลฟู่ เพราะงั้นสิทธิในการเข้าร่วมจึงอยู่ในมือเขาถึงสิบตำแหน่ง
เขาต้องมอบสิทธิให้กับตัวเองหนึ่งตำแหน่งอยู่แล้ว จึงเหลือสิทธิที่จะมอบให้คนอื่นอยู่เก้าตำแหน่ง
“นายน้อยหยุน ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ ข้าก็จะติดตามท่านไปโดยไม่ปริปากสักคำ!” ใครบางคนรีบเอ่ยออกมา
ช่างเป็นความภักดีที่ปลอมอะไรอย่างนี้ ในความจริงสิ่งที่เขาอยากจะกล่าวคงเป็น ‘ข้าอยากจะเข้าสู่เขตแดนลี้ลับเฉียนหลง เพราะงั้นขอสิทธิให้ข้าด้วย’
“นายน้อยหยุน ข้าเองก็ยินดีที่จะติดตามท่านเช่นกัน!”
“นายน้อยหยุน!”
“นายน้อยหยุน!”
ใครหลายคนตะโกนออกมาและแสดงเจตนาที่จะยอมทำทุกอย่างเพื่องฟู่เกาหยุน เพียงแต่ก็มีบางคนที่ไม่แสดงท่าทีอะไรแม้แต่น้อย ยกตัวอย่างเช่นเฉิงจง เขาคืออัจฉริยะอันเป็นที่น่าภาคภูมิใจของตระกูลเฉิง เพราะงั้นต่อให้จะไม่ได้รับสิทธิจากฟู่เกาหยุน เขาก็ยังได้รับสิทธิจากทางตระกูลอยู่ดี
ในฐานะที่ตระกูลเฉิงเป็นถึงหนึ่งในห้าขุมอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้การปกครองของตระกูลฟู่ แน่นอนว่าพวกเขาย่อมได้รับสิทธิด้วยอยู่แล้ว
เฉิงจงนั้นเป็นผู้สนับสนุนฟู่ก่าวหยุน ซึ่งถ้าหากฟู่เกาหยุนไม่มอบสิทธิให้เขาล่ะก็ เฉิงจงก็คงจะไม่พอใจและเปลี่ยนไปสนับสนุนผู้สืบทอดคนอื่นเป็นแน่ เฉิงจงนั้นเป็นผู้สนับสนุนฟู่ก่าวหยุน แต่ถ้าหาก หลิงฮันเองก็ไม่เปิดปากกล่าวอะไร หลังจากรับรู้รายละเอียดของเขตแดนลี้ลับเฉียนหลง เขาก็ตัดสินใจว่าหากฟู่เกาหยุนมองสิทธิให้แก่เขา และเขาพบเจอศิลาโลหิตมังกรภายในเขตแดนลี้ลับล่ะก็ เขาจะแบ่งพวกมันให้ฟู่เกาหยุนแน่นอน
หรือถึงแม้จะไม่พบเจอศิลาโลหิตมังกรแม้แต่ก้อนเดียว เขาก็ยังมีน้ำชาจากต้นสังสารวัฏอยู่ดี กล่าวคือเขาจะไม่มีวันรับสิทธิจากฟู่เกาหยุนโดยไม่ตอบแทนแน่นอน
นอกจากนั้นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในตัวหลิงฮันก็คือศักยภาพ ในอนาคตเขาอาจจะบรรลุเป็นได้ทั้งตัวตนระดับราชานิรันดร์และปรมาจารย์นักปรุงยาห้าดาว ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับฟู่เกาหยุนแล้วว่าจะตัดสินใจเดิมพันอย่างไร
การที่ฟู่เกาหยุนนำเรื่องนี้ออกมาพูดต่อหน้าสาธารณะชน ย่อมหมายถึงเขาได้คิดมาก่อนแล้วว่าจะมอบสิทธิให้แก่ใคร
หลังจากปล่าวประกาศออกมา เฉิงจงก็ได้รับสิทธิตามคาด ชายคนหนึ่งที่ชื่อหลี่เสวียนเองก็ได้รับสิทธิ ตามมาด้วยหลิงฮันและจักรพรรดินี ส่วนสิทธิที่เหลืออีกห้าสิทธินั้นฟู่เกาหยุนกล่าวว่าจะตัดสินจากการประลองของทุกคน
ด้วยวิธีการนี้ ผู้ที่ประลองแพ้จึงทำได้เพียงยอมรับโชคชะตาแต่โดยดี เพราะอย่างไรในโลกแห่งวรยุทธ ใครก็ตามที่แข็งแกร่งย่อมเป็นราชา
เมื่อการประลองสิ้นสุดลง ผู้ชนะนั้นไม่อะไร แต่ผู้แพ้กลับรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากที่สิทธิถึงสองตำแหน่งถูกมอบให้กับหลิงฮันและจักรพรรดินี
ทำไมถึงไม่พอใจน่ะรึ?
ทั้งสองคนเป็นคนที่เพิ่งมาใหม่แท้ๆแถมยังไม่มีพื้นเพเบื้องหลังอีก แต่กลับแย่งชิงตำแหน่งไปถึงสองตำแหน่ง เช่นนี้แล้วจะไม่พวกเขายอมรับได้อย่างไร? แต่ต่อหน้าฟู่เกาหยุนพวกเขาย่อมไม่กล้าแสดงความไม่พอใจออกมา พวกเขาตัดสินใจเก็บความขุ่นเคืองไว้ในใจและไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆแน่
หลังจากงานรวมตัวสิ้นสุด พวกหลิงฮันก็เดินทางกลับไปยังที่พักภายในสำนักของตนเอง สถานที่ที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้พวกเขานั้นใหญ่โตเป็นอย่างมาก แถมยังมีคนรับใช้ระดับดาราอยู่ถึงร้อยคน
นับว่าฟู่เกาหยุนนั้นรู้งานเป็นอย่างมาก ที่ไม่ได้จัดที่พักแยกให้พวกเขาสามคน แต่จัดให้อาศัยอยู่รวมกันแทน
พวกหลิงฮันสามคนเพิ่งจะมาถึงได้ไม่นาน จู่ๆคนรับใช้ก็มารายงานว่ามีใครบางคนต้องการพบเขา หลิงฮันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกให้คนรับใช้พาคนผู้นั้นเข้ามา
คนที่ปรากฏตัวคือชายหนุ่มชุดฟ้าที่หลิงฮันเคยพบในงานรวมเมื่อก่อนหน้านี้ ชื่อของอีกฝ่ายคือจ้าวผาง เขาเป็นหนึ่งในคนที่พ่ายแพ้การประลองแย่งชิงสิทธิ
“หลิงฮันสินะ?” เขาก้าวเดินเข้ามาในห้องโถงและจ้องมองหลิงฮันด้วยสายตาเหยียดหยาม “พรุ่งนี้จงไปบอกนายน้อยหยุนซะว่าเจ้าไม่สามารถไปเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงได้แล้ว และจะมอบสิทธิให้ข้า รับนี่ไป ข้าไม่คิดจะให้เจ้าสละสิทธิไปเปล่าๆเช่นกัน!”
เขาโยนแหวนมิติวงหนึ่งไปยังหลิงฮัน “ภายในนี้มีศิลาดวงดาวอยู่หมื่นก้อน ซึ่งสำหรับเจ้าเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
หากให้พูดตามตรง ศิลาดวงดาวหมื่นก้อนก็นับว่าเป็นจำนวนเงินที่มากพอสมควร แต่เมื่อเทียบกับจำนวนสิทธิเข้าสู่เขตแดนลี้ลับเฉียนหลงที่มีอยู่น้อยนิดแล้ว เงินจำนวนเท่านั้นถือว่าไร้ค่า
หลิงฮันหัวเราะและรับแหวนมาเก็บไว้
จ้าวผางที่เห็นเช่นนั้นก็อดแสยะยิ้มออกมาไม่ได้
ในความคิดของเขา หลิงฮันนั้นไม่มีผู้หนุนหลังใดๆแม้แต่คนเดียว ที่เขามาอยู่ที่นี่ได้เพียงเพราะฟู่เกาหยุนเกิดถูกใจหลิงฮันก็เท่านั้น กับคนเช่นนี้เพียงแค่ข่มขู่ให้กลัวก็สามารถบังคับให้เชื่อฟังได้แล้ว
“ข้าขอรับของขวัญต้อนรับชิ้นนี้ไว้แต่โดยดีแล้วกัน เพราะงั้นเจ้ากลับไปได้!” หลิงฮันทำท่าสะบัดมือไล่
จ้าวผางชะงักทันที เขาคิดว่าตนเองคงได้ยินผิดไปจึงกล่าว “เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
“ไม่ได้ยินรึไงว่าข้าบอกให้กลับไปได้แล้ว?” หลิงฮันยิ้ม
จ้าวผางเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันใด อีกฝ่ายกล้าดีอย่างไรที่นอกจากจะไม่เชื่อฟังเขาแล้วยังกล้าเอาศิลาดวงดาวของเขาไปด้วย!
“หลิงฮัน อย่าได้เหิมเกริมจนเกินไป” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย จงทำตามที่ข้าบอกซะหากไม่อยากจบไม่สวย”
หลิงฮันยิ้ม “ข้าเองก็ขอแนะนำเจ้าเช่นกันว่าอย่าได้รนหาที่”
“โอหัง!” จ้าวเผิงทนไม่ไหวอีกต่อไปและลงมือโจมตี
หลิงฮันถอนหายใจ คนประเภทที่หากไม่เจ็บตัวก่อนจะคิดไม่ได้นั้นมีอยู่ทั่วเลยจริงๆ
‘พรึบ’ เขาคว้ามือออกไปจับคอจ้าวเผิงและยกร่างอีกฝ่ายลอยขึ้นจากพื้น
“รีบๆไสหัวไปได้แล้ว!” หลิงฮันสะบัดมือออกแรงเขวี้ยง ‘ปัง’ ร่างของจ้าวผางลอยกระเด็นไปตกกระทบพื้นทางเดินและกลิ้งราวกับเป็นลูกบอล
จ้าวเผิงกลิ้งมาจนถึงประตูทางเข้าที่พักก่อนที่ร่างจะหยุดหมุน
จ้าวเผิงทั้งรู้สึกอับอายและเกรี้ยวกราด เขากล่าวออกไปอย่างไม่ยินยอม “ละ… แล้วศิลาดวงดาวของข้าล่ะ?” หากไม่ทำตามคำขอของข้า เจ้าต้องคืนศิลาดวงดาวให้ข้าสินะ?