ใบหน้าของฟู่ซือหย่วนเปลี่ยนเป็นมืดมน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
หรือเป็นเพราะกาลเวลาที่ผ่านมายาวนาน พลังของวารีผลึกตะวันดาราใต้ถึงได้สลายไป?
“ฮึ่ม!” ฟู่ซือหย่วนสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่สบอารมณ์ หากจะให้เขาลงมือจัดการหลิงฮันด้วยตัวเองล่ะก็ คงไม่พ้นถูกตราหน้าว่ารังแกรุ่นเยาว์ที่อ่อนแอกว่า
ตระกูลฟู่ก็มีกฎของตระกูลฟู่ การแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นถูกจำกัดอยู่เพียงแค่ในระดับโลกียนิพพาน หากฝ่าฝืนกฎ ตัวตนระดับสูงของตระกูลจะแทรกแซงและทำการลงโทษสถานหนัก
“ไปกันได้แล้ว” เขาหันหลังและเดินจากไป
ฟู่เจิ้งถงรีบไล่ตามไปด้วยสีหน้าสลด หากไม่พึงพาวารีผลึกตะวันดาราใต้ พลังต่อสู้ของเขาเพียงอย่างเดียวไม่สามารถเอาชนะหลิงฮันได้แน่นอน
หลิงฮันยิ้มอย่างพึงพอใจกับผลประโยชน์ที่ได้รับ
เขากลับที่พักของตัวเองและเข้าสู่หอคอยทมิฬทันที เพื่อทำการขัดเกลาพลังใต้ต้นสังสารวัฏ ปราณก่อเกิดของเขาในตอนนี้บรรลุระดับโลกียนิพพานสองนิพพานขั้นสูงสุดแล้ว เพียงแต่เนื่องจากความเข้าใจในอำนาจแห่งเต๋าของระดับพลังยังไม่มากพอ จึงยังไม่สามารถทะลวงผ่านระดับได้ แต่ต้องรอคอยฝึกฝนไปตามขั้นตอน
ภายในร่างกายของเขา แก่นกำเนิดพลังทั้งสามกำลังพัวพันอยู่ด้วยกัน
วารี เปลวเพลิง และอัสนี… แก่นกำเนิดพลังเปลวเพลิงกับวารี คือพลังต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพี ในขณะที่แก่นกำเนิดพลังอัสนีนั้นมาจากหยดสายฟ้าสวรรค์ ซึ่งมีพลังด้อยกว่าแก่นกำลังพลังอีกสองอัน ด้วยเหตุนี้ภายในตันเถียนของเขาแก่นกำเนิดพลังเปลวเพลิงและวารีจึงครอบครองพื้นที่ไปถึงเก้าในสิบส่วน ในขณะที่แก่นพลังอัสนีครอบครองพื้นที่ได้เพียงหนึ่งส่วน
วารีพลังหยินเร้นลับนั้น หลังจากที่ดูดซับพลังมาจากวารีผลึกตะวันดาราใต้แล้ว อำนาจของมันก็ทรงพลังยิ่งขึ้น แต่เนื่องจากวารีพลังหยินเร้นลับมีระดับที่สูงกว่ามาก พลังที่เพิ่มขึ้นมาจึงไม่มากเท่าไหร่
เมื่อเวลาผ่านไปครึ่งวันหลิงฮันก็หยุดบ่มเพาะพลังและส่ายหัว ต่อให้มีการช่วยเหลือจากต้นสังสารวัฏ แต่ภายในร่างกายเขาก็มีพลังต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพีอยู่ถึงสอง หากต้องการขัดเกลาความเข้าใจในวิถีแห่งเต๋าให้มากพอที่จะทะลวงผ่านระดับสามนิพพานล่ะก็ เกรงกว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งพันปี
มันช้าไปงั้นรึ?
ไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน ดูอย่างเม่าไต้เป็นตัวอย่าง อีกฝ่ายก็เป็นสุดยอดอัจฉริยะคนหนึ่ง แต่กว่าเขาจะบ่มเพาะพลังจนมีความเข้าใจในรากฐานพลังบ่มเพาะมากพอ และทะลวงผ่านระดับสามนิพพานได้ ก็ยังต้องใช้เวลาถึงสามร้อยล้านปี!
หากต้องการเพิ่มความเร็วในการรู้แจ้งเพื่อทะลวงผ่านระดับพลัง จำเป็นต้องพึ่งพาสมุนไพรนิรันดร์หรือสมบัติอย่างบ่อน้ำนิรันดร์ของตระกูลหานเท่านั้น
หลิงฮันถอนหายใจ หากเขาอยากบ่มเพาะพลังให้เร็วยิ่งกว่านี้ เขาคงจำเป็นต้องเดินทางไปสำรวจโบราณสถานต่างๆเพื่อตามหาวาสนา
เมื่อเวลาผ่านพ้นไป จ้าวผางก็ได้นำตัวตนที่ทรงพลังของตระกูลจ้าวมากดดันหลิงฮันเพื่อให้ยกสิทธิให้แก่ตนเอง จนในที่สุดซือถูเซี่ยวเจินก็ทนไม่ไหวและนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปเล่าให้เซี่ยงเหยี๋ยนและซือถูถังฟัง ปรมาจารย์นักปรุงยาทั้งสองที่รับรู้เรื่องราวรู้สึกไม่พอเป็นอย่างมากและทำการไปร้องเรียนต่อประมุขตระกูลฟู่
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทำให้ทุกคนได้รับรู้ว่าหลิงฮันนั้นไม่ใช่ว่าไม่มีผู้หนุนหลัง แต่เขามีปรมาจารย์นักปรุงยาระดับสามคอยช่วยเหลืออยู่ถึงสองคน!
หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครกล้าล่วงเกินหลิงฮันอีกต่อไป แถมสมาชิกมากมายของตระกูลฟู่ก็เริ่มทำการเข้าหาฟู่เกาหยุนอีกด้วย
ฟู่เกาหยุนที่ได้รับการสนับสนุนจากหลิงฮัน ก็เปรียบเสมือนได้รับการสนับสนุนจากปรมาจารย์นักปรุงยาทั้งสอง
เมื่อตระกูลฟู่สาขาย่อยและขุมอำนาจภายในการปกครองมากมายเริ่มทำการผูกมิตรกับฟู่เกาหยุน ผู้สืบทอดอีกสามคนก็ได้รับแรงกดดันอันมหาศาลทันที
สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นฟู่เกาหยุนรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ในตอนที่เขาตัดสินใจเป็นสหายกับหลิงฮันนั้น เขาเพียงแค่ถูกชะตากับนิสัยของหลิงฮันเพียงอย่างเดียว ซึ่งไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าหลิงฮันจะเป็นอัจฉริยะในศาสตร์ปรุงยาและจะช่วยเหลือเขาได้มากขนาดนี้
เพื่อที่จะตอบแทนหลิงฮัน ฟู่เกาหยุนได้ทำการกว้านซื้อแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากมาให้หลิงฮันอย่างสุดความสามารถ และยังส่งคนไปสืบค้นสถานที่ตั้งของตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ด้วยจำนวนคนที่มากกว่าเดิม
ด้วยการทุ่มเทขนาดนี้ ข่าวคราวของตำหนักมัจฉาวายุภักษ์จึงมาถึงจากสถานที่อันไกลโพ้นอย่างเมืองที่ตั้งอยู่ติดกับมหาสมุทรแบ่งแยกภูมิภาค มีพ่อค้าคนหนึ่งเคยไปดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันตกจึงรู้จักตำหนักมัจฉาวายุภักษ์
ความเป็นจริงคือหลิงฮันในตอนนี้อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันออก ส่วนตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ตั้งอยู่ในดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันตก
หลังจากรับรู้ข่าวนี้ หลิงฮันก็รู้สึกดีใจจนเนื้อเต้น
เพียงแต่ว่าการจะข้ามมหาสมุทรขั้นภูมิภาคนั้นเป็นอะไรที่อันตรายเป็นอย่างมาก ภายในมหาสมุทรที่สัตว์อสูรนิรันดร์อยู่จำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งบางตัวเป็นถึงสัตว์อสูรระดับราชานิรันดร์ ด้วยพลังของหลิงฮันในตอนนี้ การข้ามผ่านมหาสมุทรคงไม่ต่างอะไรจากการฆ่าตัวตาย
หากจะข้ามมหาสมุทรด้วยระดับพลังที่อ่อนแอ สิ่งที่จำเป็นคือต้องติดไปกับขบวนพ่อค้าซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่มากมายมหาศาล สำหรับหลิงฮันแม้เงินจะไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่จำนวนเงินในตอนนี้ของเขาคงไม่เพียงพอ
การเดินทางข้ามผ่านมหาสมุทรไม่มีใครรับประกันความปลอดภัยให้ได้ เพราะฉะนั้น หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน แต่ละคนจะต้องยอมรับความเสี่ยงกันเอาเอง
หลิงฮันครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะตัดสินใจข้ามมหาสมุทรหลังจากที่บรรลุระดับแบ่งแยกวิญญาณแล้วเป็นอย่างน้อย
ที่เขาตัดสินใจเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเพื่อความปลอดภัยเพียงอย่างเดียว แต่ก็เพื่อตอบโต้การช่วยเหลือของฟู่เกาหยุนด้วย ไม่เช่นนั้น หากเขาปัดตูดออกจากตระกูลฟู่ไปตอนนี้ ตำแหน่งผู้สืบทอดที่กำลังมั่นคงของฟู่เกาหยุนคงพังทลาย
ด้วยเหตุนี้ สิ่งเดียวที่เขาจะทำในตอนนี้คือรอคอยให้ถึงเวลาที่เขตแดนลี้ลับเฉียนหลงจะเปิดออก
สำนักเทียนหลงแห่งนี้ ในบางโอกาสปรมาจารย์ระดับสูงจะมาทำการชี้แนะให้เหล่าศิษย์ ซึ่งโดยส่วนใหญ่เหล่าอาจารย์ที่มาชี้แนะจะมีแค่ตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณเท่านั้น มีแค่น้อยครั้งที่ตัวตนระดับขอบเขตตำหนักอมตะจะปรากฎตัว
หลิงฮันเข้าร่วมการชี้แนะครั้งต่างๆ โดยที่จุดประสงค์หลักคือต้องมีความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับระดับแบ่งแยกวิญญาณ
การทะลวงผ่านระดับแบ่งแยกวิญญาณก็เหมือนกับระดับโลกียนิพพาน ที่จำเป็นต้องทำการทะลวงผ่านในสถานที่พิเศษในดินแดนแห่งเซียน
มนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ลืมง่าย ความโกลาหลที่เกิดขึ้นเพราะหลิงฮันค่อยๆเลือนหายไป และผู้คนในสำนักได้เปลี่ยนมาพูดคุยกันถึงสุนัขตัวดำร่างยักษ์ที่สวมใส่กางเกงในโลหะแทน!
สุนัขตัวดำร้ายกาจเป็นอย่างมาก มันทำเรื่องชั่วร้ายทุกอย่างเท่าที่จะคิดได้สร้างความปั่นป่วนไปทั่ว โดยที่ไม่มีใครสามารถจับตัวมันได้เลยจนกลายเป็นตำนานของสำนัก
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน หลิงฮันก็มีแขกมาพบอีกครั้ง
“นายน้อยฮัน ข้ามีชื่อว่าหลิวฮวายยวี่!” แขกที่มาหาคือสตรีที่งดงาม
“นายน้อยไห่อยากเชิญท่านไปพบ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงทรงเสน่ห์