เชียนจ้าวหยางปล่อยหมัดเข้าใส่หลิงฮันด้วยพลังทั้งหมดที่เหลือ
นี่คือการโจมตีครั้งสุดท้ายของเขา เนื่องจากการหลบหนีจากวงล้อมของสัตว์อสูรสงครามทั้งสิบ ทำให้พลังของเขาถูกเผาผลาญไปมหาศาล แถมยังได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก
การโจมตีครั้งสุดท้ายเพื่อความหวังในการมีชีวิตรอด ของผู้สืบทอดขุมอำนาจระดับสามดาว เป็นสิ่งที่ไม่อาจประมาทได้เลย
แต่จะอย่างไรหลิงฮันก็ไม่หวาดหวั่น เขาผลักฝ่ามือตอบโต้เชียนจ้าวหยาง
ครืนนน!
หลิงฮันปลดปล่อยทักษะนิรันดร์สองทักษะออกไปพร้อมกัน กาลเวลาแปรผันพันปีทำหน้าที่เร่งความเร็วในการสลายตัวของการโจมตีที่พุ่งเข้ามา
ถึงแม้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห้วงเวลา จะเป็นหนึ่งในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่ทรงพลังที่สุดภายใต้ระดับราชานิรันดร์ แต่พลังบ่มเพาะของทั้งสองก็ต่างกันเกินไป ทำให้การโจมตีของเชียนจ้าวหยางไม่ถูกสลายไปอย่างสมบูรณ์
เพียงแต่ว่าทักษะมิติเอกเทศที่หลิงฮันใช้ออกไปพร้อมกัน ได้ช่วยดูดกลืนพลังทำลายที่เหลือ การโจมตีของเชียนจ้าวหยางจึงไม่ส่งผล
หลิงฮันใช้มืออีกฝ่ายคว้าไปจับคอเชียนจ้าวหยางเอาไว้อย่างไม่แยแส ราวกับอีกฝ่ายเป็นเพียงหมูหมา
“หลิงฮัน พอแค่นั้น!” เสียงคำรามอันเย็นชาดังขึ้น พร้อมกับเชียนจ้าวเถี้ยนได้ก้าวเดินออกมา
มุมปากของเขาปรากฏรอบยิ้ม แถมภายในใจก็ยังรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
ทำไมน่ะรึ?
เชียนจ้าวหยางคือคู่แข่งของเขา การที่ถูกหลิงฮันทุบตีต่อหน้าสาธารณะชนเช่นนี้ มีรึที่เชียนจ้าวหยางจะยังกล้ายืนอยู่ในตำแหน่งผู้สืบทอดต่อไป?
ต่อให้เชียนจ้าวหยางหน้าด้านไม่ยอมสละตำแหน่ง เขาก็ยังมีวิธีมากมายที่จะเขี่ยอีกฝ่ายให้ไม่สามารถยืนอยู่ในตำแหน่งผู้สืบทอดได้อีกต่อไป
ถ้าเช่นนั้นก็ปล่อยให้หลิงฮันสังหารเชียนจ้าวหยางไปเลยไม่ดีกว่ารึ?
แน่นอนว่าไม่อาจทำเช่นนั้นได้ หากเขาไม่ยื่นมือเข้ามาแทรกแซง ผู้อาวุโสในตระกูลจะต้องกล่าวโทษเขาและอาจถูกปลดจากตำแหน่งผู้สืบทอดเสียเอง
เพราะเหตุนั้นแล้ว หลังจากดูการแสดงสนุกๆมาได้สักพัก เชียนจ้าวเถี้ยนจึงเพิ่งยื่นมือเข้ามาแทรก
หลิงฮันไม่แยแสคำพูดของอีกฝ่าย อย่าว่าแต่เชียนจ้าวเถี้ยนเลย ต่อให้เป็นฟู่เกาหยุนก็ไม่สามารถออกคำสั่งกับเขาได้ เขาจะยอมไว้หน้าใครหรือไม่นั้น ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขาเพียงอย่างเดียว
แคร่ก!
หลิงฮันออกแรงบีบที่มือ ซึ่งคอของเชียนจ้าวหยางก็บิดเบี้ยวผิดรูปและหักในทันที หลังจากนั้นอำนาจของเพลิงเก้าสวรรค์ก็ถูกชี้นำเข้าสู่ร่างกายของเชียนจ้าวหยาง และทำลายห้วงจิตวิญญาณไปพร้อมกับดวงวิญญาณจนสิ้นซาก
“เจ้า!” เชียนจ้าวเถี้ยนเกรี้ยวกราด หลิงฮันกล้าที่จะสังหารผู้สืบทอดขุมอำนาจสามดาวจริงๆ!
ไม่สิ ก่อนหน้านี้เจ้าหมอนี่กล้าล่วงเกินแม้กระทั่งขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ เพราะงั้นสิ่งที่เขาทำในตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ
หลิงฮันมองไปยังเชียนจ้าวเถี้ยนอย่างเย็นชาและกล่าว “ทำไม เจ้าไม่พอใจงั้นรึ? หากเจ้าไม่พอใจก็เข้ามา ข้าจะสั่งสอนเจ้าด้วยอีกคน”
ถึงแม้เชียนจ้าวเถี้ยนจะถลึงตาอย่างไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่กล้ากล่าวตอบประโยคสุดท้ายของหลิงฮัน
แม้แต่เชียนจ้าวหยวนก็ยังถูกสังหารโดยหลิงฮัน แล้วเขาจะไปเหลืออะไร?
แต่ก็น่าแปลก ก่อนหน้านี้เจ้าหมอนี่ยังไม่มีพลังแข็งแกร่งขนาดนี้แท้ๆ แถมยังไม่ได้ทะลวงผ่านระดับด้วย แต่เหตุใดจู่ๆพลังต่อสู้ถึงได้แข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้?
หลินฟาง เถิงเซินและราชาแห่งยุคคนอื่นๆที่เพิ่งมาถึง เมื่อเห็นว่าหลิงฮันสามารถกำราบเชียนจ้าวหยางได้อย่างราบคาย พวกเขาก็รู้สึกตกตะลึงและล้มเลิกความคิดที่จะสังหารหลิงฮันทิ้งทันที
อย่างน้อยภายในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ หลิงฮันก็ไม่ใช่คนที่พวกเขาสมควรไปล่วงเกิน
หลิงฮันกวาดสายตามองฝูงชน ก่อนจะจับมือจักรพรรดินีและก้าวเดินขึ้นสู่ยอดเขา
เมื่อหลิงฮันและจักรพรรดินีมาถึงยอดบนสุดของภูเขา พวกเขาก็พบเห็นตำหนักอันน่าเกรงขามตั้งตระหง่านอยู่ พื้นผิวของตำหนักแห่งนี้เป็นสีดำสนิท โดยที่รูปลักษณ์ของตำหนักได้ถูกสร้างเป็นร่างของมังกร กลิ่นอายของตำหนักแห่งนี้นั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกถึงความน่ายำเกรง แต่ทำให้รู้สึกหวาดกลัว
ในตำนานบางอย่าง มีคำกล่าวว่ามังกรทมิฬคือตัวแทนแห่งปีศาจและเป็นสัญลักษณ์แห่งการทำลายล้าง
“ตำหนักเฉียนหลง” เหนือประตูทางเข้าตำหนัก อักษรขนาดใหญ่สามตัวถูกสลักเอาไว้แถมยังเปล่งประกาย
ประตูของตำหนักถูกเปิดอยู่ แต่ก็ไม่เห็นมีใครอยู่ด้านในเลย
หากจะให้พูดแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่หลิงฮันกับจักรพรรดินีจะมาถึงที่นี่เป็นคนแรก แต่ถ้าเช่นนั้นแล้วคนอื่นๆที่มาถึงก่อนพวกเขาล่ะหายไปไหน?
ทั้งสองมองหน้ากันและก้าวผ่านเข้าไปยังประตู
พวกเขารู้สึกได้ถึงคลื่นพลังต่อต้านที่มองไม่เห็นจนพวกเขาต้องปล่อยมือจากกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทันใดนั้นร่างของทั้งสองคนก็สั่นสะท้าน พร้อมกับถูกแยกย้ายไปปรากฏตัวในห้องหินห้องหนึ่ง
หลิงฮันเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว เขาคิดว่าในห้องแห่งนี้ อาจจะมีมนุษย์หินหรือมนุษย์เหล็กปรากฏตัว โดยที่ถ้าหากเขาเป็นฝ่ายชนะ ก็จะถือว่าผ่านการทดสอบ
นี่ไม่คิดจะมีการทดสอบใหม่ๆเลยรึไง?
ในขณะที่เขากำลังบ่นอยู่ในใจคนเดียวนั่นเอง จู่ๆแสงเงาก็ปรากฏออกมาและค่อยๆเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นมนุษย์ ถึงแม้เขาจะมองไม่เห็นใบหน้าของมนุษย์เงา แต่ก็มั่นว่าใจอีกฝ่ายจะต้องเป็นบุรุษที่ร่างผอมบาง
“รุ่นเยาว์เอ๋ย เหตุใดเจ้าถึงฝึกฝนวรยุทธ?” มนุษย์ร่างเงาเอ่ยถาม
หลิงฮันแน่นิ่งไปชั่วขณะ เนื่องจากคาดไม่ถึงเล็กน้อย
เขาเตรียมพร้อมจะสู้เต็มที่เลยแท้ๆ แต่ไม่นึกว่าจะมาถูกถามคำถามเช่นนี้
ฝึกฝนไปเพื่ออะไรงั้นรึ?
หลิงฮันครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “เพื่อให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น และสามารถก้าวเดินไปตามเส้นทางที่ปรารถนา รวมถึงเพื่อปกป้องมิตรสหายคนสนิท”
“เป็นคำตอบที่ปกติดีนะ” ร่างเงาเอ่ยชม “คำพูดปากเปล่าก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่จิตใจของเจ้าจะแข็งแกร่งพอ ที่จะทนความโดดเดียวในการบ่มเพาะพลังได้รึเปล่า?”
หลิงฮันพยักหน้าตอบ
“ถ้าเช่นนั้น ต่อให้ดวงจิตของเจ้ารู้สึกทรมานเพียงใด ก็อย่าได้ส่งเสียง ไม่เช่นนั้นจะถือว่าเจ้าล้มเหลว” เงารูปร่างมนุษย์กล่าวและชี้นิ้วไปยังหลิงฮัน
‘พรึบ’ จู่ๆหลิงฮันรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบกลายเป็นมืดสนิท
เขาสูญเสียประสาทสัมผัสทั้งห้าไป โดยที่ไม่อาจมองเห็น ได้ยินหรือรู้สึกใดๆ
โชคดีที่หลิงฮันเคยมีประสบการณ์ในรูปแบบนี้มาก่อนแล้วเกินหนึ่งครั้ง เขาทดลองโคจรเพลิงเก้าสวรรค์ดู แต่ก็พบว่าตอนนี้เขาสูญเสียการเชื่อมต่อกับเพลิงเก้าสวรรค์ไปอย่างสิ้นเชิง
แม้แต่สัมผัสสวรรค์ของเขาก็ถูกปิดกั้นด้วยงั้นรึ?
ความทรมานของดวงจิตที่ว่า คือให้ทนอยู่ในความเงียบเช่นนี้น่ะรึ?
หลิงฮันแน่นิ่งไปชั่วขณะ เนื่องจากการสูญเสียประสาทสัมผัสทั้งห้า เป็นความรู้สึกที่น่าหวาดหวั่นอย่างแท้จริง
เพียงแต่จู่ๆเขาก็คิดได้ว่าการฝึกฝนในสถานการณ์แบบนี้ก็เป็นประสบการณ์ที่ไม่เลวเหมือนกัน
ตราบใดที่ภายในสถานการณ์เช่นนี้เขาไม่สติแตกไปเสียก่อน จิตใจของเขาจะมั่นคงและสามารถเผชิญหน้าได้กับทุกสรรพสิ่ง