หนึ่งวัน… สองวัน… หนึ่งปี… สองปี… หนึ่งร้อยปี… สองร้อยปี…
หลิงฮันจมปลักไปกับห้วงเวลา ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่าตนเองตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้มาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว แต่จิตใจก็ยังไม่สั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
เขาเคยมีประสบการณ์สูญเสียประสาทสัมผัสทั้งห้ามาก่อนก็จริง เพียงแต่ว่าในครั้งก่อนๆนั้น เขายังสามารถเข้าสู่หอคอยทมิฬและใช้ทักษะต่างๆได้อยู่ ซึ่งต่างจากครั้งนี้ที่ดวงวิญญาณของเขาราวกับว่าถูกปิดกั้นจากห้วงจิตวิญญาณอย่างสมบูรณ์
แต่ว่าการได้อยู่ในสภาวะเช่นนี้ ก็มีข้อดีตรงที่ทำให้เขาสามารถละทิ้งความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมด และใช้สมาธิไปกับการฝึกฝนเพียงอย่างเดียว
ไม่รู้ว่าตอนนี้เวลาผ่านพ้นมานานเท่าไหร่แล้ว แต่หลิงฮันก็รู้สึกได้ว่าความเข้าใจในรากฐานพลังบ่มเพาะของตน ได้ยกระดับขึ้นมาถึงระดับนิรันดร์สองนิพพานขั้นสูงสุดเป็นที่เรียบร้อย
ก่อนหน้านี้เขาสะสมปราณก่อเกิดจนบรรลุขีดจำกัดในระดับสองนิพพานอยู่ก่อนแล้ว เพราะงั้นเมื่อความเข้าใจในรากฐานพลังบ่มเพาะของเขาบรรลุขีดจำกัดเหมือนกัน หากไม่ทะลวงผ่านขั้นพลังต่อไป ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะขัดเกลาพลังต่อสู้ให้แข็งแกร่งขึ้น
“รุ่นเยาว์ เจ้าผ่านการทดสอบแล้ว” เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูของหลิงฮัน ‘พรึบ’ ทันใดนั้นพื้นที่โดยรอบตัวเขาก็ย้อนกลับคืนมาเป็นห้องหินอีกครั้ง โดยที่มีบุรุษร่างเงายืนอยู่ อีกฝ่ายพาดมือทั้งสองไว้ที่ด้านหลัง และมีสีหน้าไร้อารมณ์
หลิงฮันรู้สึกตกตะลึงมาก
แต่เดิมแล้ว ถึงแม้จะมีต้นสังสารวัฏและแก่นกำเนิดพลังแห่งสวรรค์และปฐพีทั้งสองอยู่ในร่างกาย การที่ความเข้าใจในรากฐานพลังบ่มเพาะของเขาจะบรรลุระดับนิรันดร์สองนิพพานได้ ก็ต้องใช้เวลาราวๆหนึ่งร้อยปี นอกเสียจากว่าจะกินสมุนไพรนิรันดร์เข้าไป
แต่นี่เวลาในโลกภายนอกเพิ่งผ่านไปเพียงเท่าไหร่กันเชียว?
ในขณะที่คำถามผุดขึ้นมาในหัว จู่ๆกำแพงของห้องหินก็เปิดออก ร่างของใครบางคนพุ่งทะยานออกมาอย่างรวดเร็ว และสะบั้นปราณดาบเข้าใส่หลิงฮัน
“เจ้าตัวบัดซบ ตายซะ!” ร่างที่ปรากฏตัวคือสตรีงดงามที่ใบหน้าดับไว้ด้วยความเย็นชาอย่างถึงที่สุด ซึ่งนอกจากจื่อเหอปิงอวิ๋นแล้วจะมีใครอีก?
หลิงฮันขมวดคิ้ว ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้ สตรีผู้นี้ก็มาที่นี่ด้วยเหมือนกัน!
จิตสังหารของเขาเดือดผล่าน เนื่องจากเขาไม่ชอบหน้าจื่อเหอปิงอวิ๋นเป็นอย่างมาก
หลิงฮันพุ่งทะยานร่างเข้าหาจื่อเหอปิงอวิ๋น เขารวบมือทั้งสองเป็นกำปั้นและโคจรอำนาจของพลังต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพีทั้งสองพร้อมกัน หมัดข้างหนึ่งของเขาพัวพันไปด้วยคลื่นความร้อน ในขณะที่หมัดอีกข้างพัวพันไปด้วยคลื่นเย็นยะเยือก
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
ดูเหมือนว่าจื่อเหอปิงอวิ๋นเองก็ได้รับวาสนาจากการทดสอบของตำหนักแห่งนี้เช่นกัน พลังบ่มเพาะของนางยกระดับขึ้นเป็นสามนิพพานขั้นสูงสุด ซึ่งในด้านของพลังต่อสู้นั้น ถึงแม้นางจะเหนือกว่าหลิงฮัน แต่ก็ไม่อาจทำลายพลังป้องกันอันไร้เทียมทานของหลิงฮันได้
“เจ้าตัวบัดซบ ข้าจะถลกเนื้อหนังของเจ้า แล้วนำโลหิตของเจ้ามาดื่มเพื่อสังเวยให้กับความอัปยศของข้า!” จื่อเหอปิงอวิ๋นคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ในขณะที่กำลังประมือ
หลิงฮันพูดไม่ออก นี่นางไม่รู้จริงๆรึว่าแต่เดิมแล้วใครเป็นฝ่ายล่วงเกินใครก่อน?
เขาอยากจะโต้เถียงกลับไป แต่ก็รู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาดขึ้นมาก่อน
เหตุใดคนที่ปรากฏตัวถึงมีเพียงจื่อเหอปิงอวิ๋นแค่คนเดียว แล้วคนอื่นๆล่ะไปไหน?
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หลิงฮันก็พบเจอความผิดปกติอย่างอื่นอีก ถึงแม้อำนาจของวารีพลังหยินเร้นรับกับเพลิงเก้าสวรรค์ที่เขาใช้โจมตีจะทรงพลังเป็นอย่างมาก แต่มันก็ไม่มีกลิ่นอายอันสูงส่งของพลังต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพีอยู่เลยแม้แต่น้อย! ยิ่งกว่านั้นเขาก็ยังสัมผัสถึงหอคอยทมิฬไม่ได้อีก
นั่นหมายความว่าการต่อสู้นี้ก็เป็นหนึ่งการทดสอบเช่นกัน โดยที่หากใครคิดว่าตนเองผ่านการทดสอบแล้วและเกิดประมาท คนผู้นั้นก็จะถูกเล่นงานทันที
เมื่อรู้แบบนี้แล้ว หลิงฮันจึงไม่ต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่าย และเลือกที่จะปลดปล่อยพลังต่อสู้ทั้งหมดโจมตีเข้าใส่จื่อเหอปิงอวิ๋น
ซึ่งก็เป็นในตอนนี้เอง ที่เขาพบว่าถึงแม้กายหยาบของเขาจะทรงพลัง แต่มันก็ไม่ได้ไร้เทียมทานเหมือนกับกายหยาบที่ถูกขัดเกลาด้วยทักษะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ เห็นได้ชัดว่าอำนาจลึกลับบางอย่างได้พยายามที่จะเลียนแบบพลังของเขามาให้ใช้ในการทดสอบ แต่เนื่องจากคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ วารีพลังหยินเร้นลับและเพลิงเก้าสวรรค์มีระดับที่สูงเกินไป ทำให้ไม่สามารถจำลองพลังมาให้เขาใช้ทดสอบได้อย่างสมบูรณ์
ดูเหมือนว่าแต่เดิมแล้วเขตแดนลี้ลับแห่งนี้จะเป็นที่ตั้งของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์อย่างที่ว่าจริงๆ เพียงแต่ว่าต่อให้สถานที่แห่งนี้จะถูกสร้างขึ้นโดยราชานิรันดร์จริง แต่ ณ เวลานี้มันก็ถูกทิ้งล้างไปนานแล้ว
เพราะงั้นถ้าหากลองใช้หัวคิดดูดีๆ รูปแบบอาคมสำหรับการทดสอบอาจจะมีช่องโหว่ ที่สามารถทำให้ พลังที่ถูกจำลองมาทรงพลังยิ่งขึ้นก็เป็นได้
หลิงฮันตั้งมั่นในใจ ‘ข้าไม่ใช้จอมยุทธระดับโลกียนิพพาน ข้าคือตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณ!’
‘ตูมมม’ พลังทำลายอันน่าสะพรึงกลัวหลั่งไหลออกมาจากการโจมตีของเขา จื่อเหอปิงอวิ๋นถูกบดขยี้กลายเป็นเศษเงาในพริบตาและสลายหายไป
“ไม่เลว ไม่เลว!” เสียงของมนุษย์ร่างเงาเอ่ยดังขึ้นในหูหลิงฮัน
ทันใดนั้นสภาพแวดล้อมภายในห้องหินก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยโดยที่แทบจะไม่รู้สึกตัว หลิงฮันทดลองสื่อสารกับหอคอยทมิฬดูก่อนจะถอนหายใจโล่งอก
ณ เวลานี้ เขาผ่านการทดสอบแล้วอย่างแท้จริง
หลิงฮันทำการสำรวจการเปลี่ยนแปลงของร่างกายของตนเอง เพื่อดูว่าเวลาในโลกแห่งความจริงผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว เขาใช้เวลาตรวจสอบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแสดงท่าทีตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด… เวลาเพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น!
ภายในเวลาไม่กี่ลมหายใจนี้ เขาสามารถยกระดับพลังจากนิรันดร์สองนิพพานขั้นกลาง ไปยังสองนิพพานขั้นสูงสุดได้งั้นรึ? นี่มันปาฏิหาริย์ชัดๆ!
หรือนี้จะเป็นพลังอำนาจบางอย่างของราชานิรันดร์?
“เป็นอย่างที่เจ้าคิด” มนุษย์ร่างเงาหยักหน้า “สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นการทดสอบก็จริง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นวาสนาด้วยเช่นกัน แต่ใครจะได้รับวาสนารึไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าคนคนนั้นมีจิตใจที่หนักแน่นมากเพียงใด เพียงแต่ว่าวาสนาเช่นนี้ สามารถเกิดขึ้นได้เพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น และจอมยุทธที่จะรับวาสนาต้องมีพลังบ่มเพาะไม่เกินระดับโลกียนิพพานด้วย ไม่เช่นนั้นหากฝืนรับวาสนา ดวงวิญญาณของคนผู้นั้นก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัส ถึงขนาดที่แม้แต่ราชานิรันดร์ก็ไม่สามารถช่วยเหลือได้”
หลิงฮันรู้สึกสงสัยและเอ่ยถามออกไป “หากเป็นกรณีที่ว่า จิตใจของข้าแข็งแกร่งพอที่จะทนต่อการทดสอบทรมานจิตได้ แต่ข้าล้มเหลวในการทดสอบต่อสู้เมื่อครู่ล่ะจะเกิดอะไรขึ้น?”
จื่อเหอปิงอวิ๋นตัวปลอมเมื่อครู่เป็นหนึ่งในการทดสอบก็จริง แต่ก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นกับดักด้วยเช่นกัน
มนุษย์ร่างเงาตอบกลับอย่างไร้อารมณ์ “หากเป็นเช่นนั้น เจ้าก็จะไม่สามารถผ่านไปยังสถานที่ต่อไป เพื่อไขว่คว้าวาสนาที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมได้”
“วาสนาอันใดรึ?” หลิงฮันเอ่ยถาม