ความเร็วของคลื่นแสงรวดเร็วเป็นอย่างมาก อย่าว่าแต่จอมยุทธระดับโลกียนิพพานเลย เกรงว่าต่อให้เป็นตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณก็คงไม่อาจหลบพ้น คลื่นแสงที่พุ่งเข้ามาปะทะเข้าที่ขาของหลิงฮันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
เพียงแต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ ร่างของหลิงฮันยังยืนแน่นิ่งราวกับหินผา
อะไรกัน!
ใบหน้าของจื่อเหอปิงอวิ๋นแสดงออกถึงความตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด ปากของนางอ้าค้างโดยไม่รู้ตัว
เป็นไปได้อย่างไร!
หลิงฮันเค้นเสียงและพุ่งทะยานร่างเข้าจู่โจมจื่อเหอปิงอวิ๋น “สตรีเดรัจฉาน ข้าจะตัดหัวของเจ้าไปสังเวยให้เผ่ากูลู!”
“ช่างไม่ประมานตน!” จื่อเหอปิงอวิ๋นกล่าวอย่างเหยียดหยามหลังจากตั้งสติกลับมาได้
เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงคิดจะนำช้าไปสังเวยให้คนตาย?
ตัวนางนั้นเป็นถึงผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ เจ้าไม่รู้รึไงว่าในอนาคตสถานะของข้าจะสูงส่งขนาดไหน?
แค่ต้านทานพลังของท่อนไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้ เจ้าคิดว่าตนเองจะมีคุณสมบัติเป็นคู่ต่อสู้ของข้าแล้ว?
จื่อเหอปิงอวิ๋นเข้าปะทะกับหลิงฮันอย่างดุเดือด ซึ่งนางมั่นใจในพลังของตัวเองเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้ที่นางใช้ท่อนไม้ในการข่มขู่ก็เพราะหลิงฮันนั้นมีกายหยาบที่ทรงพลังเกินไป นางจึงไม่ต้องการสิ้นเปลืองพลังของตัวเอง
“เจ้าเป็นคนของขุมอำนาจราชานิรันดร์ขุมอำนาจใด?” นางเอ่ยถาม หากไม่ใช่เพราะมีตราประทับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของราชานิรันดร์อยู่ภายในร่างกายล่ะก็ อีกฝ่ายจะสามารถต้านทานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของอำนาจต้นกำเนิดปฐพีได้อย่างไร?
คลื่นแสงที่เกิดจากท่อนไม้ท่อนนี้ มีพลังทำลายของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่เทียบได้กับของราชานิรันดร์ หากไม่ใช่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ในระดับเดียวกันล่ะก็ เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่จะต้านทานได้
“ฮึ่ม หากเป้าหมายไม่ใช่คนของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ เจ้าก็จะสังหารใครก็ได้ตามใจชอบงั้นรึ?” หลิงฮันใช้ท่อนไม้ศักดิ์สิทธิ์โจมตีเช่นกัน คลื่นแสงแห่งความตายถูกปล่อยปล่อยพุ่งเข้าใส่ร่างของจื่อเหอปิงอวิ๋นอย่างไม่อาจหลบพ้น
เพียงแต่ร่างกายของจื่อเหอปิงอวิ๋นเองก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน นางยังคงกระหน่ำปลดปล่อยการโจมตีอย่างเนื่อง พร้อมกับกล่าวเหยียดหยาม “คิดว่ามีแค่เจ้าคนเดียวรึไง ที่สลักตราประทับของราชานิรันดร์เอาไว้ในร่าง?”
หลิงฮันเข้าใจทันทีว่าทำไมอีกฝ่ายถึงคิดว่าเขาเป็นคนของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์
ในเมื่อท่อนไม้ศักดิ์สิทธิ์ใช้ไม่ได้ผล เขาจึงเปลี่ยนมาโคจรพลังของเพลิงเก้าสวรรค์และวารีพลังหยินเร้นลับมาไว้ที่กำปั้น เพื่อต่อกรกับจื่อเหอปิงอวิ๋นแทน
ในด้านของพลังต่อสู้นั้น จริงอยู่ที่เขายังเทียบกับนางไม่ได้ เพียงแต่เมื่อโคจรแก่นกำเนิดพลังทั้งสองเข้ามาช่วยเหลือแล้ว การปะทะครั้งนี้เขาจึงไม่ได้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแม้แต่น้อย
จื่อเหอปิงอวิ๋นแสยะยิ้ม ต่อให้เจ้าจะมีตราประทับของราชานิรันดร์สลักเอาไว้ในร่าง แต่คิดรึว่าว่าพลังของตราประทับนั่นจะใช้ได้อย่างไรขีดจำกัด?
ลองดูอย่างนางเป็นตัวอย่าง จนถึงตอนนี้นางใช้พลังของตราประทับภายในร่างเพียงเพื่อป้องกันตนเองเท่านั้น และไม่เคยใช้สำหรับการโจมตีเลยสักครั้ง เพราะไม่งั้นพลังของตราประทับจะค่อยๆถูกเผาผลาญจนไม่เหลือ
หากไม่มีพลังของตราประทับราชานิรันดร์คอยคุ้มครองร่างกายล่ะก็ นางจะไม่สามารถเก็บเกี่ยวหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ได้
เพราะงั้นในความคิดของนาง การกระทำของหลิงฮันจึงบ้าบิ่นเป็นอย่างมาก หากนำพลังของตราประทับมาใช้ในการโจมตีเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง และพลังของตราประทับแห้งเหือดขึ้นมา เขาไม่คิดรึว่าตนเองจะหมดสิทธิครอบครองหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์?
ทั้งสองปะทะกันอย่างดุเดือด แต่ยิ่งการต่อสู้ดำเนินไปเท่าไหร่ จื่อเหอปิงอวิ๋นก็ยิ่งตกตะลึงมากขึ้น ดูจากการอัตราการโจมตีอย่างต่อเนื่องของหลิงฮันแล้ว ตราประทับราชานิรันดร์ที่ประทับเอาไว้ภายในร่างกายสมควรจะถูกเผาผลาญไปจนหมดแล้วไม่ใช่รึไง? แต่เหตุใดอีกฝ่ายถึงยังสามารถโจมตีได้รุนแรงราวกับพลังไม่มีสิ้นสุดกัน?
เป็นไปได้อย่างไร?
ต้องรู้ก่อนว่าถึงแม้พลังของราชานิรันดร์จะไร้ขีดจำกัด แต่ทั้งหลิงฮันและนางก็ยังเป็นเพียงจอมยุทธระดับโลกียนิพพานเท่านั้น เพราะงั้นอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่สามารถรับมาไว้ในร่างได้จึงมีจำกัด หากสลักตราประทับแห่งกฎเกณฑ์ที่เกินระดับพลังบ่มเพาะเอาไว้มากเกินไป ร่างกายจะรับไม่ไหวจนถึงขั้นระเบิดและตายได้!
หรือจะเป็นเพราะว่ากายหยาบของอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าจอมยุทธทั่วไป ถึงได้สามารถสลักตราประทับเอาไว้ได้จำนวนมาก?
แต่เรื่องแบบนั้นจะเป็นไปได้รึ?
การต่อสู้ดำเนินต่อไป โดยที่ความตกตะลึงของจื่อเหอปิงอวิ๋นค่อยๆเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากหลิงฮันยังคงปลดปล่อยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ระดับราชานิรันดร์ออกมาไม่หยุดหย่อน
นางไม่อาจทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และทำได้เพียงตกตะลึง
ซึ่งในขณะเดียวกันนั้นเอง จนถึงตอนนี้ตราประทับราชานิรันดร์ที่สลักเอาไว้ในร่างกายของนาง ก็ถูกเผาผลาญไปแล้วมากกว่าครึ่งแล้ว
หากยังสู้ต่อไป เกรงว่านางอาจจะไม่เหลืออำนาจของตราประทับมากพอให้เอาไว้เก็บเกี่ยวหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์
“ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ!” จื่อเหอปิงอวิ๋นกล่าวคำพูดทิ้งท้ายไว้และล่าถอยอย่างไม่ลังเล นางไม่ต้องการเผาผลาญอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อย่างเปล่าประโยชน์อีกต่อไป
หลิงฮันไม่ได้ไล่ตามนาง เนื่องจากต่อให้ไล่ตามไปเขาก็ยังไม่สามารถสังหารจื่อเหอปิงอวิ๋นได้อยู่ดี
ต้องรีบทะลวงผ่านระดับสามนิพพาน!
หลิงฮันกล่าวในใจ ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะมีความคิดนี้อยู่แล้ว แต่หลังจากที่รู้ว่าจื่อเหอปิงอวิ๋นสังหารหมู่เผ่ากูลู ความมุ่งหน้าในจิตใจของเขาก็ลุกโชนกว่าเดิมหลายเท่า
เขากลับไปยังหมู่บ้านเผ่าคนแคระพร้อมกับจักรพรรดินีและธิดาโร๋ว ภาพที่พวกเขาเห็นคือศพของคนแคระทุกคนที่นอนเกลื่อนกลาดไปทั่วบริเวณ โดยที่ไม่มีผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว
“สตรีผู้นั้นช่างโหดเหี้ยมนัก!” หลิงฮันกวาดสายตามองด้วยร่างกายที่สั่นเครือ
ถึงแม้เขาจะคลุกคลีอยู่กับพวกคนแคระได้ไม่นาน แต่เขาก็ถูกชะตาในความใสซื่อของพวกเขาเป็นอย่างมาก และไม่เคยคิดว่าก่อนว่าวันหนึ่งจะมีเหตุการ์ณเช่นนี้เกิดขึ้น
“จื่อเหอปิงอวิ๋น หากข้าไม่สังหารเจ้า โทสะในจิตใจของข้าจะไม่มีวันสลายไป!” หลิงฮันกล่าวในขณะที่แหงนมองท้องฟ้า
‘พรึบ’ ในจังหวะนั้นเอง จู่ๆพื้นดินจุดหนึ่งก็แยกตัวและร่างของกระต่ายหัวหมาป่าก็พุ่งทะยานออกมา ปากของมันขยายกว้างหลายสิบฟุตกลายเป็นหลุมดำอันไร้ที่สิ้นสุดและงับเข้าใส่หลิงฮัน
เป็นเจ้าสมุนไพรกลายพันธุ์!
หมอนี่ช่างน่าอัศจรรย์เป็นอย่างมากที่สามารถหลบซ่อนตัวจากสัมผัสสวรรค์ของเขาได้ แถมยังฉลาดถึงขนาดหาโอกาสโจมตีในจังหวะที่เขากำลังเกรี้ยวกราด และสภาพจิตใจอยู่สภาวะผันผวน
ถึงแม้หลิงฮันจะตกตะลึง แต่ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา สิ่งที่เขาเป็นกังวลมาตลอดคือการที่เจ้าสมุนไพรตนนี้จะไม่ปรากฏตัวอีกครั้ง!
สมุนไพรตนนี้บังอาจกินก้นส่วนหนึ่งของเมฆาสวรรค์เจ็ดชีวิตเข้าไป ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องคิดบัญชีกับมันให้ได้
‘พรวบ’ สมุนไพรนิรันดร์ดูดกลืนร่างของหลิงฮันหายไปในพริบตา หัวหมาป่าของมันคืนสภาพกลับไปมีขนาดปกติก่อนจะเลียน้ำลายที่มุมปาก