หลิงฮันโคจรทักษะแสงอัสนี และไล่ล่าตามไปด้วยความเร็วที่ทัดเทียม
“มิติเอกเทศ!” หลิงฮันยื่อมือไปออกไปด้านหน้าและควบแน่นพลังไปยังจุดที่ลั่วจ่างเฟิงอยู่
ลั่วจ่างเฟิงรู้สึกเย็นยะเยือกจนขนบนแผ่นหลังลุกซู่ เขากัดฟันและรัดเค้นพลังของสายฟ้าภายในร่าง ‘ครืนน’ ความเร็วของเขาถูกยกระดับขึ้นและระเบิดความเร็วที่เหนือกว่าการโจมตีของหลิงฮันออกมา
มิติเอกเทศสัมผัสโดนเพียงอากาศที่ว่างเปล่า
หลิงฮันตกตะลึงเล็กน้อย กายหยาบกำเนิดอัสนีสวรรค์ไม่ใช่เล่นๆเลยจริงๆ
แต่จะว่าไปก่อนหน้านี้เขาก็ดูดซับสมุนไพรนิรันดร์กลายพันธุ์ ที่มีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนีผสานเอาไว้เข้าไปไม่ใช่รึ?
ต้องลองดูบ้าง!
ในขณะที่กำลังไล่ล่า หลิงฮันได้ทำการเพ่งจิตนึกถึงอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่เพิ่งดูดซับจากสมุนไพรนิรันดร์
ก่อนหน้านี้ที่ดูดซับสมุนไพรนิรันดร์กลายพันธุ์เข้าไป สิ่งที่เขาซึมซับและย่อยเข้าสู่ร่างกายมีเพียงแค่อำนาจแห่งเต๋าเท่านั้น เพราะรีบที่จะทะลวงผ่านระดับสามนิพพานให้เร็วที่สุด ทำให้ไม่มีเวลาซึมซับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองของสมุนไพร
‘เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ’ เขาค่อยๆซึมซับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนี โดยที่คลื่นสายฟ้ารอบกายเริ่มขยายกว้างขึ้นทีละน้อย
ในความเป็นจริงนั้น อำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนีนั้นคืออำนาจที่หลิงฮันเชี่ยวชาญที่สุด เพราะว่าเขาใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนีของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ ขัดเกลากายหยาบตั้งแต่อยู่โลกใบเล็กแล้ว แถมเขายังดัดแปลงอำนาจของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ มาเป็น ทักษะโจมตีของตนเองอีก
ก็แค่ว่าเพลิงเก้าสวรรค์กับวารีพลังหยินเร้นลับนั้น มีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่แข็งแกร่งเทียบเท่าราชานิรันดร์ พักหลังนี้เขาจึงเลือกที่จะใช้อำนาจของแก่นกำเนิดพลังทั้งสองนี้มากกว่า
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนีของนางนั้นอ่อนด้อย ที่จริงนั้นตรงกันข้ามเลยเสียมากกว่า ความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนีของเขานั้นโดดเด่น จนสามารถประยุกต์ทักษะอัสนีขึ้นมาได้มากมาย
ด้วยเหตุนี้ อำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนีของสมุนไพรนิรันดร์กลายพันธุ์ ที่ลอยอยู่ในห้วงจิตวิญญาณของเขา จึงถูกซึมซับอย่างรวดเร็ว
ดวงตาสองข้างของหลิงฮันเริ่มส่องประกาย และแปรเปลี่ยนเป็นเส้นสายฟ้าสีขาวไหลผ่านไปทั่วร่าง พริบตาเดียวกันนั้น ร่างกายของเขาก็พุ่งทะยานขึ้นหน้าด้วยความเร็วที่สูงขึ้น
ทักษะแสงอัสนีของเขาพัฒนาเป็นทักษะใหม่!
ลั่วจ่างเฟิงที่กำลังเผ่นหนีอยู่รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก ที่จู่ๆความเร็วของหลิงฮันก็เพิ่มสูงขึ้น และค่อยๆขยับเข้ามาใกล้เขาเรื่อย
เขาตกตะลึงจนเผลออ้าปากค้างลิ้นห้อย
ต้องรู้ก่อนว่า ความเร็วที่เขาใช้เคลื่อนที่อยู่ในตอนนี้นั้น เป็นความสามารถของกายหยาบกำเนิดอัสนีสวรรค์ ที่เขามั่นใจเป็นอย่างมากว่าในระดับโลกียนิพพาน ไม่มีใครสามารถไล่ตามทันอย่างแน่นอน
แต่ทว่าหลิงฮันนั้นไม่เพียงแค่กำลังไล่ตามเขาทัน แต่ยังดูเหมือนว่าจะรวดเร็วยิ่งกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ
หรือว่าหมอนี่จะไม่ได้แค่ครอบครองแก่นกำเนิดพลังเปลวเพลิงและวารี แต่ยังครอบครองแก่นกำเนิดอัสนีอีกด้วย?
ลั่วจ่างเฟิงตกตะลึงจนกลายเป็นไร้คำพูด ในขณะเดียวกันนั้นเอง หลิงฮันก็ค่อยๆทะยานร่างเข้ามาเรื่อยๆ จนใกล้จะถึงระยะที่สามารถโจมตีถึงแล้ว
ลั่วจ่างเฟิงเค้นเสียงและกล่าว “หลิงฮัน เจ้าสังหารจื่อเหอปิงอวิ๋นไปแล้ว และจะต้องถูกขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ไล่ล่าแน่นอน หากเจ้ายังล่วงเกินตำหนักเมฆาอัสนีอีก โอกาสรอดชีวิตของเขาจะไม่เหลืออีกต่อไป!”
หลิงฮันหัวเราะ “เจ้าพูดเหมือนกับว่า หากข้าไม่ไล่ล่าเจ้า แล้วตำหนักเมฆาอัสนีจะปล่อยข้าไปอย่างนั้นล่ะ”
“ข้าไม่ได้มีความบาดหมางอันลึกซึ้งกับเจ้า!” ลั่วจ่างเฟิงพยายามโน้มน้าว
หลิงฮันแสยะยิ้มและกล่าว “เจ้าคิดว่าข้าโง่รึไง? เจ้ารู้แล้วว่าข้ามีอำนาจต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพีอยู่ถึงสอง และหลังจากนี้อาจจะได้ครอบครองหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ ด้วยนิสัยละโมบของเจ้า มีรึที่จะยอมปล่อยข้าไป? ให้ข้าเดานะ หลังจากที่ออกจากเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ไป เจ้าจะต้องเรียกปรมาจารย์ที่ทรงพลังจากตำหนักเมฆาอัสนี มาจัดการข้าเป็นแน่”
ลั่วจ่างเฟิงชะงักเพราะเขาคิดแบบนั้นๆ “จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร! ข้าขอให้สัตย์สาบานด้วยเกียรติของข้าเลย!”
หลิงฮันส่ายหัว “ลั่วจ่างเฟิง เจ้านี่มันไร้ศักดิ์ศรียิ่งกว่าสตรีเสียอีก! ในสถานการณ์สิ้นหวัง ขนาดจื่อเหอปิงอวิ๋นก็ยังสู้สุดชีวิตจนตัวตาย แต่เจ้ากลับเลือกที่จะอ้อนวอนขอชีวิต!”
ลั่วจ่างเฟิงเกรี้ยวกราดและคำรามออกมา “หลิงฮัน เจ้าอย่าได้คิดว่าจะสามารถเหยียดหยามคำคนอื่นได้ตามใจชอบ เพียงแค่เพราะเจ้าครอบครองเพลิงเก้าสวรรค์และวารีพลังหยินเร้นลับ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เป็นเพียงแค่นิรันดร์สามนิพพานตัวจ้อย ที่อ่อนด้อยกว่าตัวระดับแบ่งแยกวิญญาณทุกคน!”
หลิงฮันหัวเราะ “ลั่วจ่างเฟิง เจ้าคิดว่าอำนาจต้นกำเนิดสวรรค์ทั้งสอง คือเหตุผลที่ทำให้ข้ากล้าหยิ่งผยองงั้นรึ?” ไพ่ลับที่ทรงพลังที่สุดของเขาคือหอคอยทมิฬต่างหาก อย่างน้อยต่อให้เป็นตัวตนระดับขอบเขตตำหนักอมตะ ก็ไม่สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของหอคอยทมิฬ!
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จิตใจของลั่วจ่างเฟิงก็สั่นสะท้านด้วยความหวาดผวา
ถ้าหากอำนาจต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพียังไม่ใช่ไพ่ลับของหลิงฮัน แล้วสิ่งใดกันล่ะที่เป็นไพ่ลับของเขา?
ยังมีสิ่งอื่นใดที่ทรงพลังกว่าอำนาจต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพีอีกรึ?
ลั่วจ่างเฟิงนึกออกแค่เพียงราชานิรันดร์ จะบอกว่าหลิงฮันมีพลังของราชานิรันดร์อยู่ในร่างกายอย่างนั้นรึ? ไม่มีทาง!
แต่มองยังไงหลิงฮันก็ดูไม่เหมือนคนที่กำลังโกหกแม้แต่น้อย อีกฝ่ายรู้อยู่แล้วว่าหากสังหารจื่อเหอปิงอวิ๋นแล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไร ก็ยังกล้าไล่ล่านางโดยไม่ลังเล
“จะ… เจ้าเป็นใครกันแน่?” คราวนี้ลั่วจ่างเฟิงหวาดกลัวอย่างแท้จริง เขารู้สึกว่าต่อให้เป็นตำหนักเมฆาอัสนี ก็ไม่อาจคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่เขาได้
“ลองเดาดูสิ” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ภายในช่วงเวลาเสี้ยววินาที ภายในหัวของลั่วจ่างเฟิงได้นึกถึงความเป็นไปได้นับไม่ถ้วน
หรือว่าจะเป็นราชานิรันดร์ระดับเก้ากัน? ถึงแม้จะเป็นขุมอำนาจที่เรียกว่าขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์เหมือนกัน แต่ขุมอำนาจของราชานิรันดร์ระดับหนึ่ง จะไปเทียบกับขุมอำนาจของราชานิรันดร์ระดับสองได้อย่างไร?
ต่างแตกต่างของพลังนั้นกว้างใหญ่ไพศาลไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า!
ราชานิรันดร์ของตำหนักเมฆาอัสนีคือราชานิรันดร์ระดับหนึ่งเท่านั้น ซึ่งตราบใดที่เขาไม่ได้ปะทะเป็นตายกับราชานิรันดร์คนอื่น ชีวิตของเขาจะคงอยู่ตราบชั่วนิรันดร์
หรือแท้จริงแล้ว หลิงฮันจะเป็นผู้สืบทอดของราชานิรันดร์ระดับสอง… ระดับสาม… หรืออาจจะระดับเก้า?
หากไม่ใช่เพราะสาเหตุนั้นล่ะก็ หลิงฮันจะไปนำความมั่นใจมาจากไหน? นอกจากนั้นแล้ว คิดว่าราชานิรันดร์ที่จะยอมมอบอำนาจต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพี ให้รุ่นเยาว์ของตนเองนั้น จะต้องเป็นราชานิรันดร์ระดับใด? เกรงว่าคงมีเพียงราชานิรันดร์ระดับเก้าเท่านั้น! เนื่องจากพวกเขาบรรลุระดับพลังที่สูงสุดแล้ว อำนาจต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพีจึงไม่มีประโยชน์ต่อพวกเขาอีกต่อไป
เขากัดฟันและกล่าว “ข้าขอติดตามเจ้าเป็นนายท่านได้หรือไม่?”
เมื่อเขากล่าวประโยคนั้นออกไป จิตใจของเขาก็รู้สึกทรมานราวกับท้องฟ้าร่วงหล่นมาใส่
ในฐานะที่เป็นถึงผู้สืบทอดของตำหนักเมฆาอัสนี ช่างน่าเหลือเชื่อนักที่ลั่วจ่างเฟิงกล่าวขอเป็นลิ่วล้อของผู้อื่นด้วยปากตัวเองเช่นนี้