หลิงฮันใช้เวลาหนึ่งวันอยู่ในหุบเขาเพื่อพักผ่อนเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เขาได้รับสินสงครามมาเป็นจำนวนมาก ในช่วงพักผ่อนเขาได้นำดาบอสูรนิรันดร์ออกมาเพื่อดูดกลืนแร่โลหะที่เพิ่งได้รับมา นอกจากอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์ที่ได้จากเชียนจ้าวหยางแล้ว ก็ยังอีกมากมายที่ได้รับมาจากลั่วจ่างเฟิงและจื่อเหอปิงอวิ๋น
ทั้งสองคนสมแล้วที่เป็นผู้สืบทอดของขุมอำนาจทรงพลัง ความมั่งคั่งของพวกเขาช่างน่าอัศจรรย์นัก!
เขาให้ดาบอสูรนิรันดร์กลืนกินอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์และแร่โลหะทั้งหมดที่มี จนในที่สุดอุปกรณ์นิรันดร์ในอนาคตชิ้นนี้ ก็บรรลุเป็นอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์ระดับสาม
ระดับสามจากสิบระดับ… ถือว่าสำเร็จเกือบจะหนึ่งในสามส่วนแล้ว
หลิงฮันพึงพอใจเป็นอย่างมาก ระดับของดาบอสูรนิรันดร์เหนือกว่าพลังบ่มเพาะเขาไปแล้ว ระดับของมันในตอนนี้สามารถเทียบได้กับ จอมยุทธระดับตัดวิญญาณหยางหรือตัดวิญญาณหยิน แต่น่าเสียดายที่เป็นเพราะพลังบ่มเพาะของเขายังต่ำกว่าดาบอสูรนิรันดร์ เขาจึงไม่สามารถสลักตราประทับแห่งเต๋าที่ทรงพลังยิ่งขึ้นลงไปได้ ทำให้พลังของมันถูกจำกัดเอาไว้
แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เขาค่อยบ่มเพาะพลังตามไปทีหลังก็ไม่เสียหาย
หนึ่งวันผ่านไป หลิงฮันกับจักรพรรดินีก็ตัดสินใจที่จะมุ่งหน้าไปยังอาณาเขตสุดท้าย ซึ่งก็คือส่วนที่เป็นภูเขาไฟ เพื่อเข้าสู่ส่วนลึกที่สุดของเขตแดนลี้ลับ
แต่ในขณะที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังเป้าหมาย พวกเขาก็พบว่าจู่ๆอาณาเขตภายในหุบเขาก็กลายเป็นครึกครื้น เนื่องจากธิดาโร๋วได้ปรากฏตัว
สตรีแห่งนิกายซู่หนู่ผู้นี้ช่างงดงามและมีเสน่ห์อย่างแท้จริง ไม่รู้ว่ามีบุรุษมากมายที่คนที่จ้องมองนางด้วยแววตาที่แข็งค้าง และน้ำลายไหล
ธิดาโร๋วเองก็พบเห็นหลิงฮันกับจักรพรรดินีเช่นกัน ซึ่งมุมปากของเขาก็กระตุกเล็กน้อยทันที
แน่นอนว่านางดื่มชาจากต้นสังสารวัฏไปแล้ว และเนื่องจากตอนนั้นนางอยู่ในอารมณ์โมโห นางจึงดื่มน้ำชาจากใบชาในขวดหยกรวดเดียวหมด และรู้สึกเสียใจแทบตายมาถึงตอนนี้
น้ำชานั่นจะต้องเป็นชาระดับนิรันดร์อย่างแน่นอน!
ถึงแม้ใบชาจะไม่มีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ให้ซึมซับ แต่มันสามารถช่วยให้นางรู้แจ้งถึงอำนาจแห่งเต๋าได้อย่างน่าอัศจรรย์
เจ้าบุรุษบัดซบ เป็นเพราะเจ้าไม่ได้บอกข้าว่าใบชาขวดนั้นล้ำค่าขนาดไหน ข้าถึงได้ดื่มมันอย่างสูญเปล่าแทบหมดในรวดเดียว!
เมื่อจ้องมองไปยังหลิงฮัน ธิดาโร๋วก็อารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นมาและอย่างจะลงมือทุบตี เพียงแต่เมื่อนางนึกว่าหลิงฮันนั้นเป็นตัวปัญหาขนาดไหน นางจึงเลือกที่จะไม่ลงมือ เพราะเกรงว่าจะติดร่างแหไปด้วย
หลิงฮันที่เห็นเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา และจับมือพาจักรพรรดินีเดินหน้าต่อไป เพียงแต่ว่าหลังจากที่พวกเขาเดินต่อไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆพื้นดินเบื้องล่างก็แยกออก พร้อมกับเงาของคนสามคนได้พุ่งทะยานออกมา และทะลวงฝ่ามือเข้าใส่หลิงฮัน
ในขณะเดียวกัน โขดหินขนาดใหญ่รอบด้านของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงและหายไป โดยที่ร่างของคนอย่างน้อยสิบคนปรากฏมาแทนที่ พร้อมกับพุ่งทะยานปลดปล่อยการโจมตีใส่หลิงฮันจากทุกทิศทาง
หลิงฮันตกตะลึงเล็กน้อย สิ่งที่ทำให้เขาตะลึงนั้นไม่ใช่การลอบโจมตีของคนเหล่านี้ แต่เป็นทักษะที่พวกเขาใช้หลบซ่อนตัวต่างหาก เนื่องจากจนกระทั่งคนเหล่านี้เริ่มลงมือโจมตี เขาไม่สามารถตรวจจับตัวตนของพวกเขาได้เลยแม้แต่น้อย
ทักษะซ่อนตัวที่คนเหล่านี้ใช้ นับว่าน่ายกย่องจริงๆ
ในตอนแรกธิดาโร๋วก็ตกตะลึงเช่นกัน และคิดที่จะลงมือช่วยเหลือ แต่เมื่อนางนึกขึ้นได้ว่าหลิงฮันนั้นเป็นสัตว์ประหลาดที่ทรงพลังขนาดไหน นางก็ล้มเลิกความคิดทันที
นางเห็นมาด้วยตาตัวเองว่า ขนาดลั่วจ่างเฟิงและจื่อเหอปิงอวิ๋นยอมสละชีวิตเพื่อระเบิดตัวเอง ก็ยังไม่สามารถทำอะไรหลิงฮันได้
ตูม!
การโจมตีจากจอมยุทธหลายสิบคนระเบิดพลังออกมา แสงของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์บิดเบี้ยวไปทั่ว และเกิดเป็นคลื่นทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวอย่างไร้ที่สิ้นสุด
ในระยะที่ห่างออกไป ใครหลายคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างรู้สึกตกตะลึงกับการลอบโจมตีครั้งนี้และส่ายหัวไปตามๆกัน หากถูกลอบโจมตีด้วยจำนวนคนขนาดนี้ โดยที่มีราชาแห่งยุคหลายคนร่วมด้วยล่ะก็ หลิงฮันจะต้องตายอย่างแน่นอน
แต่นั่นก็ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้หลิงฮันทำตัวโดดเด่นกันล่ะ?
แต่เมื่อคลื่นแสงอำนาจแห่งกฎเกณฑ์สลายไป ร่างของหลิงฮันกับจักรพรรดินีกลับยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม โดยที่มีร่องรอยบาดเจ็บอยู่บนร่างกายเลยแม้แต้นิดเดียว แถมยังดูเหมือนไม่ได้ถูกโจมตีเสียด้วยซ้ำ
อะไรกัน!
“ไม่จริง!” หนึ่งในผู้ลอบโจมตีคนหนึ่งอุทานออกมา
ต่อให้หลิงฮันจะสามารถป้องกันการโจมตีทั้งหมดได้ แต่ก็ไม่สมควรง่ายดายขนาดนี้
แน่นอนว่าเหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ ในชั่วพริบตาหลิงฮันได้ปลดปล่อยทักษะมิติเอกเทศใส่ตัวเองและจักรพรรดินี ด้วยพลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้ มิติที่เขาสร้างขึ้นย่อมไม่มีทางถูกทำลายเพราะการโจมตีของเศษสวะเหล่านี้
หลิงฮันมองไปยังชายที่ร้องโอดครวญและปล่อยหมัด ‘ตูม’ เพียงการโจมตีเดียว ร่างของชายผู้นั้นก็ถูกบดขยี้กลายเป็นฝนโลหิต
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า สีหน้าของเหล่าผู้ลอบโจมตีก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือดและเผ่นหนีทันใด กลุ่มของพวกเขามีคนอยู่หลายสิบคน ส่วนฝั่งหลิงฮันมีแค่คนเดียว อย่างมากอีกฝ่ายก็สามารถไล่ตามพวกเขาทันแค่หนึ่งหรือสองคนเท่านั้น
พวกเขาไม่ได้รู้เลยว่า ความคิดของพวกเขาช่างไร้เดียวสานัก
จักรพรรดินีเค้นเสียง ‘พรึบ พรึบ พรึบ’ สัตว์อสูรสงครามสิบตัวปรากฏออกมาและคำรามใส่เหล่าผู้ลอบโจมตี
สัตว์อสูรสงครามน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก เพียงชั่วครู่ เหล่าผู้รอบโจมตีสองถึงสามคนก็ถูกแผดเผาเป็นเถ้าถ่าน
หลิงฮันเองก็ลงมือเช่นกัน เขาโคจรทักษะแสงอัสนีและพุ่งทะยานไปกำจัดเหล่าคนที่ลอบโจมตีที่เหลือจนสิ้นซาก
เขาปัดสิ่งเปราะเปื้อนบนมือทิ้ง และจับมือจักรพรรดิออกเดินทางต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ฮึ่ม ไม่ว่าหมอนั่นจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่หากสังหารเป่ยเสวียนหมิงไปแล้ว ทันทีที่ออกจากเขตแดนลี้ลับ หมอนั่นจะต้องถูกนิกายอาญาสิ้นแสงแน่นอน!” ในเหล่าผู้ที่มองดูเหตุการณ์อยู่ บุรุษตาชั้นเดียวผู้หนึ่งเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงริษยา
นอกจากเจ้าจะมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งแล้ว เจ้ายังได้ครอบครองสตรีที่งดงามไร้ที่เปรียบอีก เหตุใดโลกนี้ถึงไร้ความยุติธรรมยิ่งนัก?
ใครหลายคนที่มองดูอยู่หัวเราะสะใจ เนื่องจากความแข็งแกร่งของหลิงฮันนั้น ช่างขัดหูขัดตาพวกเขาเป็นอย่างมาก
ในกรณีของจื่อเหอปิงอวิ๋นและลั่วจ่างเฟิงนั้น ถึงแม้ทั้งสองจะแข็งแกร่งจนยากที่จะหยั่งถึง แต่ทั้งสองก็เป็นผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ ที่พวกเขาทำได้เพียงแหงนมอง พวกเขาจึงไม่รู้สึกริษยาอะไร
แต่หลิงฮันล่ะเป็นใคร?
เขาเป็นเพียงแค่จอมยุทธภายใต้การปกครองของขุมอำนาจระดับสามดาวแท้ๆ แต่กลับมีพรสวรรค์ที่เหนือกว่าผู้สืบทอดอย่างพวกเขางั้นรึ?
‘ฟุบ ฟุบ ฟุบ’ ในจังหวะนั้นเอง เงาของคนสามคนก็พุ่งทะยานเข้ามา ทั้งสามคนที่ว่าคือ หลินฟาง เถิงเซินและเหวยเหนียน
“แม่นางหลิน!”
“พี่ชายเถิง!”
“พี่ชายเหวย!”
ทุกคนอุทานออกมา ในหมู่ผู้สืบทอดด้วยกันนั้น ทั้งสามคนนี้คืออัจฉริยะที่มีพรสวรรค์โดดเด่นเป็นอย่างมาก หากไม่เช่นนั้น พวกเขาคงไม่สามารถผ่านการทดสอบของตำหนักเฉียนหลงไปได้ ทั้งๆที่คนอื่นๆไม่สามารถทำได้
“เหตุใดทั้งสามคนถึงมาเอาป่านนี้?” ใครบางคนเอ่ยถาม
หลินฟางแน่นิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “นั่นก็เพราะหลิงฮัน!”
หลิงฮันอีกแล้วรึ?
ทุกคนตกตะลึง