ฟู่เยี่ยนถอนหายใจในใจ อันที่จริงเขาก็ไม่ได้อย่างเป็นศัตรูกับขุมอำนาจระดับสามดาวมากมายขนาดนี้หรอก
ตระกูลฟู่ไม่ใช่ขุมอำนาจสามดาวระดับแนวหน้า ซึ่งเพียงแค่นิกายอาญาสิ้นแสงขุมอำนาจเดียวก็สามารถลบล้างตระกูลของพวกเขาได้
แต่เพื่อที่จะประจบตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ เขาจำเป็นต้องหุ้มหนังเสือแสร้งทำเป็นไม่หวั่นเกรง ไม่เช่นนั้นการแสดงของเขาจะทำให้ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ประทับใจไม่ได้
ยิ่งหลิงฮันพบเจอความลำบากมากเท่าไหร่ ตระกูลฟู่ก็จะสร้างความดีความชอบได้มากเท่านั้น
แน่นอนว่า ฟู่เยี่ยนไม่ได้รู้เลยว่าตระกูลจื่อเหอกับตำหนักเมฆาอัสนียังไม่รับรู้ถึงข่าวการตายของผู้สืบทอดของตน
เขาพาดสองมือไว้ด้านหลังแสดงท่าทางองอาจ “ข้าแค่แนะนำว่า พวกเจ้าอย่าได้แตะต้องรุ่นเยาว์ผู้นี้แม้เพียงเส้นผม!”
ว่าอย่างไรนะ!
เหล่านิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณตกตะลึง และแทบไม่เชื่อหูของตัวเอง
เหอะ จริงอยู่ที่ในที่นี้เจ้าเป็นตัวตนที่ทรงพลัง แต่เจ้าอย่าได้ลืมความจริงที่ว่าตระกูลฟู่ของเจ้านั้นไม่ใช่ผู้เป็นใหญ่เหนือใครในยุทธภพ ตระกูลฟู่ของเจ้าเป็นเพียงขุมอำนาจระดับสามดาว ที่ถูกจัดอยู่ในลำดับกลางไปถึงล่างเท่านั้น
ตราบใดที่ขุมอำนาจพวกข้าร่วมมือกัน เชื่อว่าตระกูลฟู่ของเจ้าจะต้องถูกลบหายไปภายในพริบตา
ยิ่งกว่านั้นคือ เจ้าคิดว่าตนเองจะสามารถหลบหนีจากโจมตี จากเรือรบจำวนมากที่อยู่เหนือน่านฟ้าได้งั้นรึ?
แม้แต่หลิงฮันกับจักพรรดินีเองก็ตกตะลึงเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าพวกเขาตัดความสัมพันธ์กับฟู่เกาหยุนไปก่อนหน้านี้แล้วหรอกรึ? เหตุใดฟู่เยี่ยนถึงยังออกหน้าปกป้องพวกเขาอยู่กัน?
นี่อีกฝ่ายคงไม่ได้กินยาผิดขวดหรอกนะ?
หลิงฮันที่ตั้งใจว่าจะเข้าไปในหอคอยทมิฬ เพื่อหลบหนีเหล่านิรันดร์ระดับแบ่งแบกวิญญาณ พอเห็นว่าฟู่เยี่ยนกำลังออกหน้าปกป้องพวกเขาอยู่ เขาจึงตัดสินใจดูสถานการณ์ต่อไปก่อน
“ผู้อาวุโสฟู่เยี่ยน ท่านแน่ใจรึว่าจะเอาแบบนี้จริงๆ?” เชียนจ้าวอวี่กล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา
จริงอยู่ที่พลังของเขาแข็งแกร่งเทียบอีกฝ่ายไม่ได้ แต่ตระกูลเชียนจ้าวนั้นไม่ได้อ่อนแอไปกว่าตระกูลฟู่แม้แต่น้อย เพราะงั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องสุภาพกับอีกฝ่าย
ใบหน้าของฟู่เยี้ยนเปลี่ยนเป็นมืดมนและกล่าว “เจ้ากำลังข่มขู่ข้าผู้นี้งั้นรึ?”
“ผู้อาวุโสฟู่เยี่ยน ท่านรู้รึไม่ว่าเจ้าหนูนั่นทำอะไรลงไปบ้าง?” นิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณที่ทรงพลัง ของนิกายอาญาสิ้นแสงผู้หนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา ชื่อของเขาคือจ้าวหลิงเฟิง
จิตใจของฟู่เยี่ยนสั่นสะท้าน เขาเองก็รู้อยู่แล้วว่าเหล่านิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณเหล่านี้ไม่ใช่ขุมอำนาจเดียวกัน แต่มาจากหลายสิบขุมอำนาจ
ตกลงเจ้าหนูนี่ไปทำอะไรไว้กันแน่?
เขาทำหน้านิ่งและกล่าว “ข้าไม่รู้”
“เจ้าหนูนั่น สังหารผู้สืบทอดจากนิกายของข้า!” จ้าวหลิงเฟิงคำราม
ปัง!
จิตใจของฟู่เยี่ยนราวกับถูกจู่โจมอย่างแรง หากไม่ใช่เพราะจิตใจของเขาถูกขัดเกลาให้มั่นคงอยู่แล้วล่ะก็ ใบหน้าของเขาคงเปลี่ยนสีและส่งเสียงอุทานออกมาแล้วเป็นแน่
“นอกจากนั้นก็ยังสังหารผู้สืบทอดของตระกูลข้าไปถึงสองคน!” เชียนจ้าวอวี่เองก็คำรามตามๆกัน เขาเพิ่งได้รับข่าวเมื่อครู่ว่าไม่ใช่แค่เชียนจ้าวเถี้ยนเท่านั้น แต่เชียนจ้าวหยางเองก็ถูกหลิงฮันสังหารไปเหมือนกัน
“ผู้สืบทอดของนิกายข้าด้วย!”
“ของตระกูลข้าด้วย!”
“ของ…”
นิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณมากมายเปิดปากตะโกนฟ้องร้องความผิดของหลิงฮัน
แม่เจ้า!
คำสองคำผุดขึ้นในหัวของฟู่เยี่ยน!
เขานึกขึ้นมาได้ในที่สุดว่าในตอนที่หลิงฮันยังเป็นเพียงจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งที่อ่อนแอนั้น เขากล้าแม้กระทั่งท้ายทายตระกูลติงและตระกูลเซี่ยว แถมยังทำลายกายหยาบของรุ่นเยาว์ตระกูลหานอีกด้วย
ความกล้าหาญและความสามารถในการสร้างปัญหาของรุ่นเยาว์ผู้นี้ กล่าวได้ว่าท้าทายสวรรค์อย่างแท้จริง
ท่านประมุข… ที่ท่านให้ข้ามาคุ้มครองรุ่นเยาว์ผู้นี้ คงไม่ใช่เพราะท่านอยากฝังข้าลงหลุมหรอกนะ?
“ไม่ว่าเจ้าหนูนี่จะทำอะไรไว้ ใครก็ห้ามลงมือกับเขาเด็ดขาด!” ฟู่เยี่ยนกัดฟันกล่าวประโยคนี้ออกไป เขาหวังลึกๆในใจว่าด้วยการที่ตระกูลฟู่แสดงยอมเสี่ยงขนาดนี้ ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์จะต้องยอมยอมพวกเขา
…
“หัวหน้า พวกเราจะไม่ลงมือกันรึ?” ในระยะที่ห่างออกไป จอมยุทธสตรีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ
สตรีชุดเกราะทองจากตำหนักมัจฉาวายุภักษ์สะบัดมือ “ให้ตัวตลกพวกนั้นแสดงละครต่อไปก่อน เพราะอย่างไรพวกเราก็เจอตัวเป้าหมายแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จำต้องรีบ”
ไม่รู้ว่าฟู่เยี่ยนจะมีสีหน้าเช่นไรหากได้ยินคำพูดนี้ ทั้งๆที่เขาพยายามออกหน้าอย่างสุดตัวแท้ๆ แต่กลับถูกนับว่าเป็นแค่ตัวตลก
แต่สิ่งที่สตรีชุดเกราะทองกล่าวก็ไม่ผิด ขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์เช่นพวกนางจำต้องมีตัวหมากที่อ่อนแอด้วยรึ?
ยิ่งกว่านั้นตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ก็ไม่ใช่ขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ทั่วไป ในสายตาของพวกนาง ขุมอำนาจราชานิรันดร์ที่ต่ำกว่าระดับห้านั้น ไม่ขุมอำนาจที่ต้องเก็บมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย เพราะงั้นกับแค่การแสดงป่าหี่ของตระกูลฟู่ จะทำให้พวกนางรู้สึกประทับใจได้อย่างไร?
…
เมื่อได้ยินคำพูดที่ฟู่เยี่ยนกล่าวออกมา นิกายอาญาสิ้นแสงและขุมอำนาจอื่นๆก็แทบระเบิดความโกรธออกมา
หากตระกูลฟู่เป็นขุมอำนาจระดับสี่ดาวล่ะก็ พวกเขาก็คงทำใจได้ แต่ประเด็นคือทุกคนในที่สุดต่างก็เป็นขุมอำนาจระดับสามดาวเหมือนกัน แถมตระกูลฟู่ยังถูกจัดอยู่ในลำดับกลางไปถึงล่างอีกด้วย แต่เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้ทำตัวโอหังเช่นนี้?
“ผู้อาวุโสฟู่เยี่ยน ท่านเห็นรึไม่ว่าในที่นี้มีตัวแทนจากขุมอำนาจทั้งหมดสามสิบเจ็ดขุมอำนาจ ซึ่งไม่มีขุมอำนาจใดเลยที่อ่อนแอไปกว่าตระกูลฟู่?” หนึ่งในนิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณของตระกูลเป่ยหยิ่วทนไม่ไหว และกล่าวข่มขู่ออกมา
ฟู่เยี่ยนตัดสินใจที่จะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เขากล่าวกลับไปด้วยรอยยิ้ม “ที่ข้าทำแบบนี้ก็เพราะหวังดีกับพวกเจ้า พวกเจ้าอย่าได้เลือกทางที่ผิด!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เหล่านิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณทุกคนก็เกรี้ยวกราดยิ่งกว่าเดิม และสบถด่าจอมยุทธเฒ่าตรงหน้าในใจ
เจ้าหนูนั่นสังหารผู้สืบทอดของพวกข้าไปแล้ว แต่นอกจากเจ้าจะไม่ใช่พวกข้าแก้แค้นแล้ว ยังบอกว่าหวังดีต่อพวกข้าอีกรึ?
เจ้าคิดว่าพวกข้าโง่กันรึไง?
“ฮ่าๆ ถ้าหากผู้อาวุโสฟู่เยี่ยนยืนกรานจะช่วยเจ้าหนูนั่นขนาดนั้น พวกข้าก็คงไม่กล้าลงมือทำอะไร แต่ท่านแน่ใจสินะว่าตระกูลฟู่จะสามารถต้านทานความเกรี้ยวกราด จากขุมอำนาจนับสิบไหว?” จ้าวหลิงเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงมืดมน ไม่ต้องพูดถึงขุมอำนาจอื่น แค่นิกายอาญาสิ้นแสงของเขาขุมอำนาจเดียว ก็เพียงพอแล้วที่จะบดขยี้ตระกูลฟู่
ฟู่เยี่ยนสะบัดแขนเสื้อ “ไม่ว่าอะไร ตระกูลฟู่ก็จะรับไว้เอง!”
เขากล่าวประโยคนี้ออกไปด้วยท่าทางห้าวหาญและองอาจ
“โอ้ เจ้าแน่ใจรึว่าจะรับไหว?” เสียงอันเย็นชาเอ่ยดังขึ้น พร้อมกับเงาร่างหนึ่งได้ทะยานลงมาจากท้องฟ้า ออร่าที่ร่างนี้ปลดปล่อยออกมานอกจากจะไม่อ่อนแอกว่าฟู่เยี่ยนแล้ว ยังแข็งแกร่งกว่าเสียด้วยซ้ำ