ปรมาจารย์ระดับขอบเขตตำหนักอมตะ!
“ผู้อาวุโสจื่อเหอ!” ทันทีที่นิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณเห็น พวกเขาก็รีบคุกเข่าเพื่อแสดงความเคารพ
ตัวตนระดับขอบเขตตำหนักอมตะผู้นี้ไม่ใช่แค่มีระดับพลังสูงส่งกว่าพวกเขา แต่ยังมาจากขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์อีกด้วย เพราะงั้นต่อให้เป็นประมุขของพวกเขา ก็ต้องแสดงความเคารพอย่างถึงที่สุด
คนผู้นี้มีชื่อว่าจื่อเหอจี๋
เมื่อฟู่เยี่ยนเห็นการปรากฏตัวของอีกฝ่าย จิตใจของเขาสั่นไหว กับเชียนจ้าวอวี่และนิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณเขายังสามารถแสดงอำนาจกดขี่ได้ ถึงแม้คนเหล่านี้จะร่วมมือกัน เขาก็สามารถจัดการได้ด้วยฝ่ามือเดียว
ต่อให้คนเหล่านี้ใช้อำนาจของเรือรบ เขาก็สามารถใช้ทักษะย่างก้าวในการหลบหลีกได้
หลิงฮันมองดูสถานการณ์ด้วยท่าทางสบายใจ เขานำเก้าอี้ออกมาและนั่งกอดจักรพรรดิน้อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
มารดาเจ้าสิ!
ฟู่เยี่ยนแทบจะระเบิดโทสะ เจ้าคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นใครเป็นคนก่อกัน? ฮึ่ม หากไม่ใช่เพราะเจ้ามีตำหนักมัจฉาวายุภักษ์อยู่เบื้องหลังล่ะก็ ข้าคงสับเจ้าเป็นชิ้นๆไปแล้ว
ต่อหน้าจื่อเหอจี๋ ฟู่เยี่ยนไม่กล้าแสดงอำนาจบาตรใหญ่อำนาจ “พี่ชายจื่อเหอ โปรดไว้หน้าข้าด้วย!”
จื่อเหอจี๋เผยสีหน้าเย็นชา “ เจ้าเป็นใครข้าถึงต้องยอมไว้หน้า? เจ้าคิดว่าตนเองมีคุณสมบัติพองั้นรึ?”
ฟู่เยี่ยนสูดหายใจลึกหลายครั้ง หลังจากสงบจิตใจได้เขาจึงกล่าวออกไป “พี่ชายจื่อเหอ รุ่นเยาว์ผู้นี้ล่วงเกินตระกูลท่านอย่างไร?”
จื่อเหอจี๋ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ใบหน้าชะงักแข็งค้าง
ถ้าหากบอกออกไปว่า ผู้สืบทอดที่ถูกฝึกฝนโดยขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ ถูกจอมยุทธที่ระดับพลังต่ำกว่าสังหาร ตระกูลจื่อเหอจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
“ไม่จำเป็นต้องพล่ามไร้สาระ เจ้าไสหัวไปซะ!” จื่อเหอจี๋กล่าวอย่างไร้ความอดทน เขาไม่เพียงมีพลังต่อสู้สูงกว่า แต่ยังมาจากขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์อีกด้วย เพราะงันจึงไม่มีความจำเป็นต้องไว้หน้าฟู่เยี่ยน
ขาของฟู่เยี่ยนสั่นเครือ แน่นอนว่าเขารู้อยู่แล้วว่าจื่อเหอจี๋นั้นมาจากขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ ที่เขาทำได้เพียงแหงนมอง เพียงแต่ว่าเมื่อเขามองไปยังกลุ่มอัศวินหญิงจากตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ที่อยู่ห่างออกไป ภาพที่สตรีชุดเกราะทองสามารถโค่นล้มพวกเขาได้ในหนึ่งกระบวนท่าก็ผุดขึ้นมา
เขากัดฟันกล่าว พี่ชายจื่อเหอ หากไม่ใช่ความบาดหมางที่ยิ่งใหญ่อะไร ไม่ว่าอะไรที่รุ่นเยาว์ผู้นั้นล่วงเกินท่านไป ตระกูลฟู่ของข้าก็ยินดีที่จะชดใช้ให้!”
ในความคิดของเขา หลิงฮันที่มีนิสัยห้าวหาญนั้น อาจจะบังเอิญไปมีความบาดหมางกับผู้สืบทอดขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์อย่างตระกูลจื่อเหอเข้าก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าอย่างไร ปัญหาที่ว่าก็น่าจะอยู่ในระดับที่สามารถเกลี่ยไกล่กันได้
“ฮ่าๆๆ!” จื่อเหอจี๋แหงนมองท้องฟ้าและหัวเราะ
ช่างน่าขันนัก หลังจากสังหารผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ไปแล้ว ขุมอำนาจระดับสามดาวกลับกล้าบอกว่าจะชดใช้ให้งั้นรึ?
เจ้ารู้รึเปล่าว่าทรัพยากรที่ทุ่มเทไปกับการฝึกฝนผู้สืบทอด เพื่อให้ตัดขาดสวรรค์และปฐพีได้นั้น สามารถพลิกขุมอำนาจระดับสามดาวของเจ้าให้กลายเป็ขอทานได้ในพริบตา?
“ก็ได้ ในเมื่อเจ้ายืนกรานแบบนั้น ข้าก็จะบอกให้!” ดวงตาของจื่อเห๋อจี่ส่องประกายเย็นชา “เจ้าหนูบัดซบนั่น สังหารจื่อเหอปิงอวิ๋นที่เป็นผู้สืบทอดของตระกูลข้า!”
‘ตุบ’ ร่างของฟู่เยี่ยนทรุดลงกับพื้นทันที ถึงแม้เขาจะเป็นปรมาจารย์ระดับขอบเขตตำหนักอมตะที่ทรงพลัง แต่หัวของเขาในตอนนี้ก็กลายเป็นว่างเปล่าอย่างสมบูรณ์
เจ้าหนู… นี่เจ้ามีชีวิตมาถึงวันนี้ได้อย่างไร?
ไม่เอาแล้ว… ข้าไม่ยุ่งด้วยแล้ว
ฟู่เยี่ยนรีบลุกขึ้นยืนและกล่าว “ที่แท้เจ้าหนูนั่นก็ทำเรื่องเลวร้ายขนาดนั้นลงไปนี่เอง ข้าผิดไปแล้ว เชิญพี่ชายจื่อเหอลงมือ!” ท่าทีของเขาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เร็วยิ่งกว่าเวลาที่ใช้พลิกหน้ากระดาษเสียอีก
“เหอะ ดีแล้วที่เจ้ากล่าวแบบนั้น เพราะไม่อย่างนั้นเจ้าคงกลายเป็นศพไปแล้ว!” ‘เปรี๊ยะ’ คลื่นอัสนีผ่าลงมาจากท้องฟ้า พร้อมกับชายร่างใหญ่ได้ปรากฏตัว ทั่วร่างของชายผู้นี้ถูกปกคลุมไปด้วยสายฟ้าสีขาว ที่มีตราประทับแห่งเต๋าพัวพันอยู่เป็นจำนวนมาก
จอมยุทธทุกคนล้วนแต่ต้องผ่านทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์กันทั้งเพราะ เพราะงั้นอำนาจสายฟ้า จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนเกลียดที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ชายผู้นี้คือซุนเจิ้น หนึ่งในปรมาจารย์ที่ทรงพลังของตำหนักเมฆาอัสนี
หัวใจและตับชิ้นน้อยๆของฟู่เยี่ยนสั่นสะท้านอีกครั้ง หรือว่าแม้แต่ผู้สืบทอดของตำหนักเมฆาอัสนีก็ถูกหลิงฮันสังหารเหมือนกัน?
แม่เจ้า… ยังจะมีใครที่สามารถสร้างปัญหาได้มากกว่าเจ้าหนูนี่อยู่บนโลกอีกรึไม่?
ปัญหาเหล่านี้ไม่อยู่ในระดับที่ตระกูลฟู่สามารถรับมือได้อีกต่อไป ฟู่เยี่ยนจึงเขยิบตัวล่าถอยออกมาอย่างสุภาพ แม้จะถูกมองด้วยสายตาเหยียดหยามของเชียนจ้าวอวี่และคนอื่นๆ เขาก็ต้องทำเป็นมองไม่เห็น
“หลิงฮัน เจ้าช่างกล้านัก!” ซุนเจิ้นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักอึ้งราวกับสายฟ้าฟาด
ใบหน้าของหลิงฮันเผยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว ข้าเป็นคนที่กล้าหาญอย่างที่ว่าจริงๆ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ใครหลายคนที่สงสัยว่าหลิงฮันสังหารจื่อเหอปิงอวิ๋นจริงหรือไม่ ก็มั่นใจขึ้นมาทันที
ซุนเจิ้นเค้นเสียงกล่าว “ในเมื่อเจ้ายอมรับแล้ว ก็จงลงนรกไปซะ!”
“พี่ชายซุน ท่านมอบเจ้าหนูนั่นให้เป็นหน้าที่ตระกูลจื่อเหอของข้าดีกว่า!” จื่อเหอจี๋ยื่นมือเข้ามาขวาง
หลิงฮันเป็นเพียงนิรันดร์สามนิพพานสูงสุดเท่านั้น เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะสังหารจื่อเหอปิงอวิ๋นกับลั่วจ่างเฟิงได้?
รุ่นเยาว์ผู้นี้จะต้องมีความลับที่ยิ่งใหญ่ซ่อนเอาไว้อย่างแน่นอน เพราะงั้นจื่อเหอจี๋จึงต้องการตัวหลิงฮัน
ซุนเจิ้นหัวเราะ “ก็ได้ ข้าจะเป็นคนสังหารเขาเอง ส่วนเจ้าก็นำศพกลับไป”
จื่อเหอจี๋เองก็หัวเราะตามๆกัน “ในเมื่อต้องส่งตัวเจ้าหนูนั่นมาให้ข้าอยู่แล้ว ก็ให้ข้าเป็นคนสังหารไปเลยก็ได้นี่”
ปรมาจารย์ทั้งสองเริ่มโต้แย้งกัน ทั้งสองฝ่ายต่างต้องการสังหารด้วยตัวเอง เพื่อเป็นคนดูความทรงจากดวงวิญญาณ
หลิงฮันถอนหายใจ “พวกเจ้าตกลงกันได้รึยัง? ข้าไม่มีเวลามารอพวกเจ้านานหรอกนะ” น่าเสียดายที่สุนัขตัวดำจากไปเสียก่อน ไม่เช่นนั้นหากมันแสดงอำนาจที่นี่ล่ะก็ นิรันดร์ระดับขอบเขตตำหนักอมตะตัวจ้อยคงถูกจัดการในพริบตา
“พี่ชายซุน งั้นเอาเป็นว่าใครดีใครได้” จื่อเหอจี๋รู้ว่าคงไม่สามารถโน้มน้าวอีกฝ่ายได้แน่ จึงไม่คิดจะเถียงต่อให้เสียเวลา
“ก็ดี!” ซุนเจิ้นพยักหน้า สุดท้ายความบาดหมางระหว่างจอมยุทธ ก็ต้องตัดสินกันด้วยพลังอยู่ดี
พวกเขาต้องแย่งกันว่าฝ่ายไหนจะเร็วกว่า
ครืนน!
เพียงแต่ทันทีที่พวกเขากำลังยกมือขึ้น การโจมตีที่ทรงพลังสองระลอกก็พุ่งมาจากท้องฟ้าอันห่างไกล และโอบล้อมหยุดการเคลื่อนไหวของมือพวกเขาเอาไว้