ถ้าหากบอกว่าเมืองหนึ่งดาวมีกฎในการเข้าเมืองที่ยุ่งยากแล้ว เมืองสี่ดาวยิ่งเยอะกว่า
ถึงแม้หลิงฮันจะเข้าเมืองได้ แต่อาณาเขตของเมืองก็แบ่งออกเป็นห้าส่วน นอกจากส่วนแรกที่แค่จ่ายเงินก็สามารถเข้าได้แล้ว อาณาเขตอีกสี่ส่วนจำเป็นต้องได้รับอนุญาติเสียก่อน
อย่างเช่น นิรันดร์ระดับโลกียนิพพานจะสามารถขอคำอนุญาตเข้าส่วนสอง ระดับแบ่งแยกวิญญาณสามารถขอคำอนุญาตเข้าส่วนที่สามระดับขอบเขตตำหนักอมตะสามารถขอคำอนุญาติเข้าส่วนที่สี่ และระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้สามารถขอคำอนุญาติเข้าส่วนที่ห้า นอกจากนี้แล้ว นักปรุงยาในแต่ละระดับเองก็ สามารถขอเข้าสู่เมืองแต่ละส่วนได้ตามระดับของตนเองเช่นกัน
หากเงื่อนไขครบใครก็สามารถยื่นขอคำอนุญาตได้ แต่จะได้รับอนุมัติไหมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
หลิงฮันหาโรงเตี๊ยมพักอาศัยในอาณาเขตแรกเป็นอันดับแรก เพื่อที่จะหาวิธีถอนคำสาปในร่างกาย
เมื่อได้ที่พักเขาก็เข้าสู่หอคอยทมิฬทันที
“หอคอยน้อย” หลิงฮันเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงบางเบา
“คำสาปอสูรทมิฬอาฆาตงั้นรึ ค่อนข้างลำบากเล็กน้อย ด้วยพลังของข้าจะสามารถลบล้างคำสาปได้อย่าง่ายดายก็จริง แต่หากทำเช่นนั้นก็มีโอกาสสูงมากที่จะดึงดูดความสนใจของอสูรเฒ่าจำนวนมาก เพราะงั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือการใช้กำเนิดใหม่จากเถ้าถ่าน เมื่อร่างของเจ้าเกิดใหม่ คำสาปก็จะสลายหายไปเอง” หอคอยน้อยตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“แต่ในทางกลับกัน เจ้าเองก็สามารถใช้คำสาปอสูรทมิฬอาฆาตในการขัดเกลาตนเองได้ อันที่จริงมันถือว่าเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ”
มุมปากของหลิงฮันกระตุกไปมา เจ้าไม่ได้โดนคำสาปเองก็เลยไม่รู้น่ะสิว่า ถ้าหากอำนาจของคำสาปถูกกระตุ้น มันไม่ใช่สิ่งที่ทำให้รู้สึกดีเลย!
“หากเจ้าต้องการบรรลุเป็นราชานิรันดร์ที่แข็งแกร่ง เส้นทางที่เจ้าเลือกเดินก็ต้องพบเจอความลำบากเสียบ้าง หากเรื่องแค่นี้ยังทนไม่ได้ เจ้าก็เลิกคิดถึงจุดสูงสุดของวรยุทธ และเป็นเพียงราชานิรันดร์ธรรมดาไปซะ” หอคอยน้อยกล่าวอย่างไม่แยแส
“ฮ่ะๆ ข้าก็รู้นะว่าเจ้าแนะนำวิถีทางอันยากลำบากเพื่อประโยชน์ของข้า แต่น้ำเสียงดูหมิ่นของเจ้านี่มันช่างน่าหงุดหงิดเหลือเกิน!” หลิงฮันหัวเราะแห้งก่อนจะเผยสีหน้างออาจ “ก็ได้ ข้ายอมอดทนก็ได้!”
หลิงฮันออกจากหอคอยทมิฬ ในเมื่อตอนนี้เขาไม่สามารถตามหาตำแหน่งของหัวหน้ากองก๋วนได้ เขาจึงจำเป็นต้องทำให้อีกฝ่ายตามหาตัวเขาให้เจอ ซึ่งก็คือการทำให้ตนเองมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว
วิธีการจะสร้างชื่อนั้นมีอยู่มากมาย แต่ประเด็นคือที่นี่คือเมืองวิถีโอสถไม่ใช่รึไง?
ด้วยศักยะภาพจักรพรรดิปรุงยา เขาจะพิชิตเมืองแห่งนี้และให้สร้างชื่อให้แก่ตนเอง!
ณ เวลานี้จักรพรรดินีกำลังเก็บตัวบ่มเพาะพลังอยู่ หลิงฮันจึงนำสตรีนกอมตะออกมาเพียงคนเดียว และเดินเตร็ดเตร่ผ่อนคลายในอาณาเขตแรกของเมือง
สิ่งหลักๆที่เขาต้องทำในตอนนี้คือศึกษาเม็ดยา ด้วยพรสวรรค์ของเขา เพียงแค่แสดงฝีมือออกมา ปรมาจารย์นักปรุงยามากมายก็คงยินดีที่จะรับเขาเป็นศิษย์แล้ว
เขาไม่มีทางใช้ประโยชน์จากหลู่เซียนหมิง ตามที่อสูรเฒ่าเงาโลหิตบอกเด็ดขาด
บางทีเขาอาจจะสร้างสถานะของตนเองขึ้นที่นี่ และใช้ที่นี่เป็นรากฐานในดินแดนแห่งเซียนก็ไม่เลวเหมือนกัน เพราะอย่างน้อยเมืองแห่งนี้ก็เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งศาสตร์ปรุงยา ของดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันออก
หากเขากลายเป็นผู้สืบทอดของเมืองวิถีโอสถด้วยแล้ว การจะได้ยันต์ไม้ท้อผูกชะตามาครองก็ไม่ใช่เรื่องยาก
หลิงฮันสืบหาข้อมูล ก่อนจะรู้สึกตกตะลึงเนื่องจากเมืองนี้มีสิ่งที่เรียกว่า ห้องฝึกฝนกาลเวลา
ภายในห้องที่ว่า อัตราการไหลของเวลาจะรวดเร็วกว่าโลกภายนอก ซึ่งสามารถช่วยประหยัดเวลาในการหลอมยาลงไปได้หลายเท่า
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากการหลอมเม็ดยาชนิดหนึ่ง โดยปกติแล้วต้องใช้เวลาสิบวัน แต่ถ้าหากเข้าไปหลอมภายในห้องฝึกฝนกาลเวลาล่ะก็ ระยะเวลาในโลกภายนอกจะลดลงมาเหลือห้าวัน สามวัน หรืออาจจะแค่หนึ่งวันเท่านั้น
หลิงฮันสอบถามรายละเอียดอีกครั้ง จึงได้รู้ว่าห้องฝึกฝนกาลเวลาในอาณาเขตแรกของเมืองนั้น มีระดับการเร่งเวลาอยู่ทั้งหมดสี่ขั้นคือ สองเท่า สามเท่า สี่เท่า และห้าเท่า
มีคำกล่าวว่าถ้าหากไปยังอาณาเขตที่สูงขึ้น ประสิทธิภาพของห้องฝึกฝนกาลเวลาก็จะเพิ่มขึ้นอีกเป็นสิบเท่า ยี่สิบเท่า และสามสิบเท่า
ห้องฝึกฝนกาลเวลาที่มีระดับสูงที่สุดคือหนึ่งร้อยเท่า ซึ่งมีอยู่แค่ในอาณาเขตที่ห้าของเมืองเท่านั้น
ยิ่งระยะการไหลของเวลาเร็วขึ้นเท่าไหร่ ทรัพยากรที่ต้องเผาผลาญก็ยิ่งมากขึ้น
ค่าใช้จ่ายในการเข้าห้องฝึกฝนกาลเวลาสองเท่าคือหนึ่งศิลาดวงดาว ห้องสามเท่าคือสองศิลาดวงดาว ห้องสี่เท่าคือห้าศิลาดวงดาว และห้องห้าเท่าคือสิบศิลาดวงดาว
จากเรื่องนี้ทำให้หลิงฮันตระหนักได้ว่าต้นสังสารวัฏคือสมบัติที่ฝืนสวรรค์ขนาดไหน ขนาดไหนอดีตระยะเวลาใต้ต้นสังสารวัฏหนึ่งวันก็เท่ากับหนึ่งปีแล้ว ซึ่งถือว่าเร่งการไหลของเวลาไปได้สามร้อยกว่าเท่า ยิ่งตอนนี้หลังจากที่ต้นสังสารวัฏพัฒนาแล้ว ความเร็วในการไหลของเวลาได้เพิ่มสูงขึ้นไปอีกเป็นสามล้านเท่า
แต่ต้นสังสารวัฏก็ช่วยได้แค่การฝึกฝนในห้วงจิตวิญญาณเท่านั้น หากเป็นการหลอมเม็ดยาที่ต้องลงมือจริงแล้ว กล่าวได้ว่าต้นสังสารวัฏไม่ได้ช่วยอะไรเลยแม้แต่น้อย
หลิงฮันตัดสินใจทำเรื่องขออนุญาติเข้าสู่อาณาเขตที่สองของเมืองเป็นอันดับแรก ซึ่งในระหว่างที่รออนุมัติ เขาก็จะไปฝึกฝนหลอมเม็ดยาในอาณาเขตแรกไปพลางๆ เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์
ด้วยต้นสังสารวัฏที่ช่วยให้เขาเรียนรู้ทักษะการหลอมได้อย่างรวดเร็ว รวมกับห้องฝึกฝนกาลเวลาที่ช่วยให้เขาทดลองหลอมเม็ดยาได้อย่างรวดเร็ว หลิงฮันไม่เชื่อว่าในระยะเวลาสั้นๆ เขาจะไม่สามารถกลายเป็นปรมาจารย์นักปรุงยาได้
ลุยเลย!
เขากับสตรีนกอมตะมุ่งหน้าไปยังห้องฝึกฝนกาลเวลา ซึ่งทั่วทั้งอาณาเขตแรกของเมือง สถานที่เดียวที่มีห้องฝึกฝนกาลเวลาคือเขตการค้าที่อยู่ไม่ไกล
ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปถึงที่หมายอย่างรวดเร็ว
“แขกทั้งสอง พวกท่านต้องการห้องฝึกฝนกาลเวลาแบบใด? ถ้าจะให้ข้าน้อยแนะนำล่ะก็ เอาเป็นห้องเร่งเวลาสามเท่าจะคุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่ายมากที่สุด” พนักงานต้อนรับกล่าวแนะนำอย่างกระตือรือร้นเอาใจใส่
“ห้องเร่งเวลาห้าเท่า… ระยะเวลาหนึ่งเดือน” หลิงฮันนำศิลาดวงดาวสามร้อยก้อนออกมาและส่งมอบให้อีกฝ่าย
“โอ้!” พนักงานคนนั้นรับศิลาดวงดาวไปตรวจสอบครู่หนึ่ง ก่อนจะมอบแผ่นป้ายหนึ่งแผ่นให้แก่หลิงฮัน “คุณลูกค้าเชิญรับแผ่นป้ายนี้ไป หมายเลขห้องฝึกฝนกาลเวลาของท่านคือห้าสิบเอ็ด ช่างบังเอิญที่ห้องนี้เป็นห้องเร่งเวลาห้าเท่าห้องสุดท้ายพอดี”
“ข้าขอเตือนท่านเล็กน้อยว่า ห้องฝึกฝนกาลเวลาสามารถเข้าไปได้แค่คนเดียวเท่านั้น หากมีใครอีกคนปรากฏตัวในห้อง ห้องฝึกฝนกาลเวลาจะหยุดทำงานด้วยตัวเองในทันที และระยะเวลาที่เหลืออยู่ของท่านก็จะสิ้นสุดลง”
หลิงฮันพยักหน้า เขาพอจะรู้กฎข้อนี้ดีอยู่แล้ว เพราะกฎประเภทนี้คงมีเอาไว้เพื่อ ป้องกันไม่ให้นำคนจำนวนมากออกมาจากอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์
ในขณะที่เขากำลังจะมุ่งหน้าไปที่ห้องตามหมายเลขนั่นเอง รุ่นเยาว์ผู้หนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามาหาพนักงานและกล่าว “ข้าขอใช้ห้องฝึกฝนกาลเวลาห้าเท่า!”