“ห้องเร่งเวลาห้าเท่างั้นรึ?” พนักงานผู้นั้นส่ายหัว “น่าเสียดาย ที่ห้องสุดท้ายเพิ่งถูกเช่าไปเมื่อครู่” หลังจากกล่าวจบ สายตาของเขาก็เบนมายังทางหลิงฮัน
จิตใตของหลิงฮันสั่นสะท้าน อย่าบอกนะว่าปัญหาแบบเดิมๆจะเกิดขึ้นอีกแล้ว?
รุ่นเยาว์ผู้นั้นมองมายังหลิงฮัน และกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “สหาย เจ้าช่วยยกห้องที่เช่าไปให้ข้าได้หรือไม่? ข้ายินดีเพิ่มเงินชดเชยให้เจ้าด้วยศิลาดวงดาว อีกหนึ่งจากสิบส่วนที่เจ้าจ่ายไป”
หลิงฮันยิ้ม เขานึกว่าอีกฝ่ายจะเสนอเงินชดเชยให้เจ้าเป็นศิลาดวงดาวจำนวนสิบเท่าเสียอีก แต่ความจริงกลับชดเชยเพิ่งให้เขาแค่หนึ่งในสิบส่วนเสียได้
ถ้าเป็นแบบนี้รุ่นเยาว์ผู้นี้ก็ไม่มีทางเป็นคุณชายเจ้าสำราญเป็นแน่ เพราะไม่อย่างไรแล้ว อีกฝ่ายก็คงเป็นคุณชายจอมขี้เหนียวที่สุดในประวัติศาสตร์
หลิงฮันส่ายหัวและกล่าว “ข้าไม่คิดจะมอบห้องให้ใคร”
รุ่นเยาว์ผู้นั้นไม่ยอมแพ้และยังคงต่อรองต่อ โดยที่หวังว่าหลิงฮันจะมอบห้องให้แก่เขา แต่ถึงแม้จะถูกปฏิเสธไปทุกครั้ง เขากลับไม่แสดงท่าทีข่มขู่ใดๆ หรือแม้แต่คำพูดอย่าง ‘รู้ไหมว่าหากไม่มอบห้องให้ข้าจะเกิดอะไรขึ้น?’ ก็ไม่ได้กล่าวออกมา
หลิงฮันรู้สึกปลื้มปริ่มเล็กน้อย หรือนี่จะเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ดูเหมือนจะไม่มีความบาดหมางใดๆเกิดขึ้น?
“จูจิ่น จัดการเสร็จรึยัง?” เสียงอันหยิ่งยโสเอ่ยดังขึ้นมา พร้อมกับการปรากฏตัวของรุ่นเยาว์อีกคนหนึ่ง ทั้งๆรุ่นเยาว์ผู้นี้เดินเข้ามาหารุ่นเยาว์คนแรกแท้ๆ แต่สายตาของอีกฝ่ายกลับจดจ้องมายังสตรีนกอมตะ อย่างไม่ละสายตา
สตรีนกอมตะเผยสีหน้าไม่สบอารมณ์ ก่อนจะขยับตัวมาหลบหลังหลิงฮัน เพื่อปิดบังสายตาที่จ้องมองมาของอีกฝ่าย
รุ่นเยาว์คนแรกที่ถูกเรียกว่าจูจิ่น เผยสีหน้ากระอักกระอ่วนและกล่าวกับรุ่นเยาว์อีกคน “นายน้อยอวี้ ข้าต้องขออภัยจริงๆ แต่ห้องเร่งเวลาห้าเท่าห้องสุดท้ายได้ถูกจองไปแล้ว”
รุ่นเยาว์ที่ถูกเรียกว่านายน้อยอวี้ จ้องมองด้วยแววตาเคลือบแคลงใจ “นี่เจ้าคงไม่ได้ไม่อยากเสียเงิน เลยจงใจหลอกข้าใช่ไหม?”
“ข้าจะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร!” จูจิ่นปาดผากหน้าทั้งๆที่ไม่มีเหงื่อ “ถ้านายน้อยอวี้ไม่เชื่อ ก็ลองถามพนักงานตรงนั้นดูได้”
พนักงานต้อนรับให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยที่ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าคนพวกนี้เป็นใครก็ตาม “เป็นความจริงขอรับนายน้อยอวี้ ห้องเร่งเวลาห้าเท่าเพิ่งถูกลูกค้าท่านนั้นจองไปเมื่อสักครู่นี้เอง แต่ห้องเร่งเวลาสี่เท่านั้นยังเหลืออยู่ ซึ่งประสิทธิภาพก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเท่าไหร่นัก”
“ช่างไร้ประโยชน์นัก!” รุ่นเยาว์ที่ถูกเรียกว่านายน้อยอวี้คำรามใส่หน้าจูจิ่น “ข้าผู้นี้คือหลิวอวี้ หากข้าจะใช้อะไรสิ่งนั้นก็ต้องเป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมที่สุด! ไม่เช่นนั้นหากกลับไปที่เมืองเอกภพดาราคราม ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?”
สายตาของเขากวาดมองมายังหลิงฮัน “เจ้าน่ะ จงมอบห้องฝึกฝนกาลเวลามาซะ ส่วนจะเรียกร้องค่าชดเชยเท่าไหร่ ก็ไปบอกกับหมอนั่น” เมื่อกล่าวจบ เขาก็ชี้นิ้วไปยังจูจิ่นด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
เขาจงใจแสดงอํานาจบาตรใหญ่ให้สตรีนกอมตะเห็น
หลิงฮันถอนหายใจ เขานึกว่าเรื่องราวจะจบลงแบบปกติได้แล้วแท้ๆ แต่สุดท้ายครั้งนี้ก็ยังเกิดปัญหาขึ้นอยู่ดี
สีหน้าของจูจิ่นกลายเป็นซีดขาว แต่ก็ฝืนยิ้มกล่าวออกไป “นายน้อยอวี้อย่าได้ล้อเล่นแบบนั้นสิ! สหาย ช่วยข้าหน่อยได้รึไม่ ข้าจะจ่ายค่าชดเชยให้เจ้าเพิ่มอีกสามในสิบส่วนเลย”
“จูจิ่น เหตุใดเจ้าถึงได้ใจแคบนัก? อย่าทำให้สตรีงดงามผู้นั้นหัวเราะเยาะ และห้ามทำให้ข้าเสียหน้าเด็ดขาด!” หลิวอวี้เค้นเสียงและมีท่าทางไม่สบอารมณ์
จูจิ่นฝืนยิ้ม เขาเป็นเพียงนายน้อยจากตระกูลเล็กๆตระกูลหนึ่งเท่านั้น ซึ่งในตอนนี้เขามีความจำเป็นต้องติดตามหลิวอวี้ไปทั่ว เพื่อสร้างความพึงพอใจให้แก่อีกฝ่าย เนื่องจากตระกูลของเขา ต้องการเส้นสายทางการค้าจากตระกูลหลิว
“นายน้อยอวี้ ที่จริงแล้วห้องเร่งเวลาสี่เท่าก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่นัก ข้าสามารถเพิ่มระยะเวลาการจองให้ท่านได้” เขากล่าวกับหลิวอวี้อย่างสุภาพ
“ฮึ่ม แล้วข้าผู้นี้จะเหลือศักดิ์ศรีอะไร?” หลิวอวี้กล่าวด้วยท่าทางหยิ่งทะนง จนจมูกแทบจะแหงนทิ่มหน้าจูจิ่น “เจ้าคงยังไม่ลืมสินะว่าคนที่ต้องการประจบข้า ไม่ได้มีแค่ตระกูลเจ้าเพียงตระกูลเดียว แต่ยังมีตระกูลจิน ตระกูลหม่า และตระกูลเฉิงอยู่อีก!”
จูจิ่นที่ได้ยินเช่นนั้น ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากฝืนยิ้มอีกครั้งและมองไปยังหลิงฮัน “สหาย ข้าต้องขอร้องเจ้าจริงๆ ถ้าหากเจ้ายอมยกห้องฝึกฝนกาลเวลาให้ล่ะก็ ข้ายินดีจะจ่ายเงินชดเชยเพิ่มให้เป็นเท่าตัว”
ครั้งนี้เขายื่นข้อเสนอสุดตัว และหวังลึกๆว่าหลิงฮันจะไม่เช่าห้องในระยะเวลาที่นานเกินไปจนเขาไม่มีเงินจ่าย
สตรีนกอมตะไม่สบอารมณ์กับท่าทางอวดดีของหลิวอวี้ก็จริง แต่นางก็ยังมีความรู้สึกเห็นใจต่อจูจิ่นที่มีนิสัยถ่อมตน นางจึงกล่าวกับหลิงฮัน “ยอมให้เขาไปเถอะ”
ไม่ว่าอย่างไรหลิงฮันก็ยื่นคำร้องขอ เข้าสู่อาณาเขตที่สองของเมืองไปแล้ว และมาที่นี่เพื่อทดลองประสบการณ์เท่านั้น หากจะเปลี่ยนไปใช้ห้องเร่งเวลาสี่เท่า ก็ไม่ได้ส่งผลมากเท่าไหร่
หากเป็นปกติ หลิงฮันไม่มีทางยอมมอบห้องเร่งเวลาให้แก่หลิวหยู่แน่นอน แต่ในเมื่อภรรยาของเขาเป็นคนร้องขอ และจูจิ่นเองก็ดูเป็นมิตรดี เขาจึงใจอ่อนและกล่าวออกไป “ก็ได้ ข้ายอมยกให้เจ้า”
“ขอบคุณสหายมากจริงๆ!” จูจิ่นรีบโค้งตัวแสดงความขอบคุณ
หลิวอวี้ที่มองดูอยู่เค้นเสียงเหยียดหยาม “มัวชักช้าอยู่ได้ตั้งนาน แต่สุดท้ายเจ้ามันก็แค่คนเห็นแก่เงิน! มาสิ มัวรออะไรอยู่ รีบขอบคุณข้าผู้นี้ที่ทำให้เจ้าให้ผลประโยชน์ก้อนโตเสียสิ!”
หลิงฮันที่ยื่นแผ่นป้ายออกไปแล้วรีบดึงมือกลับด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์ทันที
สายตาของเขาจดจ้องไปยังหลิวอวี้ “จงถอนคำพูดเมื่อครู่ของเจ้าซะ!”
หลิวอวี้จงใจกล่าวแบบนั้นออกไปเพื่อยุยงสร้างปัญหาอยู่แล้ว แน่นอนว่าจุดประสงค์ของเขาไม่ใช่เพราะไม่สบอารมณ์หลิงฮัน แต่เพราะต้องการดึงดูดความสนใจของสตรีนกอมตะ
ถึงแม้สตรีนกอมตะจะยังไม่บรรลุเป็นนิรันดร์ แต่ความงดงามของนางนั้น เกรงว่าต่อให้หาทั่วทั้งเมืองวิถีโอสถ ก็คงมีสตรีที่เทียบนางได้ไม่เกินร้อยคน
จำนวนนี้ถึงแม้จะดูเยอะ แต่คิดว่าในเมืองสี่ดาวแห่งนี้มีประชากรอยู่มากมายกี่ล้านคนกัน?
เมื่อเห็นว่าหลิงฮันเลือกที่จะต่อต้าน หลิวอวี้ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธ แถมยังรู้สึกดีใจด้วยซ้ำ ต้องแบบนี้ล่ะเขาถึงจะมีโอกาสได้เฉิดฉาย และแสดงอำนาจให้สตรีงดงามผู้นั้นเห็น
“เหอะ คิดจะให้ข้ากล่าวขอโทษงั้นรึ?” หลิวอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงหยิ่งทะนง และมองหลิงฮันอย่างเหยียดหยาม “เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร? เจ้ามีคุณสมบัติอันใดให้ข้าเอ่ยคำขอโทษ?”