ที่ด้านบนแท่นผู้ชม เมื่อผู้ประกาศแจ้งว่าการประลองในวันนี้จะเป็นการประลองนัดสุดท้าย ทั่วทั้งสถานที่จัดงานประลองก็กลายเป็นเอิกเกริกทันที
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ไม่ใช่ว่าการประลองต้องดำเนินเป็นเวลาสี่วันหรอกรึ? เหตุใดถึงได้ลดมาเหลือวันเดียวกัน?
ผู้ประกาศทำได้เพียงแจ้งว่าผู้ประลองคนอื่นๆได้ทำการสละสิทธิ์ด้วยตัวเอง
ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าเหล่าผู้ชมจะพอใจหรือไม่ ก็ต้องยอมรับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนี้ให้ได้
การประลองเพียงนัดเดียว คือการปะทะกับระหว่างหลิงฮันกับจ้าวชิงเฟิง!
“หลิงฮันงั้นรึ?”หลู่เซียนหมิงพึมพำ หรือว่าจะเป็นคนคนนั้น?
“นายน้อยหลู่” ซุนตงก็อยู่ดีที่นี่ด้วย “มีอะไรงั้นรึ?”
หลู่เซียนหมิงส่ายหัวและคิดว่าคงจะเป็นเพียงแค่คนชื่อเหมือนเท่านั้น เพราะอย่างไรดินแดนแห่งเซียนก็มีประชากรอยู่มากมาย การจะมีคนขื่อเหมือนกันย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด
ในอีกด้านหนึ่ง เฉิงเฟิงหยุนเลิกคิ้วด้วยความรู้สึกฮึกเหิม วันนี้หลิงฮันจะต้องพ่ายแพ้แน่!
“แต่เดิมหลิงฮันอาจจะยืนหยัดอยู่บนลานประลองไปได้อีกสองสามวัน แต่ในเมื่อการประลองในวันนี้คือการประลองนัดสุดท้าย โดยมีคู่ต่อสู้เป็นจ้าวชิงเฟิง เพราะงั้นหลิงฮันจะต้องแพ้อย่างแน่นอน!” เขากล่าวออกมาราวกับตนเองเป็นจ้าวชิงเฟิง
เพียงแต่วันนี้ไม่มีผู้ชมคนใดที่คัดค้าน เนื่องจากทุกคนต่างรู้สึกชื่อเสียงของจ้าวชิงเฟิงเป็นอย่างดี
หลิงฮันนั้นแข็งแกร่งก็จริงอยู่ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวชิงเฟิงก็มีแต่ต้องพบเจอกับความพ่ายแพ้เท่านั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นในการประลองคือ หลิงฮันจะสามารถรับการโจมตีได้กี่กระบวนท่ากันแน่
สามกระบวนท่า? ห้ากระบวนท่า? หรืออาจจะสิบกระบวนท่า?
หลังจากกรรมการประกาศเกริ่นนำเสร็จ ผู้ประลองทั้งสองฝั่งก็ก้าวขึ้นสู่ลานประลอง
“โอ้?” หลู่เซียนหมิงเผยสีหน้าตกตะลึงเมื่อเห็นหลิงฮัน
เหลือเชื่อ เป็นคนคนนั้นจริงๆ
เขาเผยรอยยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว โลกช่างแคบอะไรอย่างนี้ เวลาผ่านไปยังไม่ถึงปี เขาก็ได้พบหลิงฮันอีกครั้งเสียแล้ว
ไม่ได้การ!
จู่ๆหลู่เซียนหมิงก็อุทานขึ้นมาในใจ เขาจะปล่อยให้หลิงฮันถูกจ้าวชิงเฟิงสังหารไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรหลิงฮันก็คู่ผู้มีพระคุณต่อชีวิตของเขา แถมยังแข็งแกร่งเป็นอย่างมากอีก ซึ่งเขาจำเป็นต้องมีผู้สนับสนุนเช่นนี้
เขาตัดสินใจแล้วว่า หลังจากที่หลิงฮันพ่ายแพ้ เขาจะทำการแทรกแซงการประลองทันที ด้วยสถานะของเขา ไม่ว่าอย่างไรจ้าวชิงเฟิงก็ต้องยอมไว้หน้าเขาและไว้ชีวิตหลิงฮัน
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว หลิงฮันก็จะรู้สึกปราบปลื้มในการกระทำของเขา และการจะชักชวนอีกฝ่ายให้มาเป็นผู้ติดตามก็จะมีโอกาสสำเร็จมากขึ้น
ฮ่าๆๆ ช่างยอดเยี่ยมอะไรอย่างนี้
“เริ่มประลองได้” กรรมการสะบัดมือส่งสัญญาณ ก่อนจะออกไปจากลานประลอง
จ้าวชิงเฟิงไคว้สองมือไว้ด้านหลังและจ้องมองหลิงฮัน “อย่างน้อยเจ้าก็มีความกล้าหาญอยู่บ้าง ข้านึกว่าเจ้าจะขี้ขลาดจนหนีการประลองไปแล้วเสียอีก”
หลิงฮันยิ้ม “หากข้าไม่อยู่ ใครจะทุบตีสั่งสอนเจ้ากันล่ะ?”
“ฮ่าๆๆ ความกล้าหาญของเจ้าคู่ควรแกคำชื่นชมจริงๆ ข้าหวังเหลือเกินว่าความแข็งแกร่งของเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง” จ้าวชิงเฟิงไม่มีท่าทีโมโหกับคำพูดของหลิงฮัน แต่หัวเราะลั่นออกมาแทน
เขากลัวว่าหลิงฮันจะไม่แข็งแกร่งพอ ที่จะเป็นหินลับคมสำหรับดึงศักยภาพของเขาให้ออกมาได้อย่างเต็มที่
ยิ่งพลังบ่มเพาะหยุดที่ระดับสี่นิพพานนานเท่าไหร่ โอกาสที่จะทะลวงผ่านเป็นนิรันดร์ห้านิพพานได้ก็ยิ่งน้อยลง การสะสมพลังผ่านกาลเวลาอันยาวนานนั้นไม่ช่วยอะไร มีเพียงการฝึกฝนผ่านการต่อสู้จริงเท่านั้น
หลิงฮันกล่าว “ข้าเองก็หวังว่าเจ้าจะแข็งแกร่งพอเช่นกัน ไม่เช่นนั้นคงน่าเบื่อแย่ หากข้าต้องเสียเวลาทุบตีเศษสวะอ่อนแอ”
“ช่างบ้าบิ่น แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความรู้สึก” จ้าวชิงเฟิงยกมือขวาขึ้นหน้า คลื่นแสงสีครามควบแน่นรวมตัวกันที่ฝ่ามือของเขา ที่บริเวณกึ่งกลางของคลื่นแสงดาบสีครามค่อยๆปรากฏออกมาและถูกกวัดอยู่ในมือของเขา
จ้าวชิงเฟิงเผยรอยยิ้มโหดเหี้ยม เขารออาหารจานโตเช่นนี้มาเป็นเวลานาน จนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว
การได้สังหารอัจฉริยะที่ฝีมือใกล้เคียงกันจะทำให้ศักยภาพในศาสตร์วรยุทธของเขาพัมนาขึ้น
ใช่แล้ว อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่เขาฝึกฝนก็คืออำนาจแห่งกฎเกณ์สังหาร
จ้าวชิงเฟิงกวัดแกว่งดาบสีครามในมือ ‘พรึบ’ ปราณดาบเล่มยาวหลายหมื่นฟุตถูกปลดปล่อยออกมา และพุ่งทะยานเข้าใส่หลิงฮัน
อำนาจแห่งเต๋าที่ควบแน่นอยู่ปราณดาบนี้ ทรงพลังจนราวกับจะสะบั้นสวรรค์จนขาด
“สมกับเป็นอัจฉริยะของวิหารอนันต์รุ่งโรจน์!” ที่ด้านบนแท่นผู้ชม ปรมาจารย์ที่ทรงพลังจำนวนหนึ่งกำลังเฝ้ามองดูการประลอง ปรมาจารย์เหล่านี้ทุกคนล้วนแต่เป็นนิรันดร์ระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้ ด้วยอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้ราชานิรันดร์ ในสาตาของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นจ้าวชิงเฟิง หลิงฮัน หรือแม้แต่เอี๋ยนเซียนลู่ก็ไม่ต่างจากเด็กน้อย
ต่อให้จะมีศักยภาพโดดเด่นแค่ไหน ก็เป็นเพียงเรื่องของอานาคต เพียงแค่นิรันดร์ระดับโลกียนิพพานตัวจ้อย มีรึที่พวกเขาจำเป็นต้องให้ความสำคัญ?
“เป็นพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งจริงๆ” ปรมาจารย์ผู้หนึ่งวิเคราะห์
“เจ้าหนูนั่นบรรลุระดับสูงสุดของโลกียนิพพานแล้วแท้ๆ ด้วยพรสวรรค์ของเขา ข้าไม่คิดว่าเขาจะไม่สามารถทะลวงผ่านไปยังระดับแบ่งแยกวิญญาณได้”
“…หรือว่า!”
เหล่าปรมาจารย์มองหน้ากัน และพบเห็นสีหน้าตกตะลึงของกันและกัน สิ่งที่พวกเขากำลังนึกถึงคือตำนานที่เท่าที่พวกเขาเคยได้ยินมา ไม่เคยมีใครทำได้สำเร็จมาก่อน
เหลือระดับสี่นิพพาน ยังมีห้านิพพานอยู่อีกขั้น!
“เพียงแต่เฒ่าจื่อเฉิงจะต้องเกรี้ยวกราดมากเป็นแน่ หากการประลองถูกลดลงมาเหลือวันเดียวเช่นนี้ ศิลาดวงดาวที่ได้จากการขายบัตรผ่านก็ย่อมน้อยลง” คนแคระที่ถักผมเป็นเปียนับไม่ถ้วนเผยรอยยิ้ม
“ฮ่าๆๆๆ!” เหล่าปรมาจารย์คนอื่นเองก็หัวเราะ เมื่อคิดถึงความโลภและความขี้เหนียวของปรมาจารย์นักปรุงยาจื่อเฉิงแล้ว พวกเขาอยากจะเห็นจริงๆว่าเมื่อได้รับรู้ข่าวนี้ อีกฝ่ายจะทำหน้าอย่างไร
ในระหว่างที่เหล่าปรมาจารย์กำลังคุยกัน ปราณดาบของจ้าวชิงเฟิงก็ทะลวงเข้าใส่หลิงฮัน
หลิงฮันปล่อยหมัด ‘ตูม’ อำนาจแห่งกฎเกณฑ์เปลวเพลิงถูกปกคลุมไปทั่วกำปั้น เพื่อตอบโต้ปราณดาบ
ปราณดาบแหลกสลายทันที แต่ภายใต้แรงกระแทกอันรุนแรง ร่างของหลิงฮันก็ถูกทำให้ล่าถอยไปสุดขอบลานประลอง
น่าสะพรึงกลัวนัก แค่การกวัดแกว่งดาบธรรมดาก็ทรงพลังถึงเพียงนี้
หลิงฮันขมวดคิ้วเล็กน้อย ในแง่ของพรสวรรค์นั้นเขาไม่ได้ด้อยกว่าอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่เพราะพลังบ่มเพาะของเขาต่ำกว่าอีกฝ่ายหนึ่งขั้น เขาจึงตกเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ
แต่ก็น่าสนุก มาสู้กัน!