สำหรับคนอื่น “บันไดสู่สวรรค์” เป็นการทดสอบที่ยากเย็น แต่สำหรับสัตว์ประหลาดทั้งสองคน หลิงฮันและฮูหนิวนั้นมันเป็นการทดสอบที่ง่ายดาย และไม่อาจผลักดันให้พวกเขาทะลวงผ่านขีดจำกัดของตัวเองได้
ดังนั้น ในไม่ช้าหลิงฮันจึงหมดความสนใจและหลังจากปีนไต่มาเป็นเวลาหนึ่งวัน เขาก็หยุดดูดซับพลังก่อเกิดแล้วเปลี่ยนเป็นพละกำลัง แต่การบ่มเพาะทักษะกายาเก้ามังกรทรราชนั้นเจ็บปวดมากเพราะท่าทางแต่ละท่าทางนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถทำได้ ทุกครั้งที่เขาทำถึงขั้นกระอักเลือดออกมา
ไม่แปลกที่เขาต้องกินยาบำรุงจำนวนมาก มิฉะนั้นเขาคงจะตายเพราะกระอักเลือดทุกวัน
ทุกครั้งที่หลิงฮันฝึกเสร็จ เขาก็จะเริ่มกินเนื้อกับฮูหนิว และเห็นราชันดาบชุดคลุมขาวปีนไต่ขึ้นมา ในแต่ละวันที่ผ่านไป การแสดงออกของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย และสายตาของเขากลับยิ่งเปล่งประกายมากขึ้น
หลิงฮันสามารถมองเห็นได้ว่ามีบางอย่างปลูกอยู่ภายในหัวใจของนักดาบผู้นี้ และเมื่อมันงอกเงยขึ้น มันจะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรน์
นี่คือโอกาสของเชิงจงเฉิน
หลังจากผ่านไปเก้าวัน ในที่สุดหลิงฮันและฮูหนิวก็ปีนขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดของบันไดสู่สวรรค์ และสถานที่แห่งนี้เป็นดินแดนอันกว้างใหญ่ที่แปลกสุดจะพรรณนา ราวกับว่ามันเป็นดินแดนที่ถูกแยกส่วนออกมา
ทันใดนั้น คลื่นพลังที่ผิดปกติถูกส่งมาจากด้านล่างและปล่อยพลังที่น่าทึ่งออกมา การปรากฏตัวของคลื่นพลังนั่นเป็นเหมือนกับน้ำขึ้นน้ำลง
“ใครบางคนกำลังทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบาน!” หลิงฮันรู้สึกประหลาดใจ
ในไม่ช้าคลื่นพลังนั่นก็ปรากฏออกมาอีกครั้ง
“คนที่สองกำลังทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบาน!” หลิงฮันรู้สึกประหลาดใจมากกว่าเดิม
จากระดับแก่นแท้จิตวิญญาณไประดับบุปผาผลิบาน นี่เป็นกระบวนการก้าวข้ามความเป็นมนุษย์ไป แม้จะทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานแล้วแต่ก็ยังคงห่างไกลจากคำว่าพระเจ้า ตัวตนระดับบุปผาผลิบานนั้นสามารถบินและมีชีวิตอยู่รอดเพียงแค่ดูดซับพลังปราณโดยที่ไม่ต้องกินอาหาร ซึ่งเป็นอะไรที่มนุษย์ไม่สามารถเปรียบเทียบด้วยได้
ดังนั้น การข้ามผ่านขั้นตอนพวกนี้จึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก
ในช่วงครึ่งวัน หลิงฮันรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังเจ็ดระลอกที่ทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบาน และแน่นอนว่าไม่ใช่คนคนเดียวกันที่ทะลวงผ่านเจ็ดครั้งเพราะความล้มเหลว
มันน่าจะเป็นเหล่าอัจฉริยะที่ติดอยู่ในระดับแก่นแท้จิตวิญญาณขั้นเก้าและอยู่ห่างจากระดับบุปผาผลิบานเพียงแค่ก้าวเดียว เมื่อถูกจำกัดด้วยความยากลำบากในการทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบาน พวกเขาจึงหยุดอยู่กับที่
แต่ที่นี่ พวกเขาถูกบังคับให้ทะลวงผ่านขีดจำกัดของตัวเองด้วยอำนาจจิตที่ทำให้ผู้คนเข้าสู่สถานะของการเป็นหนึ่งเดียวกับสวรรค์และปฐพีได้อย่างง่ายดาย มองทะลุผ่านตัวเองและทำความเข้าใจได้ทันที และได้รับกุญแจก้าวเข้าสู่ระดับถัดไป
ไม่แปลกที่มีคนจำนวนมากต้องการเข้ามาที่นี่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้รับสมบัติกลับไปแม้แต่ชิ้นเดียว เพียงแค่ประสบการณ์ก็คุ้มค่าแล้ว
แน่นอนว่าคนทั้งเจ็ดคนสามารถทะลวงผ่านได้นั่นเป็นเพราะพวกเขาสะสมพลังระดับแก่นแท้จิตวิญญาณได้มากพอแล้ว แต่ทั้งหมดนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวเอง
ทั้งเจ็ดคนนั้นยังมาไม่ถึงปลายทาง ในตอนบ่ายของวันที่สิบ มีคนอีกสามคนทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานทีละคนทีละคน แสดงให้เห็นว่า พวกเขาทั้งสิบคนไม่สามารถมาที่นี่ได้ภายในสิบวัน เพราะการทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบวัน
เมื่อพวกเขาทะลวงผ่านผ่านระดับบุปผาผลิบานสำเร็จแล้ว เวลาหนึ่งเดือนคงจะครบกำหนดและทุกคนจะถูกขับไล่ออกจากเขตแดนลี้ลับ
ราชันดาบชุดขาวมาถึงเป็นคนที่สาม และเมื่อเขาก้าวผ่านบันไดขั้นสุดท้าย เขาก็นั่งขัดสมาธิทันที พลังปราณเริ่มเข้าสู่ร่างของเขาราวกับมือที่ไร้รูปร่างกำลังดึงพลังปราณเข้ามา
เมื่อจับตามองอย่างใกล้ชิด พลังปราณก่อรูปร่างเป็นสัตว์อสูรดุร้ายสามตัว มันกระโดดโลดเต้นอยู่บนตัวเชิงจงเฉินคนละมุม
“นี่มันปรากฎการณ์สามอสูร!” หลิงฮันรู้สึกตกใจว่า “ตำนานเป็นเรื่องจริง มันจะปรากฏออกมาเมื่อสามารถเอาชนะตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ซึ่งทำให้เกิดปฏิกิริยาของพลังลึกลับในสวรรค์และโลก! กล่าวกันว่าจำนวนสัตว์วิญญาณที่สามารถดึงออกมาได้มากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะทะลวงผ่านขั้นของระดับพลังได้ตามจำนวนที่ปรากฏตอนนี้ เชิงจงเฉินได้รับกำไรอย่างมหาศาล”
พลังปราณพุ่งพล่านและยังคงเปลี่ยนรูปร่างเป็นสัตว์อสูรอย่างต่อเนื่อง สัตว์อสูรสามตัวกระโจนเข้าหาเชิงจงเฉินทีละตัวและทำให้พลังของเขาเพิ่มขึ้นไม่หยุด
ครึ่งชั่วโมงต่อมาก พลังงานได้ระเบิดออกมาจากร่างของเชิงจงเฉิน เขาลืมตาขึ้นทันที ดวงตาของเขาเปล่งประกายราวกับดวงอาทิตย์ขนาดเล็กสองดาง แต่แล้วความเร่าร้อนก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ดวงตาของเขายังคงเต็มไปด้วยแววตาที่แหลมคมเหมือนกับดาบ
ระดับแก่นแท้จิตวิญญาณขั้นห้า!
ระดับพลังของเขาเพิ่มขึ้นสามขั้นอย่างที่คิด
หลิงฮันรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง ทำไมเขาถึงแข็งแกร่งเกินไป แข็งแกร่งเกินไปถึงขั้นการทดสอบที่นี่ไม่อาจบังคับให้เขาก้าวผ่านขีดจำกัดของตัวเองได้…
และคนที่สี่ที่ขึ้นมาถึงคือชางเย่!
จิตสังหารเอ่อล้นออกมาจากร่างกายของเขา เขาถือกระบี่อยู่ในมือขวา แววตาของเขาดูน่าสะพรึงกลัว ราวกับว่าเขาไม่เกรงกลัวและไม่ลังเลที่จะโจมตีออกไปด้วยกระบี่ของเขาเพื่อสะบั้นจอมยุทธระดับทลายมิติ!
การขัดเขลาจิตตานุภาพของเขาในที่สุดก็สามารถปลดปล่อยจิตสังหารออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ชางเย่เองก็นั่งลงทันทีเช่นกัน และพรึบ พลังปราณโคจรอยู่รอบร่างกายและก่อร่างเป็นสัตว์อสูรสามตัวพุ่งเข้าไปในร่างกายของเขา
‘เฮ้อ หรือว่าพวกเจ้าพยายามทำให้ข้าโกรธ?’
หลิงฮันส่ายหัว แต่ก็เผยให้เห็นถึงรอยยิ้ม ชางเย่นับได้ว่าเป็นอัจฉริยะ และความสำเร็จของเขาในอนาคตนั้นไร้ขีดจำกัด! ในแคว้นพิรุณ เขามีความรู้สึกว่าชางเย่จะกลายเป็นจักรพรรดิกระบี่ตะวันคนที่สองในอนาคต แต่ตอนนี้ความรู้สึกกลับกลายเป็นความเชื่อมั่น
ตราบใดที่ชางเย่ยังมีชีวิตอยู่และก้าวหน้าต่อไป เขาจะต้องกลายเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน!
หลิงฮันลูบคางของตัวเอง เขาควรปล่อยให้ชางเย่พัฒนาด้วยตัวเองหรือไม่? หากติดตามอยู่เคียงข้างเขาและได้รับการปกป้องตลอด ชางเย่จะไม่มีวันกลายเป็นจอมยุทธที่แท้จริง แต่เป็นเพียงได้แค่ลูกสมุนที่ทรงพลังเท่านั้น
ผู้คนเริ่มทยอยกันมาอย่างต่อเนื่อง แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น อวี่คุนหลุนและอัจฉริยะอันดับต้นๆจากการจัดอันดับครั้งก่อนหรือสองครั้งก่อนนั้นยังไม่ปรากฏตัวออกมาให้เห็นแม้แต่คนเดียว บางทีพวกเขาอาจเป็นสิบคนเหล่านั้นที่ทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบาน
หลิงฮันคิดแบบนั้นได้ชั่วครู่หนึ่ง และหยุดคิดเรื่องพวกนั้นทันที เขาปรารถนาที่จะผ่านการทดสอบที่สามและได้รับทักษะกายาเก้ามังกรทรราชฉบับสมบูรณ์
เมื่อวันนี้สิ้นสุดลงมีคนเพียงสิบสี่คนเท่านั้นที่ผ่านการทดสอบ หลิวอู๋ตง และเย่วไค่หยู่ยังขึ้นมาไม่ถึง แสดงให้เห็นว่าจิตตานุภาพของพวกเขายังไม่หนักแน่นพอ
…เชิงจงเฉินใช้เวลามากกว่าเก้าวันกว่าจะมาถึงที่นี่และเกิดปรากฏการณ์สามอสูรเช่นเดียวกัน
ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างปกติทีเดียวสำหรับพวกเขาที่มาไม่ถึง
รูปแบบอาคมวิญญาณปรากฏตัวออกมาและเหลือบมองผู้คนทั้งสิบสี่คนแล้วพูดว่า “การทดสอบรอบที่สามคือทักษะการปรุงยา มันไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน ซึ่งข้าจะเป็นคนตัดสินด้วยตัวเอง”
อย่างรวดเร็ว ผู้คนสิบสามคนจากสิบสี่คนยอมแพ้ทันที
เพราะอะไรน่ะหรือ? ไม่มีพวกเขาคนใดที่เป็นนักปรุงยาเลยแม้แต่คนเดียว การทดสอบนี่มันอะไรกัน!
สีหน้าของรูปแบบอาคมวิญญาณรู้สึกแปลกใจ และจ้องมองไปที่หลิงฮันขณะที่มันพูดว่า “เจ้าเองก็เป็นนักปรุงยางั้นรึ? เจ้าเป็นนักปรุงยาเพียงคนเดียวหรือที่อยู่ที่นี่?”
“แน่นอนและมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ!” หลิงฮันจงใจถอนหายใจออกมา
รูปแบบอาคมวิญญาณคิดอยู่ชั่วครู่แล้วพูดว่า “แม้จะมีเพียงแค่เจ้าเพียงคนเดียว ถ้าระดับเม็ดยาที่เจ้าปรุงมานั้นไม่ถึงระดับ เจ้าจะไม่ได้รับรางวัลตอบแทนอะไรเลย”
มันกำลังสบประมาทปรมาจารย์นักปรุงยาอยู่อย่างนั้นหรือ?