ในตอนแรกในคฤหาสน์ที่ซื้อมานั้นไม่มีอาหารแม้แต่นิดเดียว แต่หลิงฮันมีหอคอยทมิฬซึ่งมีวัตถุดิบต่างๆบรรจุเอาไว้มากมาย
หลิงตงสูญเสียเวลาไปเปล่าๆถึงสิบแปดปี และตอนนี้รากฐานวิญญาณของเขาได้ฟื้นฟูกลับมาแล้ว และด้วยทรัพยากรสมุนไพร สัตว์อสูรและเม็ดยาอย่างไม่จำกัดจากหลิงฮัน พลังบ่มเพาะของเขาจึงเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
หลิงฮันวางแผนจะพักอยู่ที่นี่สักครึ่งปี จากนั้นค่อยไปหาหยินหงที่เมืองหยางสวรรค์เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันของตำหนักสมบัติวิญญาณ แต่ถึงตอนนั้นเขาคงจะต้องปลอมแปลงใบหน้า
ถ้าหยินหงขายเขา นั่นก็ถือว่าเป็นเขาเองที่มองคนผิด แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่หวาดกลัวต่อภัยอันตรายใดๆอยู่แล้ว
เรื่องการเข้าร่วมแข่งขันเป็นสิ่งที่เขาสัญญาเอาไว้ซึ่งก็ต้องรักษาคำพูด
พลังบ่มเพาะของหลิวอู๋และคนอื่นๆเพิ่มขึ้นอย่างเชื่องช้าเพราะพวกเขาเพิ่งจะทะลวงผ่านระดับแก่นแท่จิตวิญญาณ พวกเขาต้องใช้เวลาสักพักในการทำให้รากฐานมั่นคง การทะลวงผ่านขั้นต่อไปอย่างต่อเนื่องไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับการบ่มเพาะพลัง
หลังจากใช้ชีวิตอย่างสงบมาหลายสิบวัน เยว่ฮงฉางก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจ
สถานการณ์ของบุตรของนางนี่มันอะไรกัน… ทั้งๆที่มีสาวงามขนาดนั้นอยู่ข้างกาย แต่เจ้ากับทำเพียงจ้องมองพวกนางด้วยสายตา? ช่างเสียของและน่าอับอายยิ่งนัก!
เยว่ฮงฉางออกคำสั่งให้หลิงฮันใช้เวลาทุกๆวันกับสาวๆเหล่านี้
นี่คือมารดาของเขา ดังนั้นหลิงฮันจึงทำได้เพียงยอมเชื่อฟัง
คนแรกคือหลิวอู๋ตง
ทั้งสองคนออกจากคฤหาสน์และเดินเตร่ออกไปข้างนอกเมือง สายลมอ่อนพริ้วไหวผ่านร่างของพวกเขา แสงแดดที่ส่องลงมาทำให้ผิวของหลิวอู๋ตงดูราวกับหยกงามที่ไม่อาจละสายตาออกห่างได้
“โอ้ย!” จู่ๆหลิวอู๋ตงก็เดินเซและล้มลงไปที่พื้น หลิงฮันเดินเข้าประชิดและคว้าตัวนางเอาไว้
“เกิดอะไรขึ้น?” หลิงฮันถาม
หลิวอู๋ตงโน้มตัวซบอกเขาและพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ข้อเท้าข้าพลิก”
ข้อเท้าพลิก? จอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณข้อเท้าพลิกในขณะที่เดินอยู่?
หลิงฮันคาดเดาทันทีว่านางจะต้องกำลังแกล้งทำ?
แต่เข้าจะกล้าพอที่จะเปิดโปงการกระทำของนางรึ?
สิ่งที่ยากลำบากที่สุดคือการทำให้สตรีพึงพอใจ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
“งั้นก็กลับกันเถอะ” หลิงฮันพูด
“อืม! หลิวอู๋ตงพลังหน้าและซบอยู่ในอ้อมกอดหลิงฮัน กลิ่นอายของความเป็นชายที่สัมผัสได้จากร่างของหลิงฮันทำให้สมองของนางปั่นป่วนจนเกือบเป็นลม”
แต่ละก้าวที่ถูกพยุง นางรู้สึกราวกับกำลังเดินอยู่ท่ามกลางปุยเมฆที่ไร้น้ำหนัก แก้มของนางเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มขึ้นเรื่อยๆจนทำให้ดูงดงามยิ่งกว่าเดิม
ในขณะที่เดินอยู่ นางรวบรวมความกล้าและกอดเข้าที่เอวของหลิงฮันในขณะที่ใบหน้าของนางแนบชิดอยู่กับหน้าอกของเขา ความสุขที่เกินจะบรรยายได้ปะทุขึ้นภายในจิตใจของนางและอยากจะเดินอยู่แบบนี้ไปตลอดกาล
แต่สุดท้ายเมื่อพวกเขากลับมาถึงคฤหาสน์และหลิงฮันปล่อยตัวนาง หลิวอู๋ตงก็เริ่มรู้สึกเขินจนต้องวิ่งหนีในขณะที่หลิงฮันหัวเราะลั่นออกมา ไม่ใช่ว่าเจ้าข้อเท้าพลิกหรอกรึ? ทำไมถึงได้วิ่งไวขนาดนั้นล่ะ? การแสดงของเจ้าช่างไม่เป็นมืออาชีพเอาเสียเลย
ในวันที่สองคนที่หลิงฮันต้องใช้เวลาด้วยคือหลีซื่อฉาง
“โอ้ย!” ขณะที่เดินอยู่ จู่ๆหลีซื่อฉางก็สะดุดและล้มลง
ใช่แล้ว ข้อเท้าของนางพลิกเช่นกัน!
‘พวกเจ้าถูกสอนโดยอาจารย์คนเดียวกันสินะ?’
หลิงฮันช่วยพยุงนางเอาไว้ พร้อมกับคิดว่านี่ต้องเป็นความคิดของแม่เขาแน่นอน ไม่เช่นนั้นหญิงสาวทั้งสองคนนี้คงไม่ทำอะไรไร้ยางอายเช่นนี้ แถมเขากับพวกนางยังรู้จักกันมากตั้งสองปีแล้ว ที่ผ่านมาพวกนางไม่เคยข้อเท้าพลิกเลยสักครั้ง แต่ทำไมตอนนี้ถึงข้อเท้าพลิกเสียล่ะ?
วันที่สามคือจูเสวียนเอ๋อ
หลิงฮันถอนหายใจและพูด “เจ้าคงจะไม่ข้อเท้าพลิกในขณะที่เดินอยู่หรอกนะ?”
จูเสวียนเอ๋อชะงักนิ่ง ทำไมถึงไม่เป็นไปตามแผนกัน? แต่ถึงอย่างนั้นนางก็เป็นหญิงที่ฉลาด ‘ฟุบ’ ร่างงดงามของนางอ่อนแรงและล้มใส่หลิงฮัน ‘เจ้าคงไม่ใจร้ายขนาดปล่อยให้ข้าล้มใส่พื้นหรอกนะ?’
หลิงฮันไม่เต็มใจที่จะทำตามแผนของนาง แต่เมื่อคิดว่าหากมารดาของเขารู้เข้าเขาจะโดนตำหนิ… เขาจึงต้องยอมจำใจปกป้องดอกไม้งามดอกนี้ หลิงฮันโอบร่างจูเสวียนเอ๋อเอาไว้ทันที
“พี่ฮัน…” นางพูดด้วยเสียงต่ำและน่าหลงใหล
เลือดกำเดาของหลิวฮันเกือบจะทะลักออกมา สาวงามราวกับเทพธิดากำลังอยู่ในอ้อมกอดของเขาและส่งเสียงอันน่าหลงใหลออกมา… ถ้าเขาไม่ยังไม่หวั่นไหว เขาคงไม่ใช่ผู้ชายแล้ว
“เสวียนเอ๋อรู้ว่าพี่ฮันมีหญิงสาวในใจแล้ว แต่เสวียนเอ๋อไม่สนใจ แค่พี่ฮันแบ่งพื้นที่ในหัวใจให้เสวียนเอ๋อบ้างก็พอแล้ว” จูเสวียนเอ๋อพูดด้วยเสียงที่ส่วนเพ้อฝัน
หัวใจของหลิงฮันสั่นรัว ในโลกนี้มีคำพูดใดจะน่าหลงใหลไปมากกว่านี้อีกรึไม่?
เขาไม่สามารถสลัดสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ทิ้งไปจากหัวใจได้ แม้จะผ่านไปหลายพันปีแต่เขาก็ยังคงคิดว่ากลังจากนางกลายเป็นพระเจ้า นางจะต้องมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้และไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ที่นางจะหลงรักชายอื่นแม้แต่น้อย
ด้วยสภาพการณ์เช่นนี้ทำให้เขาไม่สามารถมีหญิงอื่นได้ เพราะงั้นที่ผ่านมาเขาถึงได้ไม่มีความคิดเกินเลยใดๆต่อหลิวอู๋ตงและหลีซื่อฉาง
หลิงฮันโอบกอดนางและพูด “บางทีเจ้าอาจจะต้องรออีกหลายร้อยปี”
นี่ไม่ใช่คำพูดเกินจริง แม้เขาจะกลับไปยังระดับสวรรค์ได้อย่างรวดเร็วและบรรลุระดับทลายมิติได้ แต่จากระดับทลายมิติกลายเป็นพระเจ้านั้น… เขาไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาเท่าใด ซึ่งร้อยปีนั้นไม่ใช่ระยะเวลาที่ยาวนานเลย
“เสวียนเอ๋อยินดีที่จะรอ!” จูเสวียนเอ๋อพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน นางสามารถบรรลุระดับบุปผาผลิบานได้แน่นอน และอย่างน้อยก็จะได้รับอายุขัยอย่างน้อยสามร้อยปี การรอคอยเพียงร้อยปีนั้นก็ทำให้นางรู้สึกเหมือนมีอายุเพิ่มเป็นสามสิบปีเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นหากติดตามหลิงฮันล่ะก็ ด้วยพรสวรรค์ของนางแล้วระดับบุปผาผลิบานยังไม่ใช่ขีดจำกัด มีความเป็นไปได้ที่นางจะบรรลุระดับตัวอ่อนวิญญาณ ระดับก้าวสู่เทวาหรือแม้แต่ระดับสวรรค์
ในเมื่อจูเสวียนเอ๋อเต็มใจที่จะรอ หลิงฮันจะสามารถพูดอะไรได้อีก? ถ้าเขาปฏิเสธกลับไป มารดาของเขาต้องเอาแส้ฟาดเขาแน่!
หลิงฮันโอบกอดจูเสวียนเอ๋อ ทั้งสองจ้องหน้ากันโดยไร้คำพูดพร้อมกับแสงแดดอันอบอุ่นที่สาดลงมาระหว่างพวกเขา
จูเสวียนเอ๋อเป็นหญิงที่ฉลาด นางไม่ถามว่าคนที่อยู่ในใจของหลิงฮันคือใคร นางไม่คิดจะเอาตัวเองไปแข่งขันหรือเปรียบเทียบ
บรรยากาศช่างอบอุ่นและหอมหวาน