อัดแน่นปราณ
‘เวลาแบบนี้ยังไม่ลืมที่จะจีบสาว!’
แต่ผู้คนมากมายก็รู้สึกตื่นเต้นจนแววตาส่องประกายและถอนหายใจ เห็นได้ชัดว่าพวกเรากำลังรอให้ซวนหยวนจื่อกวงลงมืออยู่
“งี่เง่า!” หลิงฮันส่ายหัว
“งี่เง่า!” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนพูดตามและแลบลิ้นออกมา
“ครั้งหน้าที่พบกับเจ้าโง่นี่ เจ้าจงทุบตีมันซะ!” หลิงฮันพูด
“แต่ทำแบบนั้นข้าก็เจ็บมือสิ!” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแอ
หลิงฮันครุ่นคิดและนำหินก่อนหนึ่งออกมาใส่มือนาง “ใช้สิ่งนี้ทุบตีมัน”
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนพยักหน้าและพูดตอบ “อืม!” นางถือก้อนหินเอาไว้ในมืออย่างกระตือรือร้น
สีหน้าของซวนหยวนจื่อกวงเปลี่ยนเป็นมืดมน ไม่ว่าจะเป็นด้านต่อสู้หรือด้านความรัก มันก็ล้วนแต่ไม่ชนะหลิงฮัน ซึ่งเรื่องนี้ทำให้มันรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก
‘เหอะ รอให้ข้าจัดการเจ้าพวกนิกายพันศพเหล่านี้และได้รับเกียรติยศอันสูงส่งมาก่อนเถอะ’
ซวนหยวนจื่อกวงกระโดดลงจากประตูเมืองและมองไปยังไป๋หยวนอย่างดูถูก “ถ้าเจ้ารับกระบวนท่าของข้าได้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
บ้าไปแล้ว!
เจ้ารู้รึเปล่าว่าเปียนฮ่าวมีทหารซากศพที่มีพลังต่อสู้เทียบเท่าระดับบุปผาผลิบานขั้นเก้าที่มีพลังต่อสู้ถึงสิบสามดาวอยู่สี่ตัว หรือเจ้าจะบอกว่าแม้จะเป็นทหารซากศพเหล่านี้ก็ไม่สามารถหยุดยั้งกระบวนท่าของซวนหยวนจื่อกวงได้?
เปียนฮ่าวกลายเป็นเกรี้ยวกราด มันคือศิษย์ระดับสูงของนิกายพันศพที่มีสายตาเอาไว้จ้องมองผู้คนจากเบื้องบน แต่ตอนนี้มันกลับถูกดูหมิ่น แล้วจะไม่ให้มันรู้สึกโมโหได้อย่างไร? แต่ก่อนที่มันจะได้ลงมือโจมตี มืออันหนักหน่วงมือหนึ่งก็กดลงที่ไหล่ของมัน
มันคือไป๋หยวน
“อาวุโสไป๋ ได้โปรดให้ข้าเป็นคนสู้!” เปียนฮ่าวพูด
ไป๋หยวนส่ายหัวและพูด “เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ให้ศิษย์ที่สามออกไปสู้ซะ”
“ว่าไงนะ!”
ศิษย์ของนิกายพันศพอุทานออกมา ถึงแม้พวกมันจะไม่ได้ออกมาเผชิญหน้ากับโลกภายนอกมาเป็นเวลานาน แต่ศิษย์ที่สาม จูเทียนเก้อคือศิษย์ลำดับที่สามของผู้นำนิกายพันศพและเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกมัน
ที่ต้องให้เขาออกโรง หรือว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งมาก?
จูเทียนเก้อก้าวออกมาและเปิดตามองไปยังซวนหยวนจื่อกวงชั่วขณะ สีหน้าของเขากลายเป็นแข็งทื่อและพูดออกไป “ชายผู้นี้เป็นคนที่เหมาแก่การสู้ด้วยจริงๆ แม้แต่ข้าก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะ”
เปียนฮ่าวและศิษย์คนอื่นๆตกตะลึงอีกครั้ง แม้แต่ศิษย์พี่สามก็พูดเช่นนั้น หรือว่าซวนหยวนจื่อกวงจะแข็งแกร่งกว่าพวกเขาทั้งหมดจริงๆ?
“หากเป็นศิษย์พี่สองอาจจะชนะได้ แต่หากเป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่แข็งแกร่งเทียมฟ้าล่ะก็ หมอนี่ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้แน่นอน!” จูเทียนเก้อยิ้ม
เปียนฮ่าวและศิษย์คนอื่นๆพยักหน้าเห็นด้วยกับจูเทียนเก้อ แม้แต่พวกมันทุกคนที่เป็นอัจฉริยะยังต้องยอมแพ้ เป็นหลักฐานว่าคนที่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่หนึ่งแข็งแกร่งขนาดไหน
จูเทียนเก้อเดินออกมา ร่างของมันไม่สูงมากแต่ดูกำยำ
“แล้วทหารซากศพของเจ้าล่ะ?” ซวนหยวนจื่อกวงถาม
“เมื่อจำเป็นต้องใช้ เดี๋ยวมันเจ้าก็ได้เห็นเอง” จูเทียนเก้อตอบอย่างสงบนิ่ง
ซวนหยวนจื่อกวงแสยะยิ้ม “หากไม่มีทหารซากศพ เจ้าก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีจากข้า”
“ฮ่าๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงต้องโทษความอ่อนแอของตัวข้าเอง” จูเทียนเก้อหัวเราะ
ผู้ฉลาดย่อมไม่ลงมืผลีผลาม แน่นอนว่าซวนหยวนจื่อกวงย่อมไม่กล้าประมาทจูเทียนเก้อ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มัวเสียเวลาพูดยั่วยุและโจมตีไปแล้ว
ซวนหยวนจื่อกวงพาดหนึ่งมือไว้ด้านหลังและพูด “ในเมื่อเจ้าไม่ใช้ทหารซากศพ งั้นข้าจะสู้กับเจ้าด้วยมือเดียว”
บะ…บ้าไปแล้ว!
จูเทียนเก้อแสดงท่าทีเกรี้ยวกราด อีกฝ่ายต้องการต้อนให้มันเรียกทหารซากศพออกมาด้วยมือข้างเดียว? ช่างมั่นใจในตัวเองนัก! จูเทียนเก้อเค้นเสียงเย็นชาและอ้าปาก จากนั้นมันล้วงนำฝ่ามือล้วงเข้าไปในลำคอพร้อมกับดึงดาบสีดำออกมา
นี่มันบ้าอะไรกัน!
ทุกคนในเมืองอุทานออกมา เจ้ายากจนถึงขนาดไม่มีแหวนมิติและนำอาวุธไปเก็บไว้ในร่างกายเลยรึ?
หลิงฮันแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาและพึมพำ “หรือว่าจะเป็นกายาหลอมกลั่นดั่งที่ตำนานกล่าวเอาไว้?”
“อะไรคือกายาหลอมกลั่น?” จูเสวียนเอ๋อถาม นางในตอนนี้เองก็แปลงโฉมให้ดูเรียบง่ายเหมือนกับหลิงฮันเช่นกัน
“การขัดเกลาอาวุธวิญญาณในร่างกายจะทำให้อาวุธวิญญาณสร้างสายโลหิตของตนเองขึ้นมาและพลังอำนาจของมันจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล” หลิงฮันพูดและส่ายหัว “ไม่ว่าจะเป็นอาวุธวิญญาณชนิดไหน หากขัดเกลาด้วยวิธีนี้มันก็จะกลายเป็นอาวุธวิญญาณที่มีไว้สำหรับเข่นฆ่าสังหาร”
ผู้คนรอบข้างฟังคำอธิบายของหลิงฮันพร้อมกับพยักหน้า มีคนไม่น้อยที่สงสัยตัวตนของหลิงฮัน รูปร่างของเจ้าก็ดูเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบสี่ ยี่สิบห้าปีแท้ๆ แต่ทำไมถึงได้รอบรู้นัก?
สีหน้าของซวนหยวนจื่อกวงปรากฏร่องรอยของความสงสัย “ข้าเพิ่งเคยเห็นอะไรเช่นนี้เป็นครั้งแรก ขอให้ข้าลองทดสอบหน่อยเป็นไง?”
จูเทียนเก้อถือดาบสีดำเอาไว้ในมือ ท่าทีเกียจคร้านของมันสลายหายไปและปลดปล่อยกลิ่นอายที่บ้าคลั่งออกมา “ตามที่เจ้าต้องการ!” จูเทียนเก้อขยับเท้าพุ่งเข้าใส่ซวนหยวนจื่อกวง โลหิตที่เคลือบดาบเอาไว้สาดกระจายไปทั่วพร้อมกับปลดปล่อยปราณดาบสี่เจ็ดเล่มที่มีรูปร่างเหมือนกับแส้เข้าพัวพันร่างของซวนหยวนจื่อกวง
“น่าสนใจ” ซวนหยวนจื่อกวงพึมพำ มือหนึ่งของเขายังคงพาดอยู่ด้านหลังในขณะที่อีกมือหนึ่งชี้นิ้วปลดปล่อยพยัคฆ์เปลวเพลิงออกไปกัดกินปราณดาบของจูเทียนเก้อ
“น่าขัน เจ้าคิดจะต่อต้านดาบมารทมิฬของข้า?” จูเทียนเก้อแสยะยิ้ม
“คิดว่าข้าทำไม่ได้?” ซวนหยวนจื่อกวงพูดอย่างภาคภูมิใจ ทันใดนั้นขนาดของพยัคฆ์เปลวเพลิงก็ขยายใหญ่ขึ้นสิบฟุตและปลดปล่อยออร่าที่ร้อนระอุออกมา
“อัดแน่นปราณจนเกือบกลายเป็นรัศมี!” ไป๋หยวนเผยสีหน้าประหลาดใจ “ไม่อาจดูถูกชายหนุ่มผู้นี้ได้เลย ก่อนหน้านี้เขาจงใจปกปิดความสามารถเอาไว้!”
รัศมีคือการควบแน่นกันของปราณ ก่อนหน้านี้ตอนที่จักรพรรดิพิรุณควบแน่นปราณหมัดได้สำเร็จ เขาที่มีพลังบ่มเพาะระดับบุปผาผลิบานขั้นหนึ่งสามารถต่อกรกับสัตว์อสูรราชันระดับบุปผาผลิบานขั้นเก้าได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัศมีนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน
แม้พยัคฆ์เปลวเพลิงจะไม่ใช่รัศมี แต่เกิดจากกันอัดแน่นกันของปราณหมัดทั้งสิบสอง พลังของมันก็ยังน่าสะพรึงกลัวอยู่ดี
หลิงฮันอดที่จะพยักหน้ายอมรับไม่ได้ ความคิดของซวนหยวนจื่อกวงนับว่าฉลาดไม่น้อย เขากระตุ้นปราณให้อัดแน่นกันจนกลายเป็นกึ่งรัศมี ถ้าหากว่าปราณยังไม่กลายเป็นรัศมีที่แท้จริง ซวนหยวนจื่อกวงก็ยังสามารถฝึกฝนปราณให้มีจำนวนมากกว่านี้ก่อนที่จะควบแน่นให้กลายเป็นรัศมีที่แท้จริง