พบสหายเก่า
หลังจากที่หลิงฮันผสานเข้ากับสายฟ้า มันทำให้ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นสามเท่า รวมถึงทักษะย่างก้าวเทพธิดาปีศาจด้วย ซึ่งอยู่เหนือกว่าจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณและระดับก้าวสู่เทวา
“อย่างไรก็ตาม การหลบหนีไม่ใช่ปัญหาสำหรับข้า ข้าต้องทะลวงผ่านระดับตัวอ่อนวิญญาณให้เร็วที่สุดถึงจะมีคุณสมบัติที่จะปะมือกับราชันกระบี่น้อย”
“เฮ้อ โลกใบนี้มีจอมยุทธที่มีระดับพลังสูงส่งมากมายยิ่งนัก ถ้าเป็นชีวิตที่แล้วของข้า ความแข็งแกร่งของข้าคงเทียบได้กับจักรพรรดิดาบ อย่างน้อยคนที่มีอายุร้อยปีก็เหนือกว่าคนรุ่นก่อนหน้านี้แล้ว”
“ตอนนี้ อัจฉริยะที่มีอายุช่วงหนึ่งร้อยปีปรากฏตัวออกมาราวกับไม่มีที่สิ้นสุด”
“แต่นั่นทำให้ข้ามีแรงจูงใจเพิ่มมากขึ้น”
“ข้าเพิ่งผสานเข้ากับสายฟ้า แต่มันยังไม่ใช่ร่างสายฟ้า ทว่าก็ไม่ได้ห่างจากขั้นตอนนั้นมากนัก หากข้าแข็งแกร่งพอ”
หลิงฮันเดินไปหาฮูหนิวและจูเสวี่ยนเอ๋อด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “ไปกันเถอะ พวกเราจะไปกันที่แคว้นพันบุปผา และไปสร้างความเพลิดเพลินกับอัจฉริะที่นั่นสักเล็กน้อย”
“ไปกันเลย!” ฮูหนิวกระโดดดีใจ พักที่นี่มาหลายวันทำให้นางรู้สึกเบื่อมาก
แต่น่าเสียดายที่เรือรบทองคำถูกทำลายไปแล้ว ทำให้ตอนนี้พวกเขาต้องเดินด้วยเท้า เพราะพวกเขาขี้เกียจไปจ้างรถม้าอีกครั้ง
เพื่อลดปัญหาที่จะเกิดขึ้น พวกเขาทั้งสามคนปลอมตัว
ตอนแรกหลิงฮันจะให้พวกเขาทั้งสามคนแต่งตัวเป็นคู่สามีภรรยาและลูกสาวตัวน้อย แต่ฮูหนิวนั้นไม่ยอม ดังนั้นพวกเขาจึงแต่งตัวกลายเป็นสามพี่น้องแทน
นอกจากนี้ หลิงฮันยังใช้เทคนิคจากสมัยบรรพกาล ทำให้กลิ่นอายของเขาอ่อนลงมากเหลือแค่ระดับห้วงจิตวิญญาณ ดังนั้นถ้าราชันกระบี่น้อยหาตัวเขาพบ อีกฝ่ายถือว่ามีความสามารถอย่างแท้จริง
พวกเขาทั้งสามคนเดินทางออกจากเมืองเก้าเมฆาและมุ่งหน้าไปที่แคว้นพันบุปผา
หลิงฮันไม่ได้รีบร้อน การเปิดสำนักสวรรค์อย่างเป็นทางการยังเป็นเพียงแค่ข่าวลือ อย่างน้อยในเมืองเก้าเมฆากำหนดการเปิดสำนักยังไม่กำหนดอย่างเป็นทางการ
เขาคิดว่าอย่างน้อยน่าจะครึ่งปี มิฉะนั้นทวีปฮงเทียนอันกว้างใหญ่ ผู้คนคงจะแห่กันมาด้วยความรีบร้อน
“หืม?” หลิงฮันรู้สึกตกใจ เขาหันกลับไปมองอย่างรวดเร็วและเห็นเพียงแค่เมฆฝุ่นที่ลอยฟุ้งอยู่ด้านหลัง และกลุ่มคนกำลังเข้ามาใกล้เขา
ในตอนแรกเขาคิดว่าเป็นราชันกระบี่น้อยที่ไล่ตามเขามาอีกครั้ง แต่เขาพบว่าคนพวกนั้นเป็นเพียงแค่จอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน
พวกเขามีทั้งหมดเจ็ดคน ความเร็วของพวกเขานั้นเร็วมากจนตามหลิงฮันทัน
หลิงฮันกวาดสายตามองคนพวกนั้น และช่วยไม่ได้ที่เขาจะเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา “ชางเย่!”
ท่ามกลางหมู่คนพวกนั้น คนผู้หนึ่งหยุดฝีเท้าทันทีและหันหลังกลับ เขาจ้องมองไปที่หลิงฮันด้วยความประหลาดใจ
เขาคือชางเย่
เป็นเวลานานแล้วที่พวกเขาไม่ได้พบเจอกัน และชางเย่ก็ได้ทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานแล้ว และกำลังเดินอยู่บนเส้นทางของตัวเอง
“ข้าคือหลิงหยุน” หลิงฮันยิ้ม
เมื่อได้ยินชื่อนั้น ชางเย่เข้าใจทันทีว่านี่คือหลิงฮัน และใบหน้าของเขาเผยให้เห็นถึงความปิติยินดี
“ชางเย่ เกิดอะไรขึ้น?” หญิงสาวเสื้อแดงถาม นางเป็นคนที่งดงามมาก เส้นผมของนางเป็นดั่งก้อนเมฆ ผิวพรรณงดงามราวกับหยกและเป็นดั่งเทพธิดา
ถึงกระนั้นชางเย่ก็ไม่ได้พูดชื่อของหลิงฮันออกมา เขายิ้มและพูดว่า “เขาเป็นสหายของข้าชื่อหลิงหยุน และเป็นคนบ้านเดียวกับข้า”
“โอ้ว!” หญิงสาวเสื้อแดงและคนอื่นต่างพยักหน้าที่แท้ก็เป็นสหายของชางเย่นี่เอง
แต่ทว่าพวกเขาพบว่าหลิงฮันเป็นแค่จอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณ แน่นอนว่าพวกเขาไม่เห็นหลิงฮันในสายตา ถ้าชางเย่ไม่หยุดพูดคุยด้วย พวกเขาคงออกเดินทางต่อไปแล้ว ตัวตนต่ำต้อยแบบนั้นไม่มีค่าที่ต้องเสวนาด้วย
“นายน้อยหลิง!” ชางเย่รู้สึกตื่นเต้นมาก
หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “เจ้าเรียกข้าว่านายน้อยหลิง หรือว่าเจ้าอยากให้ข้าเรียกเจ้าว่านายน้อยเย่ด้วย?”
ชางเย่เข้าใจว่าหลิงฮันไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน เขายิ้มออกมาและหยุดเรียกหลิงฮันว่านายน้อยหลิง
หญิงสาวเสื้อแดงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย จอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณมีคุณสมบัติอะไรที่จะมาเทียบเคียงพวกเขา และทำให้พวกเขาต้องเสียเวลา?
“ชางเย่ ไปกันได้แล้ว ข้าได้รับข่าวที่แน่นอนมาแล้วว่าสำนักสวรรค์จะเปิดอย่างเป็นทางการในอีกหกเดือนข้างหน้า พวกเราจะไปก่อนเผื่ออาจรู้เนื้อหาของการทดสอบและจะได้เตรียมตัวได้ทัน” คนผู้หนึ่งกล่าว
“โอ้ว สำนักสวรรค์จะเปิดอย่างเป็นทางการในอีกครึ่งปีงั้นหรือ?” หลิงฮันพูดแทรก และระหว่างที่รอเขาจะออกไปค้นหาตำแหน่งของหุบเขาไร้ขอบเขต
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?” ชายหน้าขาวกล่าว “เจ้าเด็กนี่ต้องการเข้าร่วมสำนักสวรรค์งั้นรึ? นี่เป็นเรื่องตลกสิ้นดีทั้งที่เป็นแค่จอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณ แต่อยากเข้าร่วมสำนักสวรรค์”
มีเพียงแค่อัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วม
“โฉวจื่อเฟย เจ้าพูดแบบนั้นหมายความว่าไง?” ชางเย่มองไปที่ชายหน้าขาว และไม่ลังเลที่จะฟันอีกฝ่ายด้วยกระบี่
“ชางเย่ ทำไมเจ้าต้องดึงกระบี่ออกมาจากฟักด้วย?” ชายหน้าขาวที่ชื่อโฉวจื่อเฟยแสดงสีหน้าตกใจ มันไม่คิดว่าชางเย่จะปกป้องจอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณอันต่ำต้อยคนนี้
“ขอโทษซะ!” ชางเย่พูดออกมาอย่างเย็นชา แววตาของเขาแหลมคมเหมือนกระบี่และปลดปล่อยจิตสังหารออกมา
ในสายตาของเขา หลิงฮันเป็นผู้มีพระคุณและเป็นคนที่เขาเคารพนับถือ แต่ทว่าโฉวจื่อเฟยกลับพูดจาดูหมิ่นหลิงฮัน จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะทำให้เขารู้สึกโกรธ
“ชางเย่ ข้าเห็นเจ้ามีความสามารถเลยเป็นสหายกับเจ้า คิดหรือว่าแท้จริงแล้วเจ้ามีความสามารถในระดับเดียวกับพวกข้า!” สีหน้าของโฉวจื่อเฟยกลายเป็นเย็นชาเช่นกัน เหล่ารุ่นเยาว์นั้นต่างมีความภาคภูมิใจของตัวเองและยากที่จะก้มหัวให้คนอื่น
“พอได้แล้ว! ทุกคนต่างเป็นสหายกันทั้งนั้นจะทะเลาะกันไปทำไม” ชายคนหนึ่งเดินออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ “หากทุกคนต้องการเดินทางไปที่สำนักสวรรค์ เช่นนั้นก็ไปด้วยกันไปเลย”
โฉวจื่อเฟยอยากจะปฏิเสธ มันจะเดินทางร่วมกับจอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณอันต่ำต้อยได้อย่างไร? แต่ทว่ามีคนกระซิบอยู่ข้างหูของมันว่า “เจ้าไม่คิดที่จะเล่นสนุกกับเจ้าเด็กนี่หรือ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มันหยุดที่จะพูดปฏิเสธทันทีและจ้องมองไปที่หลิงฮันด้วยสายตาเย็น และคิดอยู่ในใจว่าจะต้องทำให้เขาอับอายและออกจากกลุ่มไปด้วยความสมัครใจ
ชางเย่ยังไม่ยอมแพ้ แต่เมื่อเห็นหลิงฮันส่ายหัวขอให้หยุด เขาจึงเก็บกระบี่และทำให้สถานการณ์ผ่อนคลายลง