กลิ่นอายของจักรพรรดิพิรุณยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจเผด็จการ หมัดทั้งสองข้างของเขาถูกปกคลุมมิดไปด้วยเส้นแสงอักขระ รัศมีหมัดของเขาหมุนวนไปมาราวกับมังกรสีชาด
จักรพรรดิพิรุณเป็นสุดยอดอัจฉริยะแห่งยุค หลังจากสละบัลลังก์และเดินทางออกมาจากดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยว พลังบ่มเพาะของเขาก็ก้าวหน้าอย่างน่าตกตะลึง เมื่อไม่นานมานี้ ณ เหตุการณ์ในป่าอสูรทมิฬเขาเพิ่งจะบรรลุระดับบุปผาผลิบานแท้ๆ แต่ตอนนี้เขากลับก้าวหน้ากลายเป็นระดับตัวอ่อนวิญญาณแล้ว!
หลังจากบรรลุระดับตัวอ่อนวิญญาณ รูปลักษณ์ของจักรพรรดิพิรุณก็กลายเป็นอ่อนเยาว์กว่าเดิม ก่อนหน้านี้เขาดูเหมือนชายวัยกลางอายุสี่สิบปี แต่ตอนนี้เขาดูเป็นชายหนุ่มอายุสามสิบปีเท่านั้น!
หลิงฮันพยักหน้าในใจ ดูเหมือนว่าไม่นานมานี้จักรพรรดิพิรุณจะพบเจอกับวาสนามาไม่น้อย เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สามารถก้าวหน้าได้ไวขนาดนี้
จักรพรรดิพิรุณเป็นผู้ใช้รัศมีและมีพลังต่อสู้เข้าขั้นเรียกได้ว่าน่าสะพรึงกลัว ใครกันจะสามารถต่อกันกับเขาได้?
หลิงฮันจ้องมองไปยังคู่ต่อสู้ของจักรพรรดิพิรุณ อีกฝ่ายดูเป็นชายหนุ่มที่มีอายุเพียงยี่สิบปีและต่อสู้โดยปราศจากการใช้อาวุธเช่นกัน เขาปล่อยหมัดที่ปกคลุมไปด้วยแสงสว่างอันรุ่งโรจน์เข้าต่อต้านกับจักรพรรดิพิรุณ
‘ตูม! ตูม! ตูม!’
ทั้งสองต่ออยู่กันอย่างดุเดือดอยู่บนท้องฟ้า คลื่นกระแทกอันรุนแรงที่เกิดขึ้นทำให้ผู้คนมากมายต้องขยับถอยห่าง แต่ทุกคนก็ไม่ได้ขยับหนีออกไปไกลเกินไปเพราะต้องการเห็นการต่อสู้ของทั้งสองอย่างใกล้ชิด
“แสงสว่างนั่นไม่ใช่รัศมี!” หลิงฮันมองการโจมตีของชายที่กำลังต่อสู้กับจักรพรรดิพิรุณอยู่ออกอย่างชัดเจน ถึงแม้หมัดของอีกฝ่ายจะถูกปกคลุมไปด้วยแสงสว่างราวกับรัศมี แต่นั่นไม่ใช่รัศมีที่แท้จริง มันเป็นปราณหมัดที่ควบแน่นเข้าด้วยกันจนดูเหมือนรัศมี
กึ่งรัศมี!
เหมือนจะไม่ได้มีแค่ซวนหยวนจื่อกวงที่สร้างกึ่งรัศมีขึ้นมาได้ แม้จะไม่มาก แต่อัจฉริยะไร้ที่เปรียบคนอื่นๆก็สามารถทำได้เช่นกัน
ลองนับดูแล้ว จำนวนของปราณที่ถูกควบแน่นเข้าด้วยกันสมควรมีมากกว่ายี่สิบอัน เนื่องจากปราณเหล่านั้นถูกบีบอัดเข้าด้วยกันอย่างแน่นหนาทำให้ไม่สามารถรับรู้จำนวนของปราณได้อย่างชัดเจน
แต่ถึงแม้จะอัดแน่นปราณจำนวนมากขนาดไหนเข้าด้วยกัน กึ่งรัศมีก็ยังคงเป็นกึงรัศมี มันไม่อาจต่อต้านรัศมีที่แท้จริงได้!
“ชายหนุ่มผู้นั้นเป็นใครกัน?” หลิงฮันถามคนด้านข้าง
“หืม เจ้าไม่รู้จักเขางั้นรึ?” ชายที่ยืนอยู่ด้านข้างอุทานด้วยความประหลาดใจ
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ข้าควรรู้จักเขารึ?”
“เจ้าต้องเป็นคนที่เพิ่งมาถึงเป็นแน่!” ชายคนนั้นพูดอย่างมั่นใจ
“เจ้าดูออกด้วย? ช่างน่านับถือ!” หลิงฮันหัวเราะ
“ถ้าเจ้ามาถึงที่นี่เป็นเวลนานแล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะไม่รู้จักเขา” ชายคนนั้นพูดในขณะที่มองไปบนท้องฟ้า “ชายหนุ่มคนนั้นคือมู่หลงชิงแห่งภูมิภาคใต้ ในช่วงครึ่งเดือนมานี้เขาท้าสู้กับอัจฉริยะมามากมาย และจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่พ่ายแพ้เลยสักครั้ง”
“นั่นเป็นเพราะอัจฉริยะที่แท้จริงอย่างราชันกระบี่น้อย ย่าวหุยเยว่ หรือตงหลิงเอ๋อไม่อยู่ที่นี่ต่างหาก ไม่เช่นนั้นเขาจะทำอะไรตามใจชอบเช่นนี้ได้รึ? ใครบางคนพูดแทรกขึ้นมา
“แต่ถึงอย่างไรมู่หลงชิงก็ยังสุดยอดอยู่ดี ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแม้แต่น้อย” ชายคนแรกกล่าว
ใบหน้าของชายคนที่สองที่พูดแทรกขึ้นมาได้เปลี่ยนไป เขาเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมู่หลงชิงเช่นกัน แต่เขาไม่ต้องการที่จะยอมรับเรื่องนี้ต่อหน้าคนอื่น เขาเค้นเสียงและพูดอย่างเย็นชา “หากให้เวลาข้าเพียงไม่กี่ปี ข้าก็สามารถก้าวข้ามเขาได้ง่ายๆ!”
หลิงฮันจ้องมองไปยังอีกฝ่าย ชายคนนี้มีพลังบ่มเพาะระดับบุปผาผลิบาน เขาดูมีอายุสามสิบต้นๆ ซึ่งหากเทียบกันแล้วมู่หลงชิงนั้นอ่อนเยาว์กว่ามาก
ช่างหน้าไม่อายยิ่งนักที่กล้าพูดว่าจะสามารถก้าวข้ามมู่หลงชิงได้ภายในไม่กี่ปี
“ฮ่าๆๆ แต่คราวนี้มู่หลงชิงได้พบกับคนที่สามารถต่อกรกับตนเองได้แล้ว” ชายคนแรกหัวเราะ
หลิงฮันมองไปยังจักรพรรดิพิรุณและกล่าว “แล้วคู่ต่อสู้ของมู่หลงชิงคือผู้ใดกัน?”
“คนคนนั้นเป็นชายที่ไร้ชื่อเสียงโดยสิ้นเชิง หากเขาไม่ลงมือก็คงไม่มีใครรู้ได้ว่าเขามีพลังที่แข็งแกร่งขนาดนั้นและมีพลังบ่มเพาะถึงระดับตัวอ่อนวิญญาณ!” ชายคนแรกอธิบาย “ดูเหมือนว่าจะไมมีใครรู้ข้อมูลใดๆของเขาแม้แต่คนเดียว!”
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ข้ารู้จักเขา… เขาถูกเรียกว่าจักรพรรดิหมัด!”
“จักพรรรดิ… หมัด!” ผู้คนรอบข้างที่ได้ยินคำพูดของหลิงฮันต่างก็ไม่อาจปกปิดความตกตะลึงในใจของตนเองได้
ฉายาจักรพรรดิเป็นสิ่งที่สามารถนำมาใช้เรียกได้ซี้ซั้วทั่วไปงั้นรึ?
ฉายาจักรพรรดินั้นเป็นตัวแทนของจอมยุทธที่ฝึกฝนวรยุธไปได้ถึงจุดสูง หากไม่ใช้จอมยุทธระดับทลายมิติใครโลกนี้จะกล้าเรียกตนเองว่าจักรพรรดิ? ขนาดอัจฉริยะอย่างราชันกระบี่น้อยยังมีฉายาเพียง ‘ราชัน’
หลิงฮันกล่าว “เชื่อข้า ในอนาคตเขาจะเป็นเช่นนั้นได้จริงๆ!”
จอมยุทธที่อัจฉริยะที่สุดแห่งดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยวไม่ใช่ชางเย่แต่เป็นจักรพรรดิพิรุณ!
แน่นอนว่าคนรอบข้างย่อมไม่เชื่อคำพูดของหลิงฮัน ถึงแม้จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณจะแข็งแกร่ง แต่ภูมิภาคกลางนั้นก็ยังมีจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวา ระดับสวรรค์หรือระดับทลายมิติที่แข็งแร่งกว่าระดับตัวอ่อนวิญญาณอยู่อีกสามระดับ เพราะงั้นแล้วจะถูกเรียกว่าเป็นจักรพรรดิได้ง่ายๆได้อย่างไร?
มู่หลงชิงและจักรพรรดิรุณยังคงต่อสู้กันอย่างต่อเนื่อง หลังจากสู้กันยาวนานถึงหนึ่งวันหนึ่งคืนก็ยังไม่มีทีท่าว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ชนะ จนสุดท้ายทั้งสองคนก็ต้องยอมจับมือกัน
หลิงฮันเดินเข้าไปและพูดด้วยรอยยิ้ม “จักรพรรดิพิรุณ ไม่ได้พบกันเสียนาน”
“หลิงฮัน!” จักรพรรดิพิรุณมองมายังหลิงฮันและอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ “ข้าคิดว่าข้าบ่มเพาะพลังได้รวดเร็วแล้วนะ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าความเร็วในการบ่มเพาะของข้าจะถูกเจ้าบดบังเสียได้”
จักรพรรดิพิรุณเพิ่งจะทะลวงผ่านระดับตัวอ่อนวิญญาณมาได้ ในขณะที่หลิงฮันนั้นบรรลุระดับบุปผาผลิบานขั้นปลายเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้การที่หลิงฮันจะกลายเป็นระดับตัวอ่อนวิญญาณได้หลิงฮันจะต้องกำลายกำแพงคอขวดที่ยากลำบาก แต่เขาเชื่อว่าด้วยพรสวรรค์ราวกับสัตว์ประหลาดของหลิงฮัน กำแพงคอขวดนั้นคงไม่อาจรั้งหลิงฮันเอาไว้ได้นาน
หลิงฮันชื่นชมจักรพรรดิพิรุณเป็นอย่างมาก ที่เขาสามารถเมินเฉยต่อคอขวดระหว่างระดับพลังได้เป็นเพราะเขาเคยมีประสบการณ์มาก่อนแล้ว แต่จักรพรรดิรุณนั้นเป็นชายที่เกิดในดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยว เขาพึ่งพาเพียงความพยายามของตนเองในการทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานและระดับตัวอ่อนวิญญาณภายในสองปี
“มู่หลง ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก เด็กหนุ่มผู้นี้คือหลิงฮัน!” จักรพรรดิพิรุณคว้ามือของหลิงฮันและเดินไปยังมู่หลงชิง
“ระดับบุปผาผลิบาน?” มู่หลงชิงประหลาดใจ เขาไม่คิดเลยว่าจักรพรรดิพิรุณจะชื่นชมรุ่นเยาว์ระดับบุปผาผลิบาน
“ระดับบุปผาผลิบานแล้วมีปัญหาอะไร? หากไม่พอใจ นายท่านกระต่ายผู้นี้จะถีบตูดของเจ้าซะ!” ใครจะไปคิดว่าเจ้ากระต่ายจะเลือดร้อนขนาดนี้ ‘ปัง!’ มันใช้เท้าของตนเองกระแทกไปยังก้นของมู่หลงชิงจนร่างของมู่หลงชิงล้มลงไปคลุกกับฝุ่นที่พื้น