ทุกคนนิ่งเงียบไปชั่วขณะ พลังป้องกันของโครงกระดูกแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่พลังทำลายของทั้งหลิงฮันและฮูหนิวนั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไป
กลิ่นอายของหลิงฮันเปลี่ยนไปราวกับเขากลายเป็นดาบและโจมตีใส่โครงกระดูก
‘ตูม’ รัศมีดาบทรงพลังเป็นอย่างมาก แถมภายในรัศมีดาบของเขายังส่องสว่างไปด้วยประกายสายฟ้าอีกด้วย รัศมีดาบของหลิงฮันได้รับการเสริมแกร่งด้วยอำนาจสายฟ้าอย่างมหาศาลเพราะเขาฝึกฝนทักษะศักดิ์สิทธิ์อัสนีบาตเก้าทิวา แถมหลิงฮันยังฝึกฝนกายาอัสนีจนบรรลุระดับเริ่มต้นแล้วด้วย จึงไม่แปลกที่พลังต่อสู้ของเขาจะน่าสะพรึงกลัว
ร่างของโครงกระดูกสั่นสะท้านด้วยอำนาจแห่งแห่งสายฟ้า และเมื่อถูกโจมดีด้วยรัศมีดาบ ร่องรอยเสียหายก็ปรากฏขึ้นบนร่างอันแข็งแกร่งของโครงกระดูก
ตามปกติแล้วโครงกระดูกเหล่านี้จะไม่สามารถได้รับความเสียหายจากจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ แต่ใครใช้ให้พลังต่อสู้ของหลิงฮันเหนือกว่าระดับตัวอ่อนวิญญาณกัน ด้วยการผสานกันของรัศมีดาบและอัสนีบาตเก้าทิวา พลังต่อสู้ที่เขาใช้ในตอนนี้นั้นสมควรเป็นระดับก้าวสู่เทวาหนึ่งดาวเป็นอย่างน้อย
เมื่อถูกโจมตีสิบครั้งติดต่อกัน โครงกระดูกถูกหลิงฮันทำลายกลายเป็นเศษฝุ่นกลับคืนสู่ผืนปฐพี
หลิงฮันรู้สึกไม่สบอารมรณ์เล็กน้อย เพราะว่าการที่สำนักสวรรค์ใช้ซากกระดูกของคนตายมาใช้ประโยชน์เช่นนี้ซึ่งโครงกระดูกเหล่านี้ก็คงเป็นอดีตจอมยุทธมากมายที่ตกตายในมหาภัยพิบัติจากยุคโบราณ หากพูดด้วยจิตสำนึกแล้ว พวกเขาจะต่างอะไรกับนิกายพันศพ?
หากลองคิดแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย
นิกายพันศพคือการเปลี่ยนคนให้กายเป็นซากศพ ส่วนห้านิกายโบราณคือการหลอมผู้คนให้กลายเป็นเม็ดยา การกระทำของพวกเขาจะทำให้ทุกอย่างสูญสิ้นไปเหมือนกัน
หลิงฮันหยิบหินแปลกประหลาดขึ้นมา มันเป็นหินที่ไม่สามารถเก็บเข้าไปในหอคอยทมิฬหรืออุปกรณ์มิติได้ราวกับว่ามันมีจิตสำนึกเป็นของตนเอง ในขณะที่หลิงฮันใช้จิตนึกคิดอัญเชิญจิตวิญญาณศิลาออกมาและโยนหินไปให้มัน
จิตวิญญาณศิลาสูดดมหินเล็กน้อยและทันใดนั้นมันก็เปิดปากกว้างกินหินประหลาดเข้าไปทันที มันเคี้ยวหินอยู่ในปากดังกรุบๆ จนทำให้ทุกคนที่ได้ยินรู้สึกเสียวฟัน
“หลิงฮัน เจ้าทำลายหินทำไม?” ฉินหยีเย่วอุทานออกมา
“นั่นสิ หินนั่นนะช่วยให้เจ้ากลายเป็นศิษย์หลักของสำนักสวรรค์ได้นะ” หลี่ซือเชียนกล่าว
หลิงฮันยิ้มและพูด “ไม่มีอะไรต้องห่วง หินเหล่านี้ยังมีอีกมาก แค่ใช้เวลานิดๆหน่อยๆ” จิตวิญญาณศิลาสามารถเพิ่มพลังของตนเองได้การการกินหิน ในเมื่อมันชอบหินแปลกประหลาดที่ให้ไป ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าหินแปลกประหลาดนี้มีประโยชน์ต่อมัน
หลังจากจิตวิญญาณศิลากินเสร็จ มันก็เอนร่างของตนเองลงไปที่เท้าของหลิงฮันราวกับลูกสุนัขและหันมองหลิงฮัน
จิตวิญญาณศิลาจ้องมองหลิงฮันด้วยปากที่เปิดออกกว้าง ถ้าหากมันเป็นมนุษย์ ตอนนี้ก็คงเดาได้ไม่ยากว่าน้ำลายของมันคงจะไหลท่วมออกมาแล้ว
หลิงฮันรู้ว่าจิตวิญญาณศิลายังคงคิดถึงก้อนอิฐอยู่ แต่ก้อนอิฐได้หายไปพร้อมกับเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนแล้วซึ่งเขาไม่สามารถตามหามันได้ เขาไม่รู้ว่าเด็กสาวมหาสมุทรน้อยโกรธอะไรกันแน่ จู่ๆถึงได้หายตัวไปโดยไม่พูดอะไรซักคำ
“เอาล่ะ ก้อนนี้ก็ให้เจ้าเหมือนกัน!” หลิงฮันโยนหินประหลาดที่เหลืออยู่ให้กับจิตวิญญาณศิลา
จิตวิญญาณศิลาคว้าหินประหลาดมาแทะเล็ม ถึงแม้หินนี้จะเทียบกับก้อนอิฐไม่ได้ แต่ยังไงอาหารก็ยังเป็นอาหาร มันไม่อาจปล่อยให้เสียเปล่าโดยไม่กินได้
หลิงฮันคิดในใจ ถ้าหอคอยทมิฬชั้นแรกมีพลังต้นกำเนิดแห่งปฐพี งั้นเขาจะสามารถสร้างหินที่ทรงพลังขึ้นมาเพื่อเสริมแกร่งให้กับจิตวิญญาณศิลาได้รึเปล่า? เขารีบถามคำถามนี้กับหอคอยน้อยทันที
“ทำได้” หอคอยน้อยตอบอย่างเรียบง่าย
หลิงฮันรู้สึกราวกับกำลังจะบ้าคลั่งและถามอีกครั้ง “ทำไมเจ้าไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้?”
“ก็เจ้าไม่ได้ถาม” หอคอยน้อยตอบอย่างไม่แยแส
หลิงฮันพูดกลับไป “งั้นก็สร้างขึ้นมาให้ข้าซักร้อยชิ้น”
ถ้าหอคอยน้อยมีดวงตา มันคงจะขึงตาใส่หลิงฮันแล้ว “หอคอยทมิฬกำลังอยู่ในช่วงซ่อมแซม แล้วข้าจะมีพลังต้นกำเนิดให้เจ้าเผาผลาญเล่นมากขนาดนั้นได้อย่างไร? หนึ่งเดือนสามารถสร้างได้หนึ่งก้อนเท่านั้น”
เอาเถอะ หนึ่งเดือนก็ยังดีกว่าสร้างไม่ได้เลย
“แล้วมันจะมีผลลัพธ์เช่นไร?” หลิงฮันถามอีกครั้ง
“หากกินเข้าไปสามก้อน อสูรศิลาจะทะลวงผ่านระดับตัวอ่อนวิญญาณได้ ถ้าหากหกก้อนอสูรศิลาจะทะลวงผ่านระดับก้าวสู่เทวา” หอคอยน้อยตอบอย่างไม่แยแส
น่าทึ่งขนาดนั้นเชียว?
หลิงฮันอดนึกน้อยใจไม่ได้ แค่การกินก้อนหินไม่กี่ก้อนก็ทำให้พลังบ่มเพาะของจิตวิญญาณศิลาทะยานขึ้นสูงแล้ว
ในเมื่อการทะลวงผ่านระดับของจิตวิญญาณศิลาทำได้ง่ายขนาดนี้ หลิงฮันจึงไม่คิดจะมอบหินประหลาดให้มันอีกต่อไปและกล่าวขึ้นมา “ในเมื่อเจ้าอิ่มแล้ว เจ้าก็ต้องขยันทำงานหน่อย”
“โฮกก!” จิตวิญญาณศิลาทุบอกตัวเองราวกับเป็นกอลิล่า
ทุกคนตกตะลึงอีกครั้ง หุ่นเชิดตนนี้ดูเหมือนกับมนุษย์มากจริงๆ
เมื่อเดินหน้าต่อไป ในไม่ช้าพวกเขาก็พบเห็นโครงกระดูกที่ถูกฝังเอาไว้ใต้ดิน จำนวนของพวกมันมีเยอะมาก หลังจากปีนขึ้นมาจากฝืนดินได้สำเร็จ พวกมันก็เข้าโจมตีหลิงฮันทันที
แต่โครงกระดูกเหล่านี้แข็งแกร่งเกินไป หากเป็นจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณก็อาจจะพอต้านทานพวกมันได้ แต่สำหรับจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานแล้ว แค่กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวที่โครงกระดูกปลดปล่อยออกมาก็ทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าไปใกล้พวกมันแล้ว
จิตวิญญาณศิลาเป็นฝ่ายสู้ตอบโต้กับโครงกระดูกที่พุ่งเข้ามา ‘ตูม’ แต่เมื่อดูกหมัดของโครงกระดูกโจมตี ร่างของจิตวิญญาณศิลาก็แตกกระจายกลายเป็นก้อนกรวด โชคดีที่แก่นกลางของมันไม่ถูกทำลายและฟื้นสภาพกลับมาอย่างรวดเร็ว
“เฮ้อ พึ่งพาไม่ได้จริงๆ!” หลิงฮันเริ่มลงมือเอง ฮูหนิวเองก็คำรามด้วยความตื่นเต้นและเข้าร่วมสู้กับหลิงฮัน
เมื่อสัตว์ประหลาดสองตัวร่วมมือกัน เหล่าโครงกระดูกก็ทำได้เพียงสาปแช่งยอมรับชะตากรรม เพียงแค่ไม่กี่กระบวนท่าโครงกระดูกก็ทำลายพร้อมกับหินที่ร่วงหล่นลงมา
หินเหล่านี้ไม่สามารถนำเข้าไปในหอคอยทมิฬและต้องคอยเก็บมันเอาไว้ข้างกาย หลิงฮันรู้สึกไม่พอใจในเรื่องนี้มาก เพราะการถือหินไปมามันจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของเขา โชคดีที่หินมีขนาดแค่เท่ากำมือซึ่งไม่ใหญ่มาก ไม่เช่นนั้นเขาคงจะคลั่งตายไปแล้ว
ในช่วงเวลากลางวัน เขาก็พกหินติดตัวมากกว่ายี่สิบก้อน ถึงแม้หินแต่ละก้อนจะส่องแสงสว่างออกมาไม่มาก แต่เมื่อหลายๆก้อนมารวมกันแสงก็ที่ขึ้นก็ทำให้ร่างของหลิงฮันราวกับกลายเป็นต้นกำเนิดแห่งแสง
ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทำให้หลิงฮันกลายเป็นเป้าหมายเคลื่อนที่ เวลาผ่านไปซักพักก็มีคนเริ่มเข้ามาจู่โจมเขาเพื่อขโมยหิน แต่แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วพวกมันก็เป็นฝ่ายถูกหลิงฮันช่วงชิงมาเอง สิ่งที่หลิงฮันชิงมานั้นไม่ใช่แค่หินประหลาดแต่รวมไปถึงแหวนมิติของพวกมันด้วย
ผ่านไปอีกวันพวกเขาก็หยุดพักและนำวัตถุดิบออกมาทำอาหาร
“ทิ้งหินประหลาดเอาไว้แล้วพวกเจ้าถึงจะสามารถไสหัวไปได้” ชายสวมชุดสีครามปรากฏตัวขึ้นด้วยสีหน้าหยิ่งยโสและเค้นเสียงพูดใส่กลุ่มพวกเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา