เป็นเจ้าตัวใหญ่อย่างว่าจริงๆ!
ทุกคนตกตะลึง มันคืออสูรขนาดมหึมาที่มีความสูงร้อยฟุต ร่างของมันเกิดจากการรวมกันของซากศพและโครงกระดูกอย่างน้อยหนึ่งพันร่าง ซึ่งทำให้ผู้คนที่มองไปที่มันต้องรู้สึกหวาดกลัว
ศพทุกศพตามร่างของมันยังคงมีชีวิตอยู่ พวกมันยื่นแขนที่เหลือแต่กระดูกออกมาพร้อมกับอ้าปากกว้างราวกับกำลังกรีดร้อง
พื้นปฐพีแยกออกและอสูรซากศพยักษ์ก็กระโดดออกมา ทั่วร่างของมันปลดปล่อยกลิ่นอายราวกับอสูรมารออกมา
หลิงฮันไม่สามารถมองเห็นระดับพลังของสัตว์ประหลาดตนนี้ได้เพราะมันไม่ใช่จอมยุทธทั่วไป มันเกิดจากการรวมกันของซากศพนับหมื่นจนเกิดเป็นสิ่งมีชีวิต
สิ่งที่เขาสัมผัสได้มีเพียงแค่ว่าสัตว์ประหลาดตนนี้แข็งแกร่งเกินกว่าจะรับมือได้!
“นี่… นี่มันคงไม่ใช่การทดสอบที่สำนักมอบให้เราใช่ไหม?” หลี่เฟิงหยู่กลืนน้ำลายและดวงตาเปิดกว้าง
“ข้าเกรงว่าสำนักสวรรค์คงไม่มีทางปล่อยอสูรเช่นนี้ออกมาแน่” หลิงฮันส่ายหัว เป้าหมายของนิกายโบราณทั้งห้าคือการหลอมจอมยุทธทั่วทวีปให้กลายเป็นเม็ดยา แล้วพวกเขาจะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?
นี่คงเป็นฝีมือของนิกายพันศพ
เดี๋ยวก่อน… แต่ทำไมถึงได้เต็มไปด้วยซากศพมากมายเช่นนั้น? แถมซากศพแต่ละศพยังเป็นไปได้ด้วยว่าจะเป็นอดีตจอมยุทธระดับสวรรค์ที่ตกตายไปเพราะสงครามเมื่ออดีตกาล หรือว่าสถานที่แห่งนี้จะเคยเป็นสนามรบระหว่างเหล่าจอมยุทธแห่งทวีปฮงเทียบกับห้านิกายโบราณ?
ไม่เช่นนั้นแล้วที่นี่จะมีซากศพที่แข็งแกร่งอยู่มากมายเช่นนี้ได้อย่างไร?
“รีบหนี!” หลิงฮันไม่พูดพล่าม เขาคว้าร่างของจูเสวียนเอ๋อกับฮูหนิวและรีบวิ่งทันที
หลังจากฉินหยีเย่ว หลี่เฟิงหยู่และหลี่ซือเชียนรู้สึกตัว พวกเขาก็รีบวิ่งตามมาทันที แม้แต่คนที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างหลิงฮันยังเผ่นหนี แล้วพวกเขาจะอยู่ไปทำไม
แต่กลับมีใครบางคนไม่รู้จักความหวาดกลัว พวกเขาคิดว่านี่คือหนึ่งในบททดสอบของสำนักสวรรค์และรีบวิ่งมาเพื่อสังหารอสูร
อสูรซากศพยักษ์กวาดมืออย่างรุนแรงจนเกิดพายุอันทรงพลังขึ้น ทั่วผืนดินสั่นไหวราวกับพรมและผู้คนที่วิ่งเข้ามาก็ถูกพัดจนร่างถูกฉีกกระชากกลายเป็นเศษเนื้อ
‘ฟุบ ฟุบ ฟุบ’ พวกหลิงฮันถูกคลื่นลมจากพายุพัดลอยกระเด็นไปหลายไมล์ พวกเขาแต่ละคนกระอักโลหิตออกมา
โชคดีที่หลิงฮันรู้ตัวทันและรีบบอกให้พวกเขาเผ่นหนี ไม่เช่นนั้นถ้าหากพวกเขาอยู่ใกล้อสูรนั่นมากกว่านี้พวกเขาคงกลายเป็นส่วนหนึ่งกับเศษฝุ่นไปแล้ว ไม่เพียงแค่พวกเขาที่ตกตะลึง แต่จอมยุทธมากมายโดยรอบก็ตะลึงไม่แพ้กัน นอกจากจอมยุทธที่เพิ่งมาถึงแล้ว ทุกคนล้วนแต่ได้รับบาดเจ็บหนัก
แม้ว่าจอมยุทธทุกคนในที่นี้จะเป็นอัจฉริยะ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอสูรซากศพขนาดมหึมาตนนี้ พวกเขากลับไม่สามารถตอบโต้ได้แม้แต่น้อย ทำให้เห็นความห่างของพลังอย่างชัดเจน
เพียงแค่การกวาดมือหนึ่งครั้ง จอมยุทธที่ผ่านการทดสอบแรกอย่างน้อยหนึ่งในสิบก็ถูกสังหารแล้ว
หลังจากพายุหายไป อสูรซากศพยักษ์ก็ราวกับตื่นขึ้นจากการหลับใหล ประกายแสงสีแดงฉานปรากฏขึ้นในดวงตาทั้งสองของมันและมองผ่านสิ่งมีชีวิตบนพื้นดิน มุมปากของมันขยับขึ้นกลายเป็นรอยยิ้มอันน่าสยดสยอง
อสูรประหลาดตนนี้… มันมีความนึกคิดเป็นของตนเอง?
จิตใจของทุกคนรู้สึกหนาวเหน็บ จะทำอย่างไรดี เห็นได้ชัดว่าอสูรซากศพตนนี้เพ่งเล็งพวกเขาอยู่และคิดจะกลืนกินเลือดเนื้อของพวกเขา
แต่ต่อหน้าอสูรที่ทรงพลังเช่นนี้ พวกเขาจะหลบหนีได้รึ?
หลิงฮันลังเลว่ามันถึงเวลาเข้าไปในหอคอยทมิฬแล้วรึไม่ อสูรซากศพตนนี้อาจจะจะมีพลังต่อสู้ระดับทลายมิติ ซึ่งเป็นไปได้ว่าแม้แต่ตัวตนระดับทลายมิติทั่วไปก็ไม่อาจหยุดยั้งมันได้
“เหอะ กล้ามากนะที่ปรากฏตัวขึ้นที่นี่?” ทันใดนั้นเอง เขาก็เห็นร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้า ร่างนั้นเป็นสตรีถือดาบยาว นางเป็นสาวงามที่ดูมีอายุประมาณสามสิบปีเท่านั้น
ดวงตาของหลิงฮันไม่สามารถมองเห็นพลังบ่มเพาะของสตรีผู้นี้ได้
“จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์!” ฉินหยีเย่วและหลี่เฟิงหยู่อุทานออกมาพร้อมกัน ใบหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยความเลื่อมใส
จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์คือผู้นำนิกายนิกายนกอมตะเมฆาคนปัจจุบัน และเป็นจอมยุทธระดับทลายมิติ!
จากที่ได้ยินมาจากเฟิงโปหยุน อีกฝ่ายไม่ใช่จอมยุทธระดับทลายมิติทั่วไป แต่เป็นถึงทลายมิติขั้นเก้าระดับสูงสุด นางเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดของโลก!
การที่สามารถเป็นผู้นำของนิกายนิกายนกอมตะเมฆาได้ จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์จะเป็นเพียงจอมยุทธทั่วไปได้อย่างไร? ไม่มีใครรู้ว่านางอายุกี่ร้อยปีแล้ว เพราะรูปลักษณ์ของนางยังดูเหมือนกับหญิงสาวอายุสามสิบปี ผิวของนางเนียนสวยราวกับหยกชั้นดี
อสูรซากศพยักษ์ตนนี้ราวกับมีความบาดหมางกับจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์ มันกรีดร้องโหยหวนใส่ท้องฟ้าพร้อมกับเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นบนใบหน้าของมัน ใบหน้าของมันมีดวงตาค่อยๆปรากฏขึ้นมาดีละดวงจนครบเก้าดวง
ตาแต่ละดวงมีสีแดงที่เข้มต่างกัน มันเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความอำมหิตและบ้าคลั่ง
“ราชันซากศพเก้าตา!” ในทีสุดหลิงฮันก็นึกออกว่าอสูรตนนี้เป็นสิ่งที่เคยปรากฏอยู่ในตำนาน
“ราชันซากศพเก้าตา?” ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน คนเราก็ยังมีความรู้สึกอยากรู้อยากเห็น
หลิงฮันมองไปยังกลุ่มคนด้านหลังและพูด “หากอ้างอิงจากระดับพลังทหารซากศพของนิกายพันศพ จะแบ่งออกได้เป็นสามระดับใหญ่คือ ทหารซากศพทองแดง ทหารซากศพเกราะเงิน ทหารซากศพเกราะทอง แต่ละระดับใหญ่มีสามระดับย่อย รวมแล้วได้เก้าชั้นซึ่งเทียบได้กับระดับของจอมยุทธตั้งแต่ระดับหลอมกายาไปจนถึงระดับสวรรค์”
“และหากทหารซากศพมีพลังบ่มเพาะทลายมิติ… มันจะถูกเรียกว่าราชันซากศพ!”
“พลังของราชันซากศพจะอิงตามดวงตาที่เปิดออก หนึ่งดวงจะเทียบได้กับระดับทลายมิติขั้นหนึ่ง”
ทุกคนตกตะลึงและอุทานออกมา “งั้นก็ไม่ใช่ว่าราชันซากศพตนนี้มีพลังเทียบได้กับระดับทลายมิติขั้นเก้าหรอกรึ?”
หลิงฮันพยักหน้า แต่ความกังวลบนใบหน้าของเขาก็ลดลง เพราะว่าจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์นั้นมีพลังบ่มเพาะระดับทลายมิติขั้นสมบูรณ์ ไม่รู้ว่านางเป็นอัจฉริยะหรือไม่ แต่ตราบใดที่มีพลังต่อสู้เท่ากับระดับพลังบ่มเพาะ นางต้องไม่อ่อนด้อยไปกว่าราชันซากศพเก้าดาวแน่นอน
“ราชันซากศพเก้าดาว?” จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์เค้นเสียงดูถูกและยกดาบขึ้นเกิดเป็นประกายแสงอักขระนับไม่ถ้วน
“ดาบนกอมตะสวรรค์!” หลิงฮันอุทานออกมา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน
ดาบเล่มนี้เคยถูกใช้โดยสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ แต่ก่อนมันเป็นเพียงอาวุธวิญญาณระดับเก้าเท่านั้น แต่ตอนนี้มันกลายเป็นระดับสิบแล้ว เป็นไปได้ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์จะบรรลุระดับทลายมิติได้สำเร็จและพัฒนาดาบเล่มนี้จนกลายเป็นอาวุธวิญญาณระดับสิบ
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เมื่อเห็นดาบเล่มนั้นแล้วหลิงฮันจะรู้สึกเหมือนตกอยู่ในภวังค์
“นายท่าน อย่าบอกนะว่าท่านตกหลุมรักจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์?” หลี่เฟิงหยู่เปิดปากพูดอีกครั้ง