“ตูม!”
หลิงฮันและมนุษย์หินยักษ์เข้าปะทะกันกลางอากาศ แรงปะทะที่เกิดขึ้นทำให้ร่างของหลิงฮันสั่นไหว
แม้พลังต่อสู้ของเขาสามารถต่อกรกับจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาขั้นปลายได้ แต่มนุษย์หินยักษ์ที่เป็นอสูรที่เกิดจากจิตวิญญาณศิลาแห่งสวรรค์และปฐพีนั้นต่างออกไป มันคืออสูรระดับราชาที่มีพลังทำลายและพลังต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัว
แต่ถ้าหากหลิงฮันกล้าที่จะปะทะกับมนุษย์หินยักษ์ แน่นอนว่าเขาต้องมีความมั่นใจว่าจะชนะ
กายหยาบของเขาแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก มันเทียบได้กับแร่เหล็กระดับแปด แม้ร่างของเขาจะสั่นไหวแต่ก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไร
มนุษย์หินยักษ์คำราม ในสายตาของมัน หลิงฮันเป็นเพียงมนุษย์ตัวเล็กๆแท้ๆ แต่ทำไมถึงได้สามารถต่อต้านมันได้? เขาสมควรจะถูกสังหารไปทั้งแต่การโจมตีแรกแล้วแท้ๆ
“ฮ่าๆๆ เข้ามาเลย อย่าคิดว่าเจ้าตัวใหญ่แล้วข้าจะทำอะไรไม่ได้!” หลิงฮันและมนุษย์หินยักษ์เข้าปะทะกันอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของมนุษย์หินยักษ์เองก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แม้แต่จอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาที่แท้จริงก็ยังไม่กล้าสู้กับมัน
ต้องรู้ก่อนว่าอสูรจิตวิญญาณศิลานั้นเป็นที่รู้จักกันว่ามีร่างกายและพลังป้องกันที่น่าสะพรึงกลัว ร่างกายของมันสามารถเทียบได้กับแร่เหล็กในระดับเดียวกัน
เหวินเหรินเชียนเชียนจ้องมองอย่างตกตะลึง นางรู้ว่าหลิงฮันมีพรสวรรค์ที่ราวกับสัตว์ประหลาดและมีพลังที่แข็งแกร่งถึงขนาดปะทะกับเจียหมิงได้อย่างสูสี แต่นางไม่เคยคาดคิดเลยว่าเขาจะสามารถต่อกรกับจิตวิญญาณศิลาที่เกิดจากสวรรค์และปฐพีได้
นางมองอัจฉริยะรุ่นเยาว์ผู้นี้ต่ำเกินไป
อสูรศิลาตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เจ้านายของมันช่างแข็งแกร่ง! มันแทบจะทนรอที่จะเขมือบและผสานแก่นแท้ศิลาของมนุษย์หินยักษ์ไม่ไหวแล้ว หากมันได้ทำเช่นนั้น ระดับพลังของมันจะเพิ่มขึ้นไปเป็นตัวอ่อนวิญญาณขั้นปลายแน่นอน
มนุษย์หินยักษ์เกรี้ยวกราดและคำรามใส่หลิงฮันอย่างบ้าคลั่ง
‘ฉัวะ’ คลื่นเสียงที่รุนแรงและแหลมคมทำให้เสื้อผ้าของหลิงฮันฉีกขาด คลื่นเสียงที่รุนแรงทำให้เขารู้สึกเหมือนกับติดอยู่ท่ามกลางบ่อโคลนที่ยากจะก้าวเดิน
“ให้ตายเถอะ เจ้าคิดจะทำให้ข้าโป้เปลือยรึไง?” หลิงฮันเค้นเสียงพูด กายหยาบของเขาสามารถป้องกันได้แค่ร่างกาย มันไม่ได้ช่วยป้องกันเสื้อผ้าที่สวมใส่
เขารีบโคจรปราณก่อเกิดเพื่อสร้างโล่ป้องกันนอกร่างกาย เขานำดาบกำเนิดมารออกมากวัดแกว่งและพุ่งเข้าใส่อีกฝ่าย
มนุษย์หินยักษ์เองก็ลงมือเช่นกัน มันปล่อยฝ่ามือไปด้านหน้าและปล่อยหนามศิลาออกมา ปลายของหนามศิลานั้นเป็นเกลียวแหลมคมที่สามารถคุกคามกายหยาบที่ทนทานของหลิงฮันได้
ยิ่งการต่อสู้บานปลาย ทั้งสองฝ่ายก็ยิ่งใช้พลังต่อสู้ของตนเองเพิ่มขึ้นและเข้าปะทะกันอีกครั้ง
แต่ทว่า ดาบกำเนิดมารนั้นเป็นอาวุธวิญญาณระดับสิบ ด้วยการกวัดแกว่งใบดาบอย่างต่อเนื่อง หนามศิลาของมนุษย์หินยักษ์ก็ร่วงหล่นและกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ
อสูรศิลาน้อยนั่งยองๆราวกับเป็นสุนัข มันวิ่งไล่เขมือบหนามศิลาที่ร่วงลงมาอย่างมีความสุข เพราะหนามศิลาแต่ละอันนั้นมีแก่นแท้ของมนุษย์หินยักษ์เป็นส่วนประกอบ
มนุษย์หินยักษ์กลายเป็นเกรี้ยวกราดและไม่ยอมแพ้ เพราะอย่างไรพลังบ่มเพาะของหลิงฮันก็ยังไม่สูงถึงขั้นที่จะทำให้มันต้องหวาดกลัว
มันคำรามออกมาอีกครั้ง ทันใดนั้นร่างกายของมันก็ขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว จากแต่เดิมมันมีความสูงสิบฟุต แต่ตอนนี้ได้กลายเป็นหนึ่งร้อยฟุตแล้ว แถมดูเหมือนจะยังขยายได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย
ในขณะเดียวกัน พื้นดินทั่วบริเวณเริ่มสั่นสะเทือนและหดตัวลง ก้อนหินนับไม่ถ้วนได้ลอยขึ้นฟ้าไปผสานรวมกับร่างของมนุษย์หินยักษ์
หลิงฮันตกตะลึงและพูดออกมา “มันสามารถชี้นำพลังของปฐพีมาผสานรวมเข้ากับร่างของตัวเองเพื่อเพิ่มอำนาจของร่างกายมันได้! เฮ้อ ทำไมอสูรศิลาของข้าถึงไม่มีความสามารถเช่นนั้นบ้าง?”
อสูรศิลาน้อยมองอย่างเศร้าโศกไปทางหลิงฮัน มันก็อยากจะมีความสามารถที่สุดยอดเช่นนั้นเช่นกัน เพียงแต่ว่าระดับพลังของมันยังสูงพอที่จะทำเช่นนั้นได้!
ทุกคนรีบบินถอยห่างออกมา ดูเหมือนว่าบริเวณพื้นดินจะเป็นบริเวณที่อันตรายเสียแล้ว
‘ตูม’ มนุษย์หินยักษ์โจมตีใส่หลิงฮันอีกครั้ง ตอนนี้หมัดของมันมีขนาดใหญ่เทียบเท่าภูเขาลูกย่อมๆ หากโดนเข้าไปไม่ต้องกล่าวถึงจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาเลย แม้แต่จอมยุทธระดับสวรรค์ก็ต้องกระอักเลือดออกมา
‘ฟุบ’ หลิงฮันเปลี่ยนร่างเป็นสายฟ้าเพื่อหลีกเลี่ยงหมัดของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันเขาก็กวัดแกว่งดาบเพื่อปลดปล่อยรัศมีดาบโจมตีใส่มนุษย์หินยักษ์ไปพร้อมๆกัน ‘ปัง’ รัศมีดาบทะลวงผ่านร่างของมันและทิ้งรอยดาบเอาไว้ เพียงแต่ว่าตอนนี้ร่างของมนุษย์หินยักษ์นั้นใหญ่เกินไป แค่รอยดาบไม่อาจทำให้มันบาดเจ็บได้
ในตอนนั้นเอง มันได้ชี้นำหินจากพื้นหินขึ้นมาผสานรวมกับร่างเพื่อซ่อมแซมส่วนที่ถูดตัด แทบจะในทันทีร่างของมันก็กลับสู่สภาพปกติ
ร่างกายขนาดใหญ่ของมันก็เปรียบเมือนเกราะที่สามารถซ่อมแสนตัวเองได้ตราบใดที่ยังมีพื้นดินอยู่
“เจ้าเล่นขี้โกงแบบนี้ได้อย่างไร?” หลี่เฟิงหยู่พึมพำ ตอนนี้มนุษย์หินยักษ์เรียกได้ว่าเป็นอมตะอย่างสมบูรณ์
หลิงฮันครุ่นคิดไปพร้อมๆกับหลบการโจมตี
การจะสร้างความเสียให้กับมนุษย์หินยักษ์นั้นไม่ใช่เรื่องยาก แค่ต้องไม่ให้เท้าของมันแตะกันพื้นดินเท่านั้น ถ้าสู้กันบนฟ้าล่ะก็ อีกฝ่ายจะไม่สามารถชี้นำลังของปฐพีได้
แต่ปัญหาก็คือจะทำอย่างไร?
จิตวิญญาณที่เกิดจากสวรรค์และปฐพีนั้นไม่ใช่ว่าจะโง่
วิธีอื่นก็คือต้องใช้ศรฆ่ามังกรทะลวงดาราหรือไม่ก็หมื่นแปรผันเป็นหนึ่งโจมตีไปยังแก่นจิตวิญญาณของมัน ตราบใดที่เป็นสิ่งมีชีวิต แน่นอนว่ามันต้องมีจิตวิญญาณ
แต่ตอนนี้มนุษย์ก็ตัวใหญ่เสียขนาดนี้ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าจิตวิญญาณของมันอยู่บริเวณไหน?
หลิงฮันโคจรเนตรแห่งสัจธรรมและมองไปยังมนุษย์หินยักษ์ ภายในพริบตาร่างกายของมนุษย์หินยักษ์ก็ปรากฏในแววตาของเขาในรูปแบบของพลังงาน
ทั่วร่างของมันเนสีดำสนิท มีเพียงแค่บริเวณเอวด้านซ้ายเท่านั้นที่มีจุดเล็กๆที่ส่องประกายราวกับดวงอาทิตย์ขนาดย่อม
หลิงฮันนำคันศรตะวันยอแสงออกมาพร้อมกับลูกศรที่สร้างขึ้นจากแร่เหล็กระดับแปด เขาโคจรทักษะศรฆ่ามังกรทะลวงดาราและอัสนีบาตเก้าทิวาเข้าไปในลูกศรและยิงออกไปในขณะที่ใช้เนตรแห่งสัจธรรมเล็งเป้าหมาย
‘เปรี้ยง’ ลูกศรที่พันไปด้วยเส้นสายฟ้าพุ่งออกไปด้วยความเร็วที่มองไม่เห็น
‘ปัง’ ลูกศรปะทะเข้ากับเอวของมนุษย์หินยักษ์และทะลุร่างของมันไป
มนุษย์หินยักษ์จ้องมองไปยังหลิงฮัน ทันใดนั้นหินตามร่างของมันก็ค่อยๆร่วงลงมา ภายในพริบตามนุษย์หินยักษ์ก็กลายเป็นกองก้อนกรวด ท่ามกลางกองก้อนกรวดมีหินหยกที่ขนาดเท่าหัวคนส่องประกายอยู่
แก่นแท้ศิลา!
“ตุบ ตุบ ตุบ!” ศิลาน้อยรีบวิ่งสี่ขาราวกับสุนัขไปยังกองก้อนกรวด มันอ้าปากงับแก่นแท้ศิลาเอาไว้และรีบวิ่งกลับมาเอาหัวถูไถขาหลิงฮันด้วยท่าทางมีความสุข
หลิงฮันอดคิดไม่ได้ว่าทำไมอสูรศิลาของเขาถึงได้กลายเป็นเหมือนกับสุนัขขนาดนี้?