แต่ถึงอย่างนั้นอสูรศิลาน้อยก็เริ่มเชื่อฟังหลิงฮันมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เช่นนั้นมันก็คงคาบแก่นแท้ศิลาวิ่งหนีไปและไม่มาทำท่าทางออดอ้อนเขาเช่นนี้
“น้องชายหลิง หุ่นเชิดของเขาดูไม่เหมือนกับหุ่นเชิดเลยแม้แต่น้อย” เหวินเหรินเชียนเชียนกล่าว
อสูรศิลามีท่าทางไม่พอใจทันทีและคำรามใส่เหวินเหรินเชียนเชียน มันคือใคร? มันคือจิตวิญญาณที่เป็นลูกรักของสวรรค์และปฐพี เป็นสิ่งมีชีวิตแห่งธาตุทั้งห้าของโลกเชียวนะ
หลิงฮันหัวเราะและนำอสูรศิลาเข้าไปในหอคอยทมิฬเพื่อให้มันผสานแก่นแท้ศิลาและพัฒนาระดับพลังให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ที่จริงถ้าหากเขาดูดซับแก่นแท้จิตวิญญาณศิลาด้วยตนเอง ผลลัพธ์ที่ได้ก็คงจะดีไม่น้อย เพราะอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นถึงจิตวิญญาณศิลาระดับก้าวสู่เทวา
แต่หลิงฮันไม่เลือกที่จะทำเช่นนั้น เพราะในเมื่อศิลาน้อยเชื่อฟังเขา เขาก็ไม่รังเกียจที่จะหาหนทางเพิ่มพลังให้กับมัน
ศิลาน้อยก็คงรู้เรื่องนี้เช่นเดียวกัน มันจึงได้จงรักภักดีต่อหลิงฮันมากขึ้น
“ใช่แล้ว มันเป็นหุ่นเชิดที่ฉลาดเป็นอย่างยิ่ง” หลิงฮันตอบด้วยรอยยิ้มและไม่บอกออกไปว่าศิลาน้อยไม่ใช่หุ่นเชิดแต่เป็นจิตวิญญาณศิลา
“ข้าคิดว่าเสมอว่าน้องชายหลิงฮันเชี่ยวชาญในวิถีแห่งดาบ ข้าไม่เคยคาดคิดเลยว่าเจ้าเชี่ยวชาญทักษะการยิงธนูยิ่งกว่า ลูกศรที่สังหารได้แม้กระทั่งตัวตนระดับก้าวสู่เทวานั้นเป็นพลังทำลายล้างที่ไม่อาจจินตนาการได้” เหวินเหรินเชียนเชียนเอ่ยชม
“ฮ่าๆๆ เจ้าไม่ต้องตีค่าข้าสูงขนาดนั้นก็ได้” หลิงฮันส่ายมือ เหวินเหรินเชียนเชียนเองก็คือหนึ่งในสุดยอดอัจฉริยะแห่งยุค พรสวรรค์ของนางไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าจูเสวียนเอ๋อ เขานิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนจะกล่าว” เอาล่ะ เดินทางกันต่อเถอะ”
ทุกคนพยักหน้าและเดินต่อไปหน้าต่อ
สถานที่แห่งกว้างใหญ่ราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด หลังจากพวเขาเดินทางได้ครึ่งวันดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าก็หายไปและแทนที่ด้วยดวงจันทร์ที่ดูเยือกเย็นราวกับสายน้ำ
ทุกคนรู้สึกตกตะลึง ผู้ที่สร้างที่นี่เป็นตัวตนแบบใดกันถึงได้สามารถสร้างโลกเลียนแบบได้คล้ายคลึงกับโลกภายนอกเช่นนี้
แม้แต่บนท้องฟ้าก็ยังมีดวงดาวนับไม่ถ้วนส่องประกายให้เห็น
หลิงฮันโคจรเนตรแห่งสัจธรรม ก่อนนี้ที่ยังเป็นดวงอาทิตย์อยู่ เขาไม่กล้าจ้องมองมันนานเพราะเกรงว่าดวงตาของเขาจะมอดไหม้ แต่ดวงดาวและดวงจันทร์นั้นต่างออกไป เขาสามารถต้านทานแสงสว่างที่ส่องประกายออกมาจากพวกมันได้
ผ่านไปซักพัก สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปและอุทานออกมา “ดวงดาวเหล่านั้นเป็นของจริง พวกมันเหมือนกับดวงตาในโลกภายนอกไม่มีผิดเพี้ยน!”
“อะไรกัน!” ทุกคนตกตะลึง
“สิ่งที่เรียกว่าดวงดาว แท้จริงแล้วมันก็แร่เหล็กระดับที่ส่องประกายอยู่บนท้องฟ้า” เหวิอนเหรินเชียนเชียนกล่าว
หลิงฮันพยักหน้า “บนท้องฟ้านั้นมีแรงดึงดูดที่แปลกประหลาดคอยหน่วงรั้งแร่เหล็กเหล่านั้นเอาไว้ไม่ให้ร่วงลงมา”
เจ้ากระต่ายพูดเสริม “แท้จริงแล้ว ดวงดาวเหล่านั้นอยู่ห่างไกลจากพวกเขาหลายพันไมล์ ถ้ามันไม่มีชั้นบรรยากาศกั้นเอาไว้ แม้แต่จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานก็สามารถลอยขึ้นไปหยิบมันมาได้ง่ายๆ”
“ที่แร่เหล็กเหล่านั้นเป็นสิ่งล้ำค่าก็เพราะพวกมันถูกกั้นด้วยชั้นบรรยากาศที่มีแต่ตัวตนระดับทลายมิติเท่านั้นถึงจะนำมันลงมาได้…” หลิงฮันกล่าวและจ้องมองไปบนท้องฟ้า ขั้นตอนแรกในการเปิดสวรรค์คือการเปิดชั้นบรรยากาศ
“จอมยุทธระดับทลายมิตินั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แม้พวกเขาจะไม่สามารถลอยขึ้นผ่านชั้นบรรยากาศไปได้ แต่การโจมตีของพวกเขานั้นสามารถทะลวงผ่านชั้นบรรยากาศและทำให้ดวงดาวบนท้องฟ้าร่วงหล่นลงมาได้ แต่เมื่อดวงดาวร่วงลงมาสัมผัสกับชั้นบรรยากาศ พวกมันก็จะถูกเผาผลาญจนแทบไม่เหลือซาก จะมีก็เพียงชิ้นส่วนเล็กๆเท่านั้นที่เหลือร่วงลงมาถึงพื้นดิน” เจ้ากระต่ายกล่าว “เจ้าหนู เจ้าคงดูผิดแล้ว ดวงดาวพวกนั้นจะเป็นดวงดาวที่เหมือนกับโลกภายนอกได้อย่างไร”
หลิงฮันส่ายหัวและพูด “ข้าดูไม่ผิด!” เขาครุ่นคิดชั่วขณะ “มีความเป็นไปได้อย่างเดียวคือคนที่สร้างที่นี่ขึ้นมาสามารถข้ามผ่านชั้นบรรยากาศไปได้และนำดวงดาวพวกนั้นมาประดับบนโลกเลียนแบบนี้”
“ต้องมีพลังขนาดไหนถึงจะสามารถคว้าดวงดาวและดวงจันทร์ลงมาได้?” เหวินเหรินเชียนเชียนชะงัก “แม้แต่ตัวตนระดับทลายมิติก็ไม่สามารถทำได้!”
หลิงฮันพยักหน้า ตัวตนระดับทลายมิติสามารถทำได้เพียงสั่นคลอนดวงดาวบนท้องฟ้า เพราะอย่างไรดวงดาวบนท้องฟ้าก็อยู่ห่างไกลเกินไปแถมยังมีชั้นบรรยากาศคอยขวางกั้นอยู่ด้วย สามารถกล่าวได้ว่าการไปนำดวงดาวบนท้องฟ้าลงมานั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้
จิตใจของหลิงฮันสั่นไหว ในอดีตเคยมีจักรวรรดิโบราณที่ต้องการจะเปิดสวรรค์ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ทำไม่สำเร็จและทิ้งสมบัติทั้งสี่เอาไว้ หรือว่าโบราณสถานแห่งนี้จะเป็นของจักรวรรดิโบราณ? เพราะถึงแม้พวกเขาจะล้มเหลวในการเปิดสวรรค์ แต่การจะเปิดชั้นบรรยากาศนั้นก็คงจะไม่ใช่ปัญหา หากเป็นจักรวรรดิโบราณการจะคว้าดวงดาวลงมาก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ถ้าเป็นเช่นนั้นหากจักรวรรดิจันทราม่วงและห้านิโบราณจะหวั่นไหวก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะจักรวรรดิโบราณนั้นเป็นตัวตนที่เคยเกือบจะเปิดสวรรค์ได้สำเร็จ!
“ชักจะตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆแล้ว” หลิงฮันยิ้ม
ทุกคนลงนั่งกับพื้น หลิงฮันนำวัตถุดิบออกมาเพื่อเตรียมทำอาหาร โดยปกติแล้ว หากมาเดินในสถานที่ที่อันตรายเช่นนี้ ทุกคนจะต้องอยู่ในสภาพที่พร้อมรบที่สุด พวกเขาไม่อาจเสียเวลาไปกับการทำอาหาร
ดังนั้นเหวินเหรินเชียนเชียนและพี่น้องหลี่จึงเตรียมอาหารแห้งมา แต่เมื่อกลิ่นได้กลิ่นหอมของอาหารที่หลิงฮันทำ พวกเขาก็อดใจไม่ไหวและต้องมาขอลองชิม และเมื่อได้ชิมพวกเขาก็ต้องทิ้งอาหารแห้งในมือของตนเองทิ้งไปทันที
“เดี๋ยวสิ แล้วอาหารที่ข้าหยิบมาวางไว้ตรงนี้ล่ะ?” หลี่เฟิงหยู่ประหลาดใจ เขาเพิ่งจะย่างเนื้อที่หลิงฮันนำออกมาเสร็จและวางเอาไว้เพื่อที่จะได้ไปย่างเนื้ออีกชิ้นให้น้องสาวของเขา แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้กิน เนื้อที่วางไว้ก็หายไปแล้ว
สายตาของเขากวาดผ่านไปทั่วและมาหยุดที่เจ้ากระต่าย “กระต่ายหัวขโมย เจ้าเอาเนื้อข้าไปสินะ?”
เจ้ากระต่ายเงยหน้าขึ้นและพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ว่าไงนะ นายท่านกระต่ายจะขโมยเนื้อของเจ้าไปทำไม?”
“แล้วสิ่งที่เจ้าเคี้ยวอยู่ในปากมันคืออะไร?”
“นายท่านกระต่ายตั้งแต่เกิดมา เวลากินอาหารก็ต้องเคี้ยวอยู่แล้ว หรือว่าเวลากินเจ้าไม่เคี้ยว?”
“ไขมันจากเนื้อมันไหลออกมาจากปากเจ้าแล้ว!”
“ไร้สาระ นายท่านกระต่ายเป็นพวกกินผัก!”
“เจ้าตายแน่ เจ้ากระต่ายหัวขโมย!” หลี่เฟิงหยู่บ้าคลั่ง เจ้ากระต่ายที่ไร้ยางอายตนนี้เกียจคร้านจนถึงขนาดขี้เกียจย่างเนื้อกินเองและมาขโมยเนื้อคนอื่นราวกับหมูหมา
“หืม ซุปที่ข้าวางเอาไว้ตรงนี้หายไปไหน?” หลิงฮันประหลาดใจและมองไปที่เจ้ากระต่าย “เจ้าเป็นคนทำ?”
“บัดซบ ถ้าเจ้าทำของหาย ทำไมต้องมากล่าวหานายท่านกระต่ายด้วย นี่พวกเจ้าเห็นนายท่านกระต่ายมีนิสัยชอบลักขโมยรึไง?” เจ้ากระต่ายกระโดดด้วยความไม่พอใจ
“ใช่แล้ว!” ทุกคนพยักหน้า
“อะไรกัน ชามข้าวที่ข้าวางไว้ตรงนี้หายไปแล้ว” จูเสวียนเอ๋ออุทานขึ้นมาอย่างประหลาดใจ
“นายท่านกระตายไม่เกี่ยว!” เจ้ากระต่ายรีบยกอุ้งเท้าขึ้นมาส่ายเพื่อปฏิเสธ
“ไม่ใช่เจ้ากระต่าย” หลิงฮันส่ายหน้า เขาเพ่งเล็งเจ้ากระต่ายอยู่ตลอด ถ้าหากอีกฝ่ายลงมือทำอะไรล่ะก็ มันคงไม่อาจหนีพ้นสัมผัสสวรรค์ของเขาไปได้ เพราะอย่างไรสัมผัสสวรรค์ของเขาก็เป็นถึงสัมผัสของจอมยุทธระดับสวรรค์ แม้จะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวก็ตามที
“งั้นใครกัน?” ทุกคนรู้สึกกังวลใจ
ฮูหนิวยิ้มออกมา ทันใดนั้นมือของนางก็คว้าไปจับสิ่งมีชีวิตสีขาวบางอย่างเอาไว้ได้และกล่าว “มาย่างเจ้านี่ให้สุกแล้วกินกันเถอะ!”