โชคดีที่นกอินทรียักษ์ไม่สนใจมดปลวกอย่างพวกเขาและบินจากไป ในระหว่างกรงเล็บที่เท้าสองข้างของมันมีสัตว์อสูรแรดทองคำขนาดทำภูเขาย่อมๆถูกจับเอาไว้อยู่ ร่างกายของแรดทองคำเต็มไปบาดแผลและมีโลหิตไหลร่วงลงมา
โลหิตเหล่านั้นคือสมบัติระดับแปด โลหิตของสัตว์อสูรระดับสวรรค์!
โลหิตของแรดทองคำได้สร้างความปั่นป่วนให้กับสิ่งมีชีวิตเบื้องร่าง โลหิตของสัตว์อสูรระดับสวรรค์นั้นหากสัมผัสเข้า แม้แต่จอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาก็ต้องตกตาย
โลหิตเช่นนี้เป็นสมบัติล้ำค่า เพียงแต่มันต้องใช้จอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาหลายคนในการช่วยกันรวบรวม
ไม่ว่าจะเป็นย่าวหุยเยว่ เจียหมิงหรือฉือชิ่วเหริน เมื่อพวกเขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นพวกเขาก็ทำได้เพียงแค่ส่ายหน้าและเดินจากไป แต่หลิงฮันนั้นต่างออกไป เขามีชามพลิกสวรรค์
เพียงแต่ว่าสมบัติที่น่ากลัวเช่นนี้ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้เพื่อหยิบมันมา แม้แรดทองคำจะไม่ใช่สัตว์อสูรระดับทลายมิติ แต่มันก็เป็นถึงระดับสวรรค์ขั้นปลาย ด้วยระดับพลังของพวกเขาในตอนนี้ร่างของพวกเขาจะต้องระเบิดแน่นอน
“สัตว์อสูรระดับทลายมิติปรากฏตัวแล้ว” พวกเขาอุทานออกมา
“มันคือนกอินทรีย์เพศเมีย บางทีมันอาจจะสร้างรังอยู่แถวนี้ ถ้าเจ้าจับมาเลี้ยงได้สักตัว เจ้าจะใช้ประโยชน์จากมันได้มากมาย” เจ้ากระต่ายกล่าว
จิตใจของทุกคนหวั่นไหว ระดับพลังที่สัตว์อสูรจะพัฒนาไปถึงได้นั้นขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ของสายเลือด อย่างเช่นนกอินทรีย์เขียวระดับทลายมิติตัวนี้ ถ้าหากลูกหลานของมันได้รับการเลี้ยงดูอย่างถูกต้อง ในอนาคตมันจะกลายเป็นสัตว์อสูรระดับทลายมิติได้อย่างแน่นอน
นี่คือความแตกต่างอันใหญ่หลวงระว่างจอมยุทธกับสัตว์อสูร แต่ในทางกลับกัน สัตว์อสูรก็ถูกตั้งขีดจำกัดเอาไว้ที่สายเลือด อย่างมากลูกหลานของนกอินทรีย์เขียวก็สามารถบรรลุได้เพียงระดับทลายมิติ พวกมันไม่สามารถพัฒนาไปได้ไกลกว่านั้น
นอกเสียจากว่ามันจะได้รับสมุนไพรที่ล้ำค่าและทะลวงผ่านขีดจำกัดไปได้
“ขานกอินทรีย์ย่าง!” ฮูหนิวมีความคิดที่ต่างจากคนอื่น ดวงตาของนางลุกวาวทันที
หลิงฮันส่ายหัวและพูด “อย่าได้คิดเชียว รังของสัตว์อสูรระดับทลายมิตินั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวอันรุนแรง ถ้าพวกเราเข้าไปใกล้ พวกเราคงไม่ทันได้เห็นไข่หรือตัวอ่อนของมันพวกเราก็คงตายก่อนแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงฮัน ทุกคนก็ส่ายหัวล้มเลิกความคิดฟุ้งซ่าน อย่างที่หลิงฮันบอก นกอินทรีย์เขียวคือสัตว์อสูรระดับทลายมิติ ใครจะสามารถบุกรุกไปที่รังของมันได้?
“เดินหน้ากันต่อเถอะ!” พวกออกเดินทางต่อ ผ่านไปอีกสองวันศิลาน้อยก็ผสานแก่นแท้ศิลาได้สำเร็จและทะลวงผ่านกลายเป็นระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นปลาย
จิตวิญญาณที่เกิดจากสวรรค์และปฐพีนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลัง การจะหาคู่ต่อสู้ให้กับมันได้เป็นอะไรที่ยากมาก มันคือราชันในหมู่ราชัน พลังต่อสู้ของศิลาน้อยในตอนนี้นั้นสามารถเทียบได้กับอัจฉริยะไร้ที่เปรียบอย่างย่าวหุยเยว่
หลิงฮันพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ในที่สุดศิลาน้อยก็มีความสามารถในการช่วยเหลือเขาได้เสียที นอกจากนี้หอคอยทมิฬยังสามารถสร้างศิลาวิญญาณได้หนึ่งก้อนในทุกๆเดือน ดังนั้นระดับพลังของศิลาน้อยอาจจะพัฒนาได้รวดเร็วกว่าเขาเสียอีก
ณ ตอนนี้ ในที่สุดผืนดินอันกว้างใหญ่ก็มาถึงจุดสิ้นสุด ด้านหน้าของพวกเขาถูกแทนที่ด้วยแม่น้ำอันกว้างขวางแทน แม้หลิงฮันจะใช้เนตรแห่งสัจธรรมจ้องมอง เขาก็ไม่สามารถมองเห็นจุดสิ้นสุดของแม้น้ำแห่งนี้
ตรงระหว่างรอยต่อของแม่น้ำและผืนดิน มีสมุนไพรประหลาดงอกขึ้นมาอยู่ มันมีความสูงห้าฟุตและมีสีขาว ผลของมันมีรูปร่างเหมือนกับข้าวโพดแต่ขนาดใหญ่กว่า ผลของมันปลดปล่อยกลิ่นอันหอมหวานออกมา เพียงแค่ได้ดมก็ทำให้พวกเขารู้สึกผ่อนคลาย
เพียงแต่ว่าไม่ใช่แค่กลุ่มของหลิงฮันที่ค้นพบสมุนไพรนี้ ผู้คนมากมายก็พบเห็นเช่นเดียวกัน อย่างเช่นเจียหมิงที่ตอนนี้กำลังแสยะยิ้มราวกับสัตว์ร้าย
หลิงฮันมองเห็นย่าวหุยเยว่ที่ยืนอยู่คนเดียว ส่วนจักรพรรดิพิรุณและมู่หลงชิงนั้นอยู่กับกลุ่มของตนเอง การเดินทางเช่นนี้การสร้างกลุ่มขึ้นมาเป็นเรื่องง่าย แต่การถูกหักหลังก็ไม่ใช่เรื่องยากเช่นกัน
นอกจากนั้นแล้วเขาก็เห็นเหยียนเฮิงเหอด้วย อีกฝ่ายพยักหน้าเล็กน้อยให้กับหลิงฮัน ดูเหมือนว่าเขาจะยึดมั่นคำสัญญาที่จะนับถือหลิงฮันเป็นหัวหน้าได้หนักแน่นทีเดียว
สมุนไพรสมบัตินี่คืออะไรกัน?
หลิงฮันเกิดความสงสัย ด้วยการที่เขาเป็นถึงจักรพรรดิปรุงยาในชีวิตที่แล้ว หากพูดถึงความรู้เกีย่วกัลสมุนไพรล่ะก็ ถ้าเขากล่าวว่าตัวเองเป็นที่สองจะไม่มีใครกล้ากล่าวว่าตนเองเป็นที่หนึ่ง
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยเห็นสมุนไพรเช่นนี้มาก่อน
ตอนนี้ทุกคนกำลังยืนเฝ้ามองนิ่งๆโดยไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้น นอกจากนี้แล้วดูเหมือนว่าสมุนไพรตรงหน้าพวกเขานี้จะยังไม่สุกงอมเต็มที่ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมทุกคนถึงยังไม่เปิดศึกกัน
หลิงฮันรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก หากดูจากกลิ่นหอมที่สมุนไพรต้นนี้ปลดปล่อยออกมาแล้ว มันต้องเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างไม่ผิดเพี้ยนแน่นอน แต่ทำไมปรมาจารย์ของจักรวรรดิจันทราม่วงและห้านิกายโบราณถึงไม่เก็บเกี่ยวมันไป?
หลิงฮันแสดงสีหน้าครุ่นคิด เขาเคยสำรวจโบราณสถานมานับไม่ถ้วนในชีวิตที่แล้ว ดังนั้นเขาจึงเคยพบเจอกับภัยอันตรายในรูปแบบต่างๆมามากมาย เขาระลึกตัวเองอยู่เสมอว่าห้ามถูกหลอกล่อโดยสมบัติเด็ดขาด
สมบัติที่ล้ำค่ามักจะแฝงไปด้วยภัยอันตรายและกับดัก
ที่นี่มีสัตว์อสูรที่ทรงพลังอยู่มากมาย ถ้าหากตรงนี้มีสมุนไพรที่ล้ำค่าปรากฏอยู่ ทำไมสัตว์อสูรเหล่านั้นถึงไม่สนใจ?
สมบัติจากสวรรค์และปฐพีนั้นเป็นสิ่งที่คู่กายของสัตว์อสูร
จากสภาพการณ์โดยรวมแล้ว มันทำให้หลิงฮันเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่สมุนไพรนี้จะเป็นกับดัก
เขาบอกข้อสงสัยนี้ให้กับจักรพรรดิพิรุณและมู่หลงชิงฟังและเรียกเหยียนเฮิงเหอมาคอยฟังคำสั่งจากเขา แม้เหยียนเฮิงเหอจะไม่ค่อยยินยอม แต่เขาก็ไม่กล้าปฏิเสธ
ทุกคนยังคงเฝ้าคอย… เฝ้าคอยให้สมุนไพรงอกเงยเต็มที่ ซึ่งอาจจะใช้เวลาอีกสองหรือสามวัน เมื่อถึงตอนนั้นผู้คนที่จะปรากฏที่นี่คงเพิ่มขึ้นหลายเท่า ซึ่งรวมไปถึงตัวตนระดับสวรรค์
สามวันต่อมา ตัวตนระดับสวรรค์เจ็ดคนก็มาถึง ซึ่งในใจของหลิงฮันนั้นเริ่มมีรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นเพราะในสามวันที่ผ่านมานี้ เขาไม่พบเห็นสัตว์อสูรในบริเวณใกล้ๆเลยแม้แต่ตัวเดียว
ต้องรู้ก่อนว่าสัตว์อสูรนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่หวงอาณาเขตของตนมาก หากไม่มีการปรากฏตัวของสัตว์อสูรใดๆเลยก็คงมีอยู่เหตุผลเดียว สถานที่แห่งนี้ต้องเป็นอาณาเขตของสัตว์อสูรที่แข็งแกร่ง เพราะงั้นสัตว์อสูรตนอื่นจึงไม่กล้าที่จะย่างกายเข้ามาที่นี่
ในที่สุดการต่อสู้แย่งชิงสมุนไพรก็เริ่มขึ้น มันคือการต่อสู้ระหว่างจอมยุทธระดับสวรรค์เจ็ดคน การต่อสู้นั้นรุนแรงเกินไปจนทำให้ทุกคนต้องค่อยๆถอยห่างออกไปเรื่อยๆ
ในตอนนั้นเอง พวกเขาได้เห็นว่าจู่ๆสมุนไพรก็หายไป
ทุกคนกลายเป็นมึนงง สมุนไพรต้นนี้มันมีขาด้วยรึไง? เพราะใครกันจะกล้าแอบไปขโมยมันมาในขณะที่ตัวตนระดับสวรรค์ทั้งเจ็ดกำลังต่อสู้กันอยู่?
‘ครืนนน’ เสียงพื้นดินสั่นไหวดังก้องกังวาน ‘แกรก’ รอยร้าวรูปร่างเหมือนกับใยแมงมุมปรากฏขึ้นและลุกลามไปทั่วบริเวณ ราวกับว่าอะไรบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัวกำลังจะโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน