ช่วยไม่ได้ที่หลิงฮันจะรู้สึกขบขัน อ้วนหม่าไม่ได้ทิ้งชื่อตัวเองว่าอันดับหนึ่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นคนสร้างดาบอันดับหนึ่งในใต้หล้า เขาแกว่งดาบไปมาและพูดว่า “ดาบเล่มนี้ใช้ได้ทีเดียว”
“แน่นอนอยู่แล้ว” ราชิหนีหยินกล่าว
หลิงฮันรู้สึกสงสัย เขาถามว่า “แล้วบนดาบมันเป็นรูปแบบอาคมอะไร?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าควรจะไปถามเจ้าอ้วนนั่นด้วยตัวเอง” ราชินีหยินโบกมือปฏิเสธ
หลิงฮันคิดอยู่ในใจว่าอ้วนหม่าน่าจะเป็นปรมาจารย์รูปแบบอาคม และใช้มันเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง ดังนั้นเขาจึงเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งที่เหนือกว่าอัจฉริยะทุกคนตั้งแต่อดีต
“เนื่องจากข้าไม่สามารถจับตำหนักโอสถนั่นได้ ข้าไม่สนใจที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว” ราชินีหยินกล่าว “ข้าเกลียดนักที่ปล่อยให้เวลาต้องสูญเปล่า ข้าจะต้องขุดราชาอีกสี่คนให้เร็วที่สุด และเมื่อแปดราชากลับมารวบตัวกันอีกครั้ง เพียงแค่คิดก็ทำให้ราชินีอย่างข้าตื่นเต้นแล้ว”
“ไป!” นางขี่สิงโตและทะยานออกไป
สมบัติที่น่าอัศจรรย์ขนาดนั้นนางยังไม่สนใจมันแม้แต่น้อยและตัดใจจากมันได้อย่างง่ายดาย แต่นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของนาง แม้ว่ามันจะตกอยู่ในมือของคนอื่น นางก็ไม่ได้สนใจ
“เจ้าหนุ่ม นี่สำหรับเจ้า!” ราชินีหยินโยนบางอย่างให้กับหลิงฮัน
หลิงฮันคว้ารับมันไว้และพบว่ามันเป็นผลึก เขาจึงส่งสัมผัสสวรรค์เข้าไป พรึบ แผนที่ปรากฏอยู่ในจิตใต้สำนึกของเขาทันที รูปภาพสามมิติที่สามารถขยายได้อย่างไม่จำกัด ทำให้เขาสามารถเห็นี่ยละเอียดต่างๆของทุกพื้นที่
นี่คือแผนที่เขตแดนลี้ลับแห่งนี้!
หลิงฮันจำได้ทันที ตอนแรกมันเป็นพื้นที่ราบขนาดใหญ่ จากนั้นก็เป็นทะเล แล้วก็เป็นที่ราบอีกครั้งก่อนที่จะเป็นทะเลทราย ซึ่งตรงกับสถานที่ที่เขาเคยเดินทางมาก่อนหน้านี้
บนแผนที่ยังแสดงเครื่องหมายให้เห็นว่าด้านหน้าเป็นพื้นที่ของสัตว์อสูร ซึ่งเขารู้อยู่แล้ว และตอนนี้ที่ที่เขาอยู่แต่เดิมมันไม่ได้เป็นทะเลทราย แต่ด้วยการล่มสลายของจักรวรรดิจันทราม่วงทำให้เปลวเพลิงเผาผลาญทุกสิ่งทุกกอย่าง แม้กระทั่งพื้นดินยังกลายเป็นทะเลทราย
จากนั้นก็มีสวนสมุนไพร ซึ่งมีสมุนไพรล้ำค่ามากมายหลายชนิด และด้านหลังสวนสมุนไพรคือพระราชวังจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิจันทราม่วง ซึ่งมี “ตำหนักตำรา” อยู่ ซึ่งมีทักษะลับและเทคนิคมากมายที่ถูกรวบรวมโดยจักรวรรดิจันทราม่วงอยู่ในนั้น
ราชินีหยินยังทำเครื่องหมายเขียนไว้ว่า ‘ผนึกพลิกปฐพี’
นี่เป็นทักษะระดับศักดิ์สิทธิ์!
หลิงฮันรู้สึกตื่นเต้น แม้เขาจะมีทักษะระดับศักดิ์สิทธิ์สามทักษะแล้ว แต่ถ้าจะฝึกฝนทักษะระดับศักดิ์สิทธิ์เพิ้มอีกหนึ่งทักษะมันก็ไม่ได้เสียหายอะไร
แม้มันจะตรงกับสำนวนที่ว่ากัดคำใหญ่เกินกว่าจะเคี้ยวลงไปได้ก็ตาม
ถ้ามันไม่เหมาะกับเขา เขาก็จะไม่เสียเวลากับมันและพลังมากเกินไปที่จะเข้าถึง
หลิงฮันดึงสติของตัวเองกลับมาและพูดว่า “ไปกันเถอะ” เขากำลังจะไปที่สวนสมุนไพรว่าหลังจากที่ผ่านมาอย่างน้อยสองแสนปีมันจะอุดมสมบูรณ์มากน้อยเพียงแค่ไหนกัน?
“เจ้าคิดยังคิดที่จะไปไหนอีกรึ?” เจี่ยหมิงเค้นเสียงพูดและจ้องเขม็งไปที่หลิงฮันอย่างเยือกเย็นไร้จิตสังหาร
หลิงฮันรู้สึกแปลกใจชั่วครู่และหัวเราะ “ข้าลืมไปเลยว่าเจ้ายังอยู่ที่นี่!”
“นี่เจ้า!” เจี่ยหมิงจ้องมองไปที่หลิงฮันและพูดว่า “เจ้ากล้าที่จะสู้กับข้าอีกหรือไม่?”
“ฮึ่ม เจ้าบรรลุระดับก้าวสู่เทวาแล้วแต่กลับถามข้าว่ากล้าสู้หรือไม่ นี่เจ้าไม่รู้สึกอายเลยหรือไง?” หลิงฮันหัวเราะเยาะ
เจี่ยหมิงแสยะยิ้มและพูดว่า “ข้าอายุใกล้เคียงกับเจ้า แต่ระดับพลังของเจ้ากลับด้อยกว่าข้าเอง หรือมันไม่จริง?”
หลิงฮันยิ้มเยาะ ในความเป็นจริงถ้าต่อสู้กับคนอายุเท่ากันหรือในระดับพลังเดียวกันถึงจะเรียกว่ายุติธรรม เช่นเดียวกับอายุของพวกเขา อัจฉริยะนั้นอายุห่างกันแค่ปีหรือสองปีมีความแตกต่างกันอย่างมาก อย่างเช่นหลิงฮัน เขามั่นใจว่าจะทะลวงผ่านระดับก้าวสู่เทวาได้ก่อนอายุยี่สิบปี และเมื่อเขาอายุเท่าเจี่ยหมิง เขาอาจทะลวงผ่านระดับสวรรค์แล้ว…
มันไม่มีความยุติธรรมอย่างแท้จริงในโลกใบนี้
“ถ้าข้าไม่สู้กับเจ้าก็ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่มีท่าทีว่าจะยอมแพ้ ถ้างั้นมาสู้กัน!” หลิงฮันเดินไปที่ทะเลทรายและหันมามองเจี่ยหมิง แม้ว่าอีกฝ่ายจะออกมาจากตำหนักก่อนเขา แต่มันกลับรอให้เขาออกมา นี่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของมันว่าจะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะฆ่าเขาได้
เจี่ยหมิงแสยะยิ้มและนำมีดโค้งออกมาซึ่งเป็นรูปจันทร์เสี้ยว ใบมีดสั้นมาก หากจับไว้ในมือมันจะเหมือนกับมีมีดแหลมคมโผล่ออกมาจากหมัด
หรือว่านี่จะเป็นอาวุธวิญญาณที่เขาได้รับมาจากตำหนักยุทธภัณฑ์?
เจี่ยหมิงเองก็มีชื่ออยู่บนแผ่นหิน แม้ว่าจะไม่น่าตกตะลึงเท่าหลิงฮันกับฮูหนิว แต่สมบัติที่เขาได้รับจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
หลิงฮันไม่ได้นำดาบสังหารออกมา เขาอยากจะลองสร้างการป้องกันจากการผสานกันระหว่างความแข็งแกร่งและอ่อนนุ่ม และวิธีแสดงความแข็งแกร่งใกล้เคียงกับระดับก้าวสู่เทวา
“เป็นแค่จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ แต่กล้าที่จะท้าทายข้า!” เจี่ยหมิงกระโจนเข้าใส่หลิงฮันทันทีพร้อมกับกำปั้น เจตจำนงที่ปลดปล่อยออกมาทำให้หมัดของเขาเปล่งประกาย
หลิงฮันกำหมัดและห่อหุ้มกำปั้นของเขาด้วยพลังปราณ และปล่อยหมัดทั้งสองข้างออกไปปะทะซึ่งกันและกัน
พวกเขาทั้งสองคนต่างฝึกฝนบ่มเพาะกายาด้วยกันทั้งคู่ จึงเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินกันด้วยการต่อสู้ระยะประชิด
ความสำเร็จในการบ่มเพาะกายาของเจี่ยหมิงค่อนข้างดีทีเดียว และแต่เขายังมีระดับพลังที่สูงกว่าหลิงฮัน ดังนั้นกายหยาบของพวกเขาทั้งสองคนจึงอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน
และด้านอ่อนนุ่มล่ะ?
หมัดที่ปะทะซึ่งกันและกันทำให้เกิดระลอกคลื่นขึ้นมาและกระจายออกไปรอบด้านอย่างต่อเนื่อง ถ้าคนทั่วไปปะทะกันกระดูกของพวกเขาคนแตกหักไปแล้ว
“หืม?” เจี่ยหมิงรู้สึกแปลกใจที่ตระหนักได้ถึงการผสมผสานระหว่างความแข็งแกร่งและอ่อนนุ่มจากหลิงฮัน ซึ่งก่อนหน้านี้หลิงฮันมีแค่ความแข็งเพียงอย่างเดียว
กายหยาบของเขายกระดับขึ้นอีกระดับแล้วด้วยการผสมผสานระหว่างความแข็งแกร่งและความอ่อนนุ่ม ทำให้เขามั่นใจว่าจะสยบหลิงฮันได้ แต่เขากลับไม่คาดคิดเลยว่าหลิงฮันจะก้าวหน้าขึ้นและเขาใจถึงความหมายของคำว่าอ่อนนุ่มและทำให้ระดับพลังป้องกันของพวกเขาทั้งคู่กลับมาอยู่ในระดับเดียวกัน
หากพลังป้องกันใกล้เคียงกัน เช่นนั้นมาดูที่พลังโจมตี
เจี่ยหมิงยิ้มกว้างและเผยสีหน้าที่โหดร้ายออกมา อาวุธในมือของเขาเริ่มเปล่งแสงที่เยือกเย็นออกมา ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกน่าขนลึกและพุ่งใส่หลิงฮัน
ฉึก หลิงฮันยกศอกขึ้นมาป้องกันและทันใดนั้นโลหิตก็พุ่งออกมาแล้วทิ้งรอยแผลไว้ที่ข้อศอกของเขา
หลิงฮันจ้องมองไปที่อาวุธของเจี่ยหมิง มันน่าจะเป็นอาวุธวิญญาณระดับสูง แม้จะไม่แสดงพลังที่แท้จริงออกมา แต่ก็ยังทำให้เขาได้รับบาดแผล
นั่นเป็นเพราะพลังของอีกฝ่ายสูงกว่าเขามาก หลังจากที่ใช้อาวุธวิญญาณจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่อีกฝ่ายจะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ
แต่อย่างไรก็ตาม พลังของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ไม่ได้ทำให้เขามีกายหยาบที่แข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังรักษาบาดแผลได้ด้วย!
บาดแผลของหลิงฮันหายไปในทันที ซึ่งสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า ถ้าไม่จ้องมองไปที่บาดแผลของเขาจะไม่มีทางรู้เลยว่าเขาได้รับบาดเจ็บมาก่อน!
เมื่อเห็นบาดแผลของหลิงฮันหายไปอย่างรวดเร็วช่วยไม่ได้ที่สีหน้าของเจี่ยหมิงจะเปลี่ยนไปอย่างมาก