โจวเต่อหยวนหันไปจ้องหลิงฮันอย่างหวาดผวาและเอ่ยถาม “นี่มัน…อะไรกัน?” เขายังไม่เข้าใจเลยว่าเขาตายได้อย่างไร แต่ที่รู้ๆก็คือหัวใจของเขาถูกทำลาย
นี่เป็นผลลัพธ์จากดาบกำเนิดมารที่เป็นอาวุธวิญญาณระดับสิบ ถึงแม้หลิงฮันจะไม่สามารถใช้พลังที่แท้จริงของมันออกมาได้ แต่หากถูกดาบนี้แทงเข้าไปในร่างกายโดยตรง มันจะสร้างพลังทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัว ถึงขนาดที่ว่าแม้แต่จอมยุทธระดับสวรรค์ยังต้องสิ้นหวัง
หากแค่นี้ยังทำไมได้ มันจะเป็นอาวุธวิญญาณระดับสิบได้อย่างไร
หลิงฮันไม่คิดจะตอบคำถามกับคนตาย โดยเฉพาะกับคนที่ไร้ยางอายเช่นนี้แล้วเขาจำเป็นต้องตอบคำถามให้อีกฝ่ายหายสงสัยด้วย? เขาชักดาบกลับมาและหันไปมองโจวหยู่เฉิง
“ไม่!!” โจวหยู่เฉิงรีบเผ่นหนี
ฉัวะ!
เขาวิ่งไปได้แค่สามก้าวก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนบางอย่างที่ปะทะกับร่างกาย ความเจ็บปวดปรากฏขึ้นที่บริเวณหน้าอกของเขา เมื่อมองลงไปเขาเห็นลูกศรที่ควบแน่นไปด้วยปราณก่อเกิดปักอยู่ ขณะที่เขากำลังจะขยับมือไปดึงลูกศรออก ร่างของเขาก็ล้มลงและหมดลมหายไป
‘แปะแปะแปะ’ ชายชราชุดเทาผู้หนึ่งเดินออกมาจากฝูงชน เขาปรบมือพร้อมกับกล่าว “สมกับเป็นสุดยอดอัจฉริยะจากสำนักสวรรค์ เจ้าสามารถสังหารได้แม้แต่จอมยุทธที่มีพลังบ่มเพราะสูงกว่าเจ้าหนึ่งระดับใหญ่”
“แล้วเจ้าเป็นใคร?” หลิงฮันถามอย่างไม่แยแส
“เจ้ากล้าไร้มารยาทต่อผู้อาวุโสของเจ้า?” ชายชราชุดเทาแสดงท่าทีไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “ข้าคือเหมาจุนแห่งนิกายอัสนีบาตสีคราม รวมถึงเป็นอาจารย์ของสำนักสวรรค์ เมื่อเห็นข้าแล้วเจ้ายังไม่รีบคารวะข้าอีก?”
หลิงฮันเค้นเสียงดูถูกและกล่าว “คิดจะใช้กฎเกณฑ์กับข้า? เอางั้นก็ได้ ข้าคือนักปรุงยาระดับสวรรค์ที่มีสถานะทัดเทียมกับขอมยุทธระดับสวรรค์ จอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาเช่นเจ้าเห็นข้าแล้วยังไม่รีบคารวะอีก?”
เป็นอย่างที่หลิงฮันกล่าว นักปรุงยาระดับสวรรค์มีสถานะเทียบเท่าจอมยุทธระดับสวรรค์ แต่เพราะว่าแม้แต่จอมยุทธระดับสวรรค์ก็ยังต้องพึ่งพาเม็ดยา ดังนั้นสถานะของนักปรุงยาระดับสวรรค์จึงถือว่าสูงกว่าจอมยุทธระดับสวรรค์ แม้แต่ตัวตนระดับทลายมิติก็ยังต้องไว้หน้า
เหมาจุนรู้สึกคิดหนัก ไม่ว่าใครที่มองไปยังหลิงฮันก็ต้องเผลอเมินเฉยต่อสถานะนักปรุงยาของอีกฝ่ายเพราะอายุที่ยังน้อย
หากจะเป็นนักปรุงยาระดับสวรรค์ได้ ไม่ใช่ว่านั่นต้องเป็นอสูรเฒ่าที่มีอายุสามถึงสี่ร้อยปีรึไง? ขนาดหลิงฮันในชีวิตที่แล้วยังต้องใช้เวลาเกือบสองร้อยปีกว่าจะไปถึงระดับนั้น
“ยังไม่รีบคารวะอีก!” หลิงฮันตะคอกเสียงราวกับสายฟ้าฟาดเข้าไปยังจิตวิญญาณ “หรือคนของห้านิกายโบราณจะเมินเฉยต่อกฎเกณฑ์ของโลกและล่วงเกินนักปรุงยาระดับสวรรค์?”
“เหอะ เจ้าหนู เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นนักปรุงยาระดับสวรรค์สินะ?” ชายชราอีกคนหนึ่งเดินออกมา เขาสวมชุดคลุมเทาเช่นกันแต่ร่างของเขาสูงกว่าเหมาจุนครึ่งหัว “งั้นถ้าข้าบอกว่าข้าคือนักปรุงยาระดับเซียน เจ้าจะคารวะข้ารึเปล่า?”
“ชะ… ใช่แล้ว!” เหมาจุนเริ่มสงบลง “นำหลักฐานว่าเจ้าเป็นนักปรุงยามาให้ข้าดูซะ! หรือเจ้าจะจงใจหลอกลวงห้านิกายโบราณว่าเจ้าเป็นนักปรุงยาระดับสวรรค์?”
ทุกคนรู้ว่าสมาคมนักปรุงยาไม่ได้ประกาศว่าหลิงฮันคือนักปรุงยาระดับสวรรค์คนที่สามของทวีปฮงเทียน ดังนั้นหลิงฮันจึงไม่สามารถยืนยันสถานะของตนเองได้
ชายชราชุดเขาอีกคนหนึ่งสะบัดมือและกล่าว “ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์ของสำนักสวรรค์ หลิงฮัน! เจ้าทำได้ดีมากที่ได้ทักษะศักดิ์สิทธิ์มาครอง จงมอบมันให้กับสำนักซะ แล้วเจ้าจะได้ความดีความชอบมหาศาล!”
“ทักษะลับเช่นนั้นเหมาะสมที่จะอยู่ในสำนักและส่งต่อให้ผู้ที่เหมาะสมในการบ่มเพาะมัน!” เหมาจุนกล่าวเสริมอย่างรวดเร็ว
“เจ้าก็คิดเช่นเดียวกันสินะ?” ชายชราชุดคลุมเทาเอ่ยถามคนที่อยู่ด้านหลังเขา
“ถูกแล้ว มันไม่ใช่สิ่งที่สมควรจะอยู่ในมือของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณเช่นเจ้า!”
“ทักษะลับสมควรได้รับการประเมินโดบสำนักว่าใครคือที่มีเหมาะสมกับมัน”
ผู้คนเหล่านี้ชี้นิ้วมายังหลิงฮันและตะโกนเสียงดังด้วยความไม่พอใจราวกับหลิงฮันไปขโมยทักษะลับของพวกเขามา
หลิงฮันส่ายหัวและกล่าว “ข้าอยากรู้จริงๆว่าพวกเจ้าจะหน้าด้านได้มากกว่านี้อีกรึไม่?”
“หลิงฮัน เจ้าจะไม่คิดถึงผลประโยชน์สูงสุดของมันรึไง?” เหมาจุนกล่าว “ภัยพิบัติครั้งใหญ่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ หากมอบทักษะศักดิ์สิทธิ์ให้กับผู้ฝึกตนที่ทรงพลังของห้านิกายใหญ่ มันจะเป็นตัวแปรสำคัญในการต่อต้านภัยพิบัติที่จะมาถึงได้ การที่เจ้าคิดจะกับมันไว้กับตัวเองก็ไม่ต่างอะไรกับคนเห็นแก่ตัว!”
ให้ตายเถอะ หมอนี่จำเป็นต้องหน้าด้านถึงขนาดนี้เชียวรึ?
หลิงฮันไม่ได้หัวเราะออกไปและตอบกลับ “ข้าคิดว่าเสมอว่าความหน้าด้านของคนเราจะมีขีดจำกัด แต่การที่เจ้าทำลายขีดจำกัดนั้นได้ ข้าล่ะนับถือจริงๆ”
“หลิงฮัน มันยังไม่สายเกินไปหากเจ้าจะกลับมา!” ชายชราชุดคลุมเทาอีกคนปรากฏตัว ชื่อของเขาคือฉีหลีกั่ว ใบหน้าของเขาประดับไว้ด้วยความอ่อนโยน “อย่าทำผิดพลาดเลย การยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามพวกเราและกลายเป็นทาสนั้นจุดจบคงจะไม่ดีเท่าไหร่”
ดวงตาของหลิงฮันขึงขังและกล่าว “เจ้ารู้ว่าโลกเบื้องล่างนี้จะต้องเป็นทาสกลายเป็นหากต่อต้านพวกเจ้า?”
ร่างของเหมาจุนและฉีหลีกั่วสั่นสะท้านพร้อมกัน จากคำพูดที่เจ้าหนูนี่กล่าวออกมาหรือว่าเขาจะรู้เรื่องหลอมโลกเบื้องล่างให้กลายเป็นเม็ดยา? เป็นไปไม่ได้! หลักฐานทุกอย่างล้วนแต่ถูกกำจัดทิ้งไปเมื่อหลายพันปีก่อนแล้ว การล้างสมองเองก็ทำให้สมบูรณ์แบบแล้วด้วย และไม่ว่าใครที่พูดถึงเรื่องหลอมโลกให้เป็นเม็ดยาออกมาก็จะต้องถูกสังหารในทันที!
กล้าข่มขู่ให้ห้านิกายโบราณเสื่อมเสียชื่อเสียงงั้นรึ? นั่นไม่ต่างอะไรกับการแส่หาความตาย
“เหอะ มอบทักษะศักดิ์สิทธิ์มาได้แล้ว!” ใบหน้าของเหมาจุนเปลี่ยนเป็นมืดมน
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ที่เจ้าทำได้มีเพียงตะคอกใส่ข้าโดยไม่กล้าลงมืองั้นรึ?”
“ช่างเป็นรุ่นเยาว์ที่อวดดี!” ทั้งเหมาจุนและฉีหลีกั่วมองหน้ากัน พวกเขาทั้งสองเป็นถึงจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวากลับถูกรุ่นเยาว์ระดับตัวอ่อนวิญญาณดูหมิ่น แต่หลังจากที่เห็นพลังต่อสู้ของหลิงฮันเมื่อครู่แล้ว ใครกันจะกล้าลงมือผลีผลาม?
การจะต่อกรกับหลิงฮันนั้น นอกจากตัวตนระดับสวรรค์และระดับทลายมิติแล้ว มีเพียงแค่รุ่นเยาว์แห่งยุคอย่างฉือชิ่วเหริน ตงหลิงเอ๋อและเจียหมิงเท่านั้นที่จะทำได้ แต่ที่พวกเขาไม่รู้ก็คือเจียหมิงนั้นได้เกือบถูกสังหารโดยหลิงฮันแล้ว
“พวกเจ้าทำให้ข้าไม่สบอารมณ์ ข้าจะเป็นฝ่ายลงมือสังหารพวกเจ้าเอง!” ร่างของหลิงฮันพุ่งออกไป เขาไม่ลังเลที่จะนำดาบสังหารออกมาใช้เพื่อเอาชีวิตเหมาจุนและฉีหลีกั่ว
“ฮึ่ม!” ทั้งเหมาจุนและฉีหลีกั่วเค้นเสียงเย็นชา รุ่นเยาว์ระดับตัวอ่อนวิญญาณกล้าเป็นฝ่ายลงมือสังหารพวกเขาก่อนราวกับไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา