หลังจากการต่อสู้ที่เกิดขึ้น จิตใจของประชากรในจักรวรรดิต้าหลิงก็เป็นปึกแผ่นยิ่งขึ้น แต่ร่างของหลิงฮันในตอนนี้สามารถแบกรับได้แค่พลังจักรภพระดับทลายมิติสิบดาวเท่านั้น
มีเพียงเมื่อตอนที่พลังบ่มเพาะของเขาบรรลุระดับทลายมิติจริงๆเท่านั้น เขาถึงจะแบกรับพลังที่มากกว่าเดิมได้
วันเวลาผ่านไปหลายเดือนโดยไม่รู้ตัว
หลิงฮันในตอนนี้บรรลุระดับสวรรค์ขั้นเก้าแล้ว ถึงแม้เขาจะไม่มีคอขวดในการบ่มเพาะพลัง แต่เขาก็จำเป็นต้องขัดเกลารากฐานพลังบ่มเพาะให้แข็งแกร่ง จากที่เขาคาดการณ์เอาไว้น่าจะอีกหนึ่งปีหรือไม่ก็ครึ่งปีเขาถึงจะสมควรทะลวงผ่านระดับทลายมิติ
แค่นี้ก็นับว่ายอดเยี่ยมเกินจะบรรยายแล้ว ต้องรู้ก่อนว่าเขาอายุเพียงยี่สิบเอ็ดปีเท่านั้น ในด้านของอายุนั้นเขาด้อยกว่าอัจฉริยะจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพียงแค่หนึ่งหรือสองปี
แต่ตอนนี้เขาอยู่ในดินแดนเบื้องล่าง!
ดินแดนเบื้องล่างจะเทียบกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้งั้นรึ? ถ้าไม่งั้นแล้วดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะสามารถรุกรานเบื้องล่างได้อย่างไร?
และเนื่องจากตอนนี้ถึงกำหนดหนึ่งปีแล้ว หลิงฮันกับเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนจึงออกเดินทางไปยังมหาสมุทรทางเหนือ เหตุผลแรกคือไปหาลูกของเขา และเหตุผลที่สองคือไปดูว่าเฮ่อเหลียนเทียนหยุนดำเนินแผนการไปถึงไหนแล้ว
บิดามารดาของเขาก็อยากจะพบหลานชายเช่นกัน ดังนั้นหลิงฮันถึงนำพวกเขาเข้าไปในหอคอยทมิฬและพาไปด้วย
ฮูหนิวเองก็ไม่ยอมถูกทิ้งไว้คนเดียวเช่นกัน นางในตอนนี้มีนิสัยเหมือนสตรีขึ้นมาเล็กน้อย บางครั้งบางคราวนางจะเรียนแบบการกระทำของจูเสวียนเอ๋อ ทำให้หลิงฮันรู้สึกขบขันเป็นอย่างมาก
เจ้ากระต่ายนั้นบอกว่ามันไม่เคยไปทะเลมาก่อนดังนั้นมันจึงถูกพาไปด้วย อสูรศิลาเองก็เช่นกัน ตอนนี้มันถูกใช้งานเป็นสัตว์ขี่ของฮูหนิว มันที่ได้รับศิลาต้นกำเนิดจากหอคอยทมิฬมาโดยตลอด ทำให้ในตอนนี้มันห่างจากการบรรลุระดับทลายมิติเพียงก้าวเดียว
อสูรศิลานั้นฉลาดเป็นอย่างมาก มันตัดสินใจเลือกเจ้านายได้ถูกคน! แต่ถึงแม้หากมันกลายเป็นระดับทลายมิติก็ตาม ในสายตาฮูหนิวมันก็ไม่ต่างอะไรกับสุนัขที่ใช้ขี่ได้
กลุ่มของพวกเขาเตรียมตัวและออกเดินทาง
ก่อนที่จะผ่านไปยังมหาสมุทรทางเหนือ หลิงฮันได้หยุดแวะตรวจสอบเหมืองโบราณ ตอนนี้ที่แห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยปราณสีดำ แม้แต่เมืองที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นเมืองจักรพรรดิของแคว้นเพลิงก็ถูกปราณสีดำกลืนกินอย่างสมบูรณ์
ปราณสีดำเหล่านี้เป็นภัยซ่อนเร้นที่อันตราย
หลิงฮันกล่าวคิดในใจ เมื่อใดที่เขาบรรลุระดับทลายมิติ สิ่งแรกที่เขาจะสะสางก็คือปราณสีดำเหล่านี้
พวกเขาเดินทางไปยังมหาสมุทรทางเหนือได้อย่างราบรื่น เพียงแค่สี่วันพวกเขาก็มาถึงจุดหมาย เหตุผลที่ใช้เวลาสั้นเช่นนี้ก็เพราะพลังของหลิงฮันกับฮูหนิวนั้นแข็งแกร่งขึ้น เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่าเดิม
“ใครกัน!” ทหารคุ้มกันพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อหยุดพวกหลิงฮัน
แต่เมื่อพวกเขาเห็นหลิงฮันและคนอื่นๆรอบข้างหลิงฮัน พวกเขาก็เปลี่ยนมาคำนับแสดงความเคารพ
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนโบกมือและกล่าว “ตอนนี้ผู้นำตระกูลอยู่ที่ใด?”
“อยู่ในห้องโถงกลางขอรับ”
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนไม่จำเป็นต้องให้พวกเขานำทางและมุ่งหน้าเข้าสู่ที่พักทันที เมื่อมาถึงนางก็พบเห็นเฮ่อเหลียนหลงกำลังอุ้มเด็กน้อยคนหนึ่งอยู่ในขณะที่กล่าว “เรียกข้าว่าท่านปู่ซะ! เรียกข้าว่าท่านปู่ซะ!”
“ตัวใหญ่! ตัวใหญ่!” เด็กน้อยกล่าวในขณะที่คว้าจับหูของเฮ่อเหลียนหลง
“ข้าคือท่านปู่ ไม่ใช่ตัวใหญ่!” เฮ่อเหลียนหลงราวกลับจะกลายเป็นบ้า หลายเดือนมานี้เขาพยายามล้างสมองเด็กคนนี้หลายครั้งแล้ว แต่เด็กคนนี้ก็ยังเอาแต่เรียกเขาว่าตัวใหญ่
เมื่อเห็นร่างของเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนและหลิงฮันลอยลงมา เฮ่อเหลียนหลงก็ชะงักตกใจที่จู่ๆหลิงฮันโผล่มา
“พ่อ! แม่!” หลิงเจี้ยนเสวี่ยนร้องเรียกเสียงดังและเดินไปหาพวกเขา
‘อั่ก!’ เฮ่อเหลียนหลงแทบจะกระอั่กโลหิตออกมา เขาจำไม่ได้แล้วว่าเขาใช้เวลาสอนเด็กน้อยผู้นี้มานานเท่าไหร่แล้ว แต่เด็กน้อยก็ยังเอาแต่เรียกเขาว่า ‘ตัวใหญ่’ เด็กน้อยไม่เคยเรียกเขาว่าท่านปู่เลยสักครั้ง แต่เมื่อหลิงฮันกับเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนปรากฏตัว เด็กน้อยกลับเรียกพวกเขาว่าพ่อ แม่ได้อย่างถูกต้อง
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนทั้งรู้สึกดีใจและเสียใจไปพร้อมๆกัน นางไม่เคยมีเวลาดูแลสอนลูกนางเลย แต่ลูกของนางก็ยังเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง นางกอดลูกเอาไว้และกล่าว “เด็กดี ข้าจะไม่แยกห่างจากเจ้าอีกแล้ว!”
“ฮ่าๆๆ เจ้าเด็กอวดดี ในที่สุดเจ้าก็มาเสียที!” เฮ่อเหลียนเทียนหยุนบินเข้ามา หนึ่งปีที่ผ่านมานี้เขากลับมามีพลังระดับสวรรค์แล้ว ออร่ามังกรของเขาเองก็แข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน ที่ออร่าของเขาแข็งแกร่งขึ้นเพียงเล็กน้อยก็เพราะว่าออร่าของเขานั้นบรรลุจุดสูงสุดซึ่งเป็นขีดจำกัดแล้ว
ถึงแม้หลิงฮันจะคิดถึงลูกของตนเอง แต่เขากลับรู้สึกดีใจมากกว่าเมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของลูกเขา เด็กน้อยคนนี้ยังอายุไม่ถึงสองปีแต่กลับมีพลังกายที่เทียบเท่าระดับก้าวสู่เทวาแล้ว การพัฒนาของเขาเป็นไปอย่างน่าอัศจรรย์
“สถานการณ์ของโลกภายนอกเป็นเช่นไรบ้าง?” เฮ่อเหลียนเทียนหยุนถามด้วยความสงสัย
เมื่อคุยกับไปสักพักเฮ่อเหลียนเทียนหยุนก็กล่าวขึ้นด้วยความภูมิใจ “ตอนนี้มหาสมุทรทั้งสี่อยู่ในการควบคุมของข้าแล้ว และพื้นที่กว่าครึ่งของมหาสมุทรกลางก็ยอมจำนนต่อข้าแล้วเช่นกัน เจ้ามาได้จังหวะพอดี ข้าวางแผนจะบุกช่องแคบสมุทรจักรพรรดิอยู่พอดี ข้าขอชวนให้เจ้าไปด้วยเพื่อดูเรื่องสนุกๆ”
ออร่ามังกรคืออำนาจเด็ดขาด เผ่าใต้สมุทรที่มีจอมยุทธระดับทลายมิติอยู่มากมาย แต่ทุกคนกลับต้องจอมจำนนต่อเด็กน้อยที่มีพลังเพียงระดับสวรรค์ผู้นี้
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ตกลง ข้าจะไปดูก็แล้วกัน”
ด้วยสายเลือดมังกรที่แท้จริงของเฮ่อเหลียนเทียนหยุน เผ่าสมุทรเกือบจะทุกตระกูลจึงเลือกที่จะอยู่ภายใต้การปกครองของเขา แต่ตระกูลจักรพรรดินั้นไม่ยินยอม พวกเขามีเบื้องหลังจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์คอยช่วยเหลืออยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะต่อต้านจนถึงที่สุด
หลังจากการเตรียมเป็นเวลาสามวัน กองทัพก็ถูกจัดตั้งและออกเดินทาง จำนวนของจอมยุทธระดับทลายมิติที่รวบรวมมาได้มีมากถึงสามร้อยคน ที่มีจำนวนแค่นี้เพราะต้องมีจอมยุทธระดับทลายมิติส่วนหนึ่งที่อยู่ดูแลเมือง ไม่เช่นนั้นจำนวนของกองทัพคงจะมีสี่ร้อยคนได้ไม่ยาก
ถิ่นฐานของตระกูลใหญ่ในมหาสมุทรทั้งสี่นั้นอยู่บนเกาะ แต่ถิ่นฐานของตระกูลจักรพรรดินั้นต่างออกไป พวกเขาอาศัยอยู่ใต้ทะเลลึกภายในช่องแคบสมุทรที่ล้อมรอบไปด้วยสัตว์อสูรใต้ทะเลยักษ์ แม้อสูรเหล่านั้นจะไม่มีสติปัญญา แต่ด้วยพลังบ่มเพาะและขนาดตัวของพวกมัน พวกมันจึงมีพลังต่อสู้ถึงสิบห้าดาว
พวกมันคือผู้คุ้มกันของช่องแคบสมุทรจักรพรรดิ พวกมันคือผู้คุ้มกันสุดแข็งแกร่งที่แม้แต่จอมยุทธระดับทลายมิติก็ต้องถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆหากพบเจอกับพวกมัน
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเฮ่อเหลียนเทียนหยุน สัตว์อสูรใต้ทะเลพวกนี้ย่อมไม่นับเป็นอันใดได้
ที่ตระกูลจักรพรรดิสามารถควบคุมพวกมันให้คุ้มครองช่องแคบสมุทรจักรพรรดิได้เป็นเพราะสัตว์อสูรพวกนี้หวาดกลัวต่อออร่ามังกรของพวกเขา สายเลือดมังกรของตระกูลจักรพรรดินั้นบริสุทธิ์มากจนแม้แต่เฮ่อเหลียนหลงก็ไม่อาจเทียบได้
แต่ใครคือเฮ่อเหลียนเทียนหยุน? ในครั้งอดีตกาลเขาคือครึ่งมังกรที่แท้จริง และตอนนี้ร่างของเขาได้ผสานรวมกับเขี้ยวของมังกรที่แท้จริงแล้ว ออร่ามังกรของเขาย่อมแข็งแกร่งกว่าครั้งอดีต เพียงแค่เขานึกคิดอสูรใต้สมุทรก็เผ่นถอยหนี
เบื้องหน้าพวกเขาในตอนนี้คือช่องแคบสมุทรขนาดใหญ่
“บังอาจบุกรุกตระกูลจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ พวกเจ้ารับรู้ถึงบาปของตนเองรึไม่?” เสียงที่เย็นชาดังขึ้นจากช่องแคบสมุทร