หลิงฮันอดหัวเราะไม่ได้ “ทำจะบอกให้ข้าเชื่อว่าสุนัขสามารถเปลี่ยนสันดานดิบของมันได้?”
“สตรีเหล่านี้ถูกข้าใช้ทักษะลับใส่ไว้ทุกคนแล้ว ขอแค่ข้าคิด หัวใจของพวกนางก็จะระเบิดและตาย! ยิ่งกว่านั้นหากหัวใจของข้าหยุดเต้น พวกนางก็จะประสบชะตาเช่นเดียวกัน!” หูเจียนอี่แสยะยิ้ม “เจ้าเป็นถึงจักรพรรดิของจักรวรรดิต้าหลิง เจ้าจะยอมเห็นผู้คนบริสุทธิ์ตกตายเพราะเจ้าเป็นเหตุได้งั้นรึ?”
“ย่อมไม่!” หลิงฮันส่ายหัว
หูเจียนอี่ยิ้มร่าและกล่าว “งั้นก็รีบให้คำมั่นสาบานกับข้าซะ!”
“ใครบอกกันว่าข้าจะปล่อยเจ้าไป?” หลิงฮันยิ้ม “คนชั่วช้าเช่นเจ้า อย่าได้ริอาจสำคัญตนผิดไป”
“บัดซบ!” แววตาของหูเจียนอี่เดือดดาล “เจ้าหยอกล้อข้ารึ? จะอย่างไรถึงแม้ชะตากรรมของข้าจะหนีไม่พ้นความตาย แต่สตรีพวกนั้นก็จะตามข้าไปด้วย ข้าไม่ได้ร่วงหล่นสู่เส้นเส้นทางแห่งความตายแต่เพียงผู้เดียว!”
“เจ้าบอกอยู่ว่าเจ้าจะกลับตัวกลับใจ แต่ทำไมเจ้ายังมีความคิดเช่นนี้อยู่อีก?” หลิงฮันยิ้ม
“เหอะ ข้าจะสังหารพวกนางบางคนให้เจ้าเห็นก่อนก็แล้วกัน!” หูเจียนอี่กล่าว
ในเมื่อหลิงฮันกลายเป็นผู้ปกครองของภูมิภาคกลาง เขาก็คิดเอาไว้แล้วว่าวันนี้คงมาถึงสักวัน
พรึบ!
หูเจียนอี่รู้สึกว่ามีอะไรผ่านหน้าเขาไป จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงหัวใจดังขึ้นตรงหน้า ในตอนแรกเขายังเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสน เขาไม่คิดเลยว่าหลิงฮันจะกล้าลงมืออย่างไม่ลังเลเช่นนี้ นี่หลิงฮันไม่สนใจชีวิตของสตรีเหล่านั้นเลยรึไง?
เขามองไปยังหลิงฮันและเห็นหัวใจสีแดงอยู่ในมืออีกฝ่าย สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือทำไมหัวใจในมือเขายังเต้นตุบๆอยู่
จู่ๆเขาก็รู้สึกเจ็บปวดที่หน้าอก!
หูเจียนอี่ก้มลงมอง เขาพบว่าที่หน้าอกของเขามีรูโบ๋และโลหิตทะลักออกมา เขารู้สึกตัวทันทีว่าหัวใจในมือหลิงฮันต้องเป็นหัวใจของเขาแน่!
หลิงฮันคว้าหัวใจเขาไปตอนไหนกัน?
ความคิดของหูเจียนอี่เต็มไปด้วยความมึนงง สติของเขาเริ่มกลายเป็นเรือนราง เขากำลังคิดจะส่งผ่านความคิดสั่งให้สตรีเหล่านั้นตกตายไปกับเขาด้วย แต่เขาก็พบว่าเขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้
สติของหูเจียนอี่เริ่มค่อยๆหายไป จนในที่สุดเขาก็กลายเป็นเพียงคนตาย
หลิงฮันเดินไปยังลานและก้าวขึ้นไป ‘ฮึ่ม’ เพียงแค่ปลดปล่อยออร่าออกมา ลูกศิษย์ทุกคนก็สั่นกลัวและไม่กล้าขยับนิ้ว หลิงฮันใช้สัมผัสสวรรค์กวาดผ่านลานประลอง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ เหล่าลูกศิษย์ของนิกายวายุจันทราล้มลงและตกตาย หลังจากนั้นสตรีเหล่านั้นก็ถูกเขาปล่อยให้เป็นอิสระ
หลิงฮันเรียกทหารจากเมืองใกล้ๆมาเพื่อให้พวกเขาพาสตรีเหล่านี้กลับไป เรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นนี้ในฐานะผู้ปกครองอาณาจักรแล้วเขาไม่จำเป็นต้องทำเอง หลิงฮันใช้ความคิดเชื่อมต่อกับธงสัญลักษณ์ เมื่อทำเช่นนี้ทุกเหตุการณ์ในทวีปก็อยู่ในการรับรู้ของเขา
เขายืนแน่นิ่งชั่วขณะก่อนจะลืมตาขึ้นเล็กน้อย
พบแล้ว!
เขาลอยขึ้นฟ้าและบินไปยังอาณาเขตหนึ่งของภูมิภาคกลาง
……
หนึ่งวันต่อมาหลิงฮันก็มาถึงเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง เมื่อวันก่อนเขาค้นพบร่องรอยของนิกายพันศพผ่านธงสัญลักษณ์ ซึ่งร่องรอยที่ว่าก็คือร่องรอยของตัวตนระดับสูงของนิกายพันศพ… ศพที่ยิ่งใหญ่!
ก่อนจะขึ้นไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เขาต้องกำจัดนิกายพันศพทิ้งให้สิ้นซาก ส่วนคนของห้านิกายโบราณอย่างราชันดาบนั้น เขาหาร่องรอยไม่พบแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาไปหลบอยู่ในป่าลึกแห่งใด เป็นไปได้ว่าเมื่อใดที่พระเจ้าจากเบื้องบนลงมารุกราน เมื่อนั้นเขาถึงจะปรากฏตัวออกมา
เขาเดินตามร่องรอยของศพที่ยิ่งใหญ่จนมาถึงแม่น้ำโดยไม่รู้ตัว
เบื้องหน้ามีเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่บนโขดหิน แววตาของเขาเพ่งเขม็งไปยังแม่น้ำ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและไม่พอใจ
เขาดูเป็นรุ่นเยาว์อายุเพียงราวๆสิบห้าสิบหกปี แต่เขากลับทำหน้าตาเหมือนกับพบเจอความทรมานของการมีชีวิต
“เจ้าจะโดดลงแม่น้ำรึ?” หลิงฮันเอ่ยถามพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้
รุ่นเยาว์ผู้นี้สวมชุดหรูหราแต่เนื้อผ้ากลับเก่าเป็นอย่างมาก เสื้อผ้าของเขาถูกซักจนสีซีดจางราวกับว่าเขาไม่มีชุดให้เปลี่ยน เขามองกลับมายังหลิงฮันและกล่าว “ท่านวางใจได้ ข้าไม่กระโดดลงไปหรอก”
“ดูท่าท่าทีของเจ้าแล้ว ข้ารู้สึกเหมือนเจ้าจะโดดลงน้ำไปได้ตลอดเวลา” หลิงฮันยิ้ม
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่านนี่?” ชายหนุ่มกล่าวอย่างไม่แยแส
หลิงฮันตอบกลับ “ลองกล่าวมาสิว่าเจ้ากำลังพบเจอกับปัญหาอันใด?”
เด็กหนุ่มคนนั้นจ้องมองหลิงฮันอีกครั้ง แน่นอนเขาไม่คิดจะพูดคุยกับคนแปลกหน้า แต่น้ำเสียงคำพูดของหลิงฮันกลับทำให้เขาเปิดปากพูดออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ชื่อของข้าคือติงผิง ข้าคือผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของตระกูลติง ข้าเคยเป็นอัจฉริยะมาตั้งแต่เด็กและมีคู่หมั้นที่งดงามมาก เพียงแต่ว่ารากฐานวิญญาณของข้ากลับไม่ตื่นขึ้นเสียที จนในที่สุดเมื่อครึ่งปีก่อนข้าก็สามารถปลุกมันขึ้นมาได้ แต่ถึงจะอย่างนั้นรากฐานวิญญาณของข้ากลับเป็นรากฐานวิญญาณที่เหือดแห้ง ไม่สามารถบ่มเพาะพลังได้!”
“ตอนนี้ผู้คนในตระกูลมองข้าเป็นเพียงขยะไร้ค่า แถมคู่หมั้นของข้ายังยกเลิกข้อตกลงหมั้นหมายอีก!”
“ข้าเกลียดที่พระเจ้าทำกับข้าเช่นนี้!”
“แต่ที่ข้าไม่พอใจยิ่งกว่าก็คือในช่วงหลายปีที่ผ่ามา ข้าตรากตรำอีกกว่าใครอื่น แต่ทำไมข้าถึงต้องตกต่ำกว่าพวกเขา?”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างขุ่นเคือง
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “โลกนี้ใช่ว่าแค่พยายามจะทำให้ประสบความสำเร็จ”
“แต่ว่าถ้าเจ้าไม่พยายาม เจ้าก็จะไม่ประสบความสำเร็จเช่นกัน” หลิงฮันกล่าวอีกครั้งและมองไปยังติงผิง “กลิ่นอายของเจ้าทรงพลังไม่น้อย”
ติงผิงอดแสดงท่าทีภาคภูมิใจออกมาไม่ได้ “ต่อให้เป็นคนที่บ่มเพาะพลังมาแล้วสี่ถึงห้าปี ก็ไม่สามารถทัดเทียมข้าได้!”
เรื่องนี้ค่อนข้างน่าตกตะลึง หากบ่มเพาะพลังสี่ถึงห้าปี จอมยุทธที่ว่าย่อมบรรลุระดับหลอมกายาขั้นห้าแล้วแน่นอน
หลิงฮันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ทรงพลังและเลือดที่เร้าร้อนจากติงผิง “แสดงให้ข้าเห็น!”
ติงผิงไม่สบอารมณ์เล็กน้อย เจ้าไม่เห็นว่าข้ากำลังรู้สึกเป็นทุกข์อยู่? แต่คำพูดที่หลิงฮันใช้นั้นราวกับว่าเป็นคำพูดของตัวตนที่สูงส่ง ดังนั้นเขาจึงทำตามโดยไม่รู้ตัว ติงผิงกระโดดลงมาจากโขดหินและใช้สองมือยกโขดหินขึ้นมา โขดหินที่ว่านั้นมีขนาดใหญ่กว่าวัวตัวนึงเสียอีก
โขดหินก้อนนี้หนักอย่างน้อยหมื่นปอนด์!
หลิงฮันตกตะลึง เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าแค่พลังกายเพียงอย่างเดียวเด็กหนุ่มคนนี้จะยกโขดหินขนาดใหญ่ขึ้นมาได้ เขาโคจรเนตรแห่งสัจธรรมและมองผ่านเข้าไปในร่างกายอีกฝ่าย ทันใดนั้นเขาก็พบกับสิ่งที่น่าแปลกประหลาด
โครงสร้างกระดูกของเด็กหนุ่มผู้นี้แตกต่างกับคนทั่วไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งโครงสร้างกระดูกที่น่าอัศจรรย์นี้ทำให้เขาสามารถออกแรงยกของที่มีน้ำหนักหลายพันหลายหมื่นปอนด์ได้
แน่นอนว่าหากจะกระตุ้นให้ร่างกายที่พลังเช่นนั้น กระดูกของเด็กหนุ่มคนนี้ต้องทนทานเป็นอย่างมาก ไม่เช่นนั้นหากกระตุ้นใช้พลังซ้ำไปซ้ำมากระดูกของเขาจะต้องแตกหัก นอกจากนี้บนกระดูกของเขายังมีลวดลายสลักเอาไว้อีกด้วย
หลิงฮันอดฉีกยิ้มและกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้นไม่ได้ “เจ้าหนุ่ม ให้ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้า!”