ในตำแหน่งที่ไกลออกไป หลิงฮันยิ้มพร้อมกับพึมพำ “มาทำให้สถานการณ์มันน่าสนุกกว่านี้ดีกว่า”
เขาเชื่อมต่อความคิดกับธงสัญลักษณ์แล้วส่งคำสั่งออกไป
ทางด้านติงเฟยเหวินรีบไปรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ตระกูลฟังทันที แน่นอนเขารายงงานไปว่าติงผิงให้แผนการที่ชั่วร้ายและไร้ยางอายกับเขาพร้อมกับขอให้ตระกูลใช้กฎของตระกูลลงโทษติงผิง
เรื่องนี้ทำให้ตระกูลโกรธเป็นอย่างมาก ติงผิงช่างไม่เจียมเนื้อเจียมตัวจริงๆ ถึงแม้เขาจะยังไม่ถูกถอดถอนสถานะนายน้อย แต่เขากลับกล้าถึงขนาดใช้แผนร้ายกับคนในตระกูลเลยรึ?
“เรียกติงผิงมาเดี๋ยวนี้!” เสียงคำรามดังขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ขอรับ!”
ติงผิงที่เพิ่งกลับมาถึงตระกูลเขาก็ทำการอาบน้ำและซักเสื้อผ้า ในขณะที่เขายังซักผ้าไม่เสร็จเขาก็ถูกตระกูลเรียกตัวเสียก่อน
เขารู้อยู่แล้วว่าติงเฟยเหวินคงจะเล่นไม่ซื่อ แต่ถึงอย่างนั้นตัวเขาที่ไม่ได้ทำอะไรผิดก็ยอมตามชายสองคนไปยังห้องโถงตระกูลแต่โดยดี
“คารวะผู้นำตระกูลและเหล่าผู้อาวุโส!” ติงผิงไม่มีทีท่าหยิ่งยโส เขาก้มหัวให้กับเหล่าเบื้องบนและยืนตรง
“ติงผิง เจ้ารู้ความผิดของเจ้ารึไม่?” ผู้อาวุโสถาม
ติงผิงส่ายหัวและกล่าว “ข้าไม่รู้!”
“สามหาว!” ผู้อาวุโสอีกคนตะโกน “เจ้าใช้แผนการชั่วร้ายสร้างความบาดเจ็บต่อติงเฟยเหวิน เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวรึไม่?”
“ขอตอบผู้อาวุโสเจ็ด ข้าไม่ได้ใช้แผนการอะไรทั้งสิ้น แต่เข้าโค่นล้มเขาด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ถ้าผู้อาวุโสไม่เชื่อข้าสามารถประลองกับติงเฟยเหวินอีกครั้ง!” ติงผิงกล่าว
“พูดจาไร้สาระ!” ผู้อาวุโสส่ายหัว เขาไม่เชื่อเด็ดขาดว่าติงผิงจะมีความสามารถพอที่จะโค่นติงเฟยเหวินได้ อีกฝ่ายจะต้องมีวิธีบางอย่างที่ใช้ตบตาพวกเขาแน่นอน
“ไม่ต้องพูดพล่ามแล้ว ข้าขอประกาศให้ถอดถอนสถานะผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของติงผิงตั้งแต่วันนี้” ผู้นำตระกูลกล่าว พวกเขาเคยปรึกษาหารือเรื่องนี้กันมาตั้งแต่ครึ่งปีก่อนแล้ว แต่เพราะเห็นแก่ครอบครัวของติงผิงที่สร้างคุณงามความดีต่อตระกูลมามากมาย เขาจึงไม่ได้ถอดถอนสถานะของเขาในทันที
แต่วันนี้การกระทำของติงผิงนั้นเกินกว่าที่ตระกูลจะไว้หน้าเขา ด้วยความโกรธพวกเขาจึงถอดถอนสถานะโดยไม่ลังเล
เหตุการณ์เช่นนี้อยู่ในการคาดการณ์ของติงผิงแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่คิดอะไร แต่การที่ตระกูลฟังแต่คำพูดของติงเฟยเหวินฝ่ายเดียวนั้นเขาให้เขารู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมและรู้สึกโกรธมาก
“ข้าไม่ยอมรับ!” ติงผิงกล่าว
“ไม่ยอมรับ? เจ้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินในเรื่องนี้!” ผู้อาวุโสเจ็ดกล่าว “เจ้าคิดว่าเจ้ายังมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่งอยู่งั้นรึ?”
ติงผิงกล่าว “ข้าไม่ได้ไม่ยอมรับในเรื่องนั้น แต่ผู้อาวุโสไม่ควรฟังคำพูดของติงเฟยเหวินอยู่ฝ่ายเดียว”
“งั้นเจ้าจะบอกว่าข้าควรเชื่อว่าเจ้าสามารถโค่นติงเฟยเหวินได้ด้วยความสามารถของเจ้าจริงๆ?” ผู้อาวุโสสี่หัวเราะ ช่างน่าขัน ติงผิงมีพละกำลังมากกว่าคนปกติก็จริง แต่นั้นก็เทียบได้กับจอมยุทธระดับหลอมกายาขั้นห้าหรือหกเท่านั้น
“แล้วทำไมท่านถึงไม่เชื่อล่ะ?” ติงผิงยอกย้อน “ให้เขามาที่นี่แล้วข้าจะจัดการเขาอีกครั้ง!”
“อวดดีอะไรเช่นนี้!” ผู้อาวุโสสี่คำราม “เจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? รีบจับกุมตัวเขาไว้ โทษที่ติงผิงได้รับจะเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเพื่อเป็นตัวอย่างต่อสมาชิกตระกูลคนอื่น!”
“ข้าไม่ยอมรับ! ข้าไม่ยอมรับเด็ดขาด!” ติงผิงพูดด้วยความโกรธเกรี้ยว ในตอนนี้เขาหวังให้ตัวเองมีอำนาจสูงส่งพอจะจัดการคนเหล่านี้เพื่อให้พวกเขารับฟังคำพูดของเขาเสียเหลือเกิน
“เจ้าไม่ยอมรับคำตัดสินของตระกูลงั้นรึ?” ผู้อาวุโสสามเค้นเสียงกล่าว “จับกุมตัวเขาไว้!”
“ขอรายงาน!” ในตอนนั้นก็มีคนรีบวิ่งเข้ามา
“เอะอะอะไรกัน เจ้าไม่รู้รึว่าตระกูลกำลังประชุมกันอยู่?” ผู้อาวุโสสามกล่าวด้วยความไม่พอใจ
“ขะ… ขอรายงานท่านผู้นำและผู้อาวุโสทั้งหลาย เจ้าเมืองกำลังมาที่นี่!” บ่าวรับใช้กล่าว
‘พรึบ’ ผู้นำตระกูลติงและเหล่าผู้อาวุโสลุกขึ้นยืน เจ้าเมืองงั้นรึ! ชายผู้นี้คือคนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเมืองนี้ เป็นตัวตนที่พวกเขาทำได้เพียงแหงนหน้ามอง! ต้องรู้ก่อนว่าแม้แต่จอมยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลติงยังเป็นเพียงจอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณเท่านั้น ส่วนเจ้าเมืองน่ะรึ? เขาเป็นตัวจอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน!
“รีบพาข้าไปพบเร็วเข้า!” ผู้นำตระกูลติงนั่งไม่ติดพื้น เขารีบนำเหล่าผู้อาวุโสไปต้อนรับทันที
เจ้าเมืองเป็นตัวตนระดับสูงขนาดไหนกัน? ทำไมจู่ๆเขาถึงได้มาพบพวกเขาเช่นนี้? นี่เป็นวาสนาหรือภัยพิบัติของตระกูลติงกันแน่?
เมื่อพวกเขาไปที่ประตู พวกเขาก็พบเห็นชายร่างสูงยืนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าตระกูล เขาดูมีอายุราวๆสี่สิบปีเท่านั้น กลิ่นอายของเขาทรงพลังเป็นอย่างมาก
สำหรับพวกเขา จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานก็ไม่ต่างอะไรกับพระเจ้า ตัวตนระดับนี้สามารถเหาะเหินบนอากาศได้
“คารวะเจ้าเมือง!” พวกเขาคุกเข่าลงกับพื้นและคารวะ
เจ้าเมืองมี่ชื่อว่าเลี่ยวเจิ้น เมื่อได้รับคำสั่งจากหลิงฮันเขาก็รีบมาที่ตระกูลติงทันที แม้แต่ผู้ติดตามเขาก็ไม่มีเวลาพามาด้วย เขาหัวเราะและกล่าวออกไป “ตระกูลติงช่างมีวาสนาสูงนัก ในฐานะเจ้าเมืองข้าขอแสดงความยินดีด้วย!”
วาสนาอะไร?
ใบหน้าทุกคนชะงัก ทำไมพวกเขาไม่รู้เรื่องนี้แม้แต่น้อย?
“เจ้าไม่รู้งั้นรึว่าตระกูลเจ้ามีคนโชคดีมากถึงขนาดได้เป็นศิษย์ของท่านผู้นั้น?” เลี่ยวเจิ้นยิ้ม
ว่าไงนะ!
ตระกูลติงตกตะลึง แม้แต่เจ้าเมืองยังเรียกคนที่ว่าท่านผู้นั้น อีกฝ่านมีสถานะเช่นใดกันแน่? จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณงั้นรึ? แต่ไม่ใช่ว่าติงเฟยเหวินถูกรับเป็นศิษย์ของนิกายชื่อยื่อหรอกรึ?
เจ้าเด็กคนนี้! เจ้าได้เป็นถึงศิษย์ของตัวตนระดับตัวอ่อนวิญญาณ แต่เจ้ากลับบอกพวกข้าเพียงแค่ว่าเจ้าได้เข้าร่วมนิกายชื่อยื่อ
ให้ตายเถอะ ทำไมเจ้าถึงต้องถ่อมตัวขนาดนั้นด้วย ไม่ใช่ว่าเจ้าควรจะแสดงท่าทีภาคภูมิใจออกมางรึไง
ตระกูลติงครุ่นคิดและเข้าใจเรื่องราวทันที “รีบไปพาติงเฟยเหวินมา” ผู้นำตระกูลติงกล่าว
ผ่านไปไม่นานติงเฟยเหวินก็มาถึง แต่ใดหน้าของเขาถูกติงผิงชกเข้าใส่ ดังนั้นตอนนี้ใบหน้าของเขาจึงปรากฏรอบช้ำสีม่วงรูปวงกลมซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ดูไม่ค่อยดีเหล่าไหร่ เลี่ยวเจิ้นชะงักจนปากกระตุก ลูกศิษย์ของท่านผู้นั้น… ทำไมถึงมีสภาพย่ำยาเช่นนี้ได้?
แต่ในเมื่อตระกูลติงเป็นคนเรียกตัวเขามาเอง ดังนั้นต้องไม่ผิดคนแน่ เลี่ยวเจิ้นยิ้มและกล่าว “นายน้องติง ข้ายินดีกับเจ้าด้วยที่ได้เป็นลูกศิษย์ของท่านผู้นั้น”
สมองติงเฟยเหวินเต็มไปด้วยความสับสน ทั้งผู้อาวุโสตระกูลและเจ้าเมืองต่างก็มีท่าทีสุภาพต่อเขาราวกับว่าเขาเป็นคนสำคัญอย่างไรอย่างนั้น
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
แม้เขาจะได้เข้าร่วมกับนิกายชื่อยื่อแต่เขาก็ไม่ได้มีสถานะที่สูงส่งเช่นนั้น!