“เปิดสวรรค์!”
“เป็นไปได้อย่างไร ในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิราชวงศ์ดวงดาราหายนะ เรื่องเช่นนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!”
พี่น้องตระกูลหลัวไม่เชื่อ
คิ้วของหลัวหงขมวดเข้าหากันเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจ “ไม่เคยเกิดขึ้นหมายถึงจะไม่มีทางเกิดขึ้นงั้นรึ? หากเป็นเช่นนั้นแล้วคำว่าปาฏิหาริย์จะมีความหมายหรืออย่างไร? นอกจากนั้นถึงแม้ในจักรวรรดิของเราจะไม่เคยเกิดขึ้นก็ใช่ว่าที่อื่นจะไม่เคยเกิดขึ้น”
พี่น้องตระกูลหลัวตกตะลึงจนตัวแข็ง พวกเขาไม่เคยคิดเช่นนั้นมาก่อน
“อย่างเมื่อสามแสนปีก่อน ที่จักรวรรดิฉือไร้เทียมทานได้มีสุดยอดอัจฉริยะปรากฏตัวขึ้น หลังจากขึ้นมาบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์เขาใช้เวลาเพียงร้อยกว่าปีในการบรรลุระดับภูผาวารีขั้นสูงสุด”
เมื่อใดยินเช่นนั้นสองพี่น้องตระกูลหลัวก็เหงื่อตกทันที การบรรลุระดับภูผาวารีด้วยเวลาร้อยปีนั้นเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มาก ต้องรู้ว่าจ้าวหลุนที่เป็นอัจฉริยะของสำนักนั้นแม้จะมีอายุห้าร้อยปีแล้วก็ยังบรรลุเพียงระดับภูผาวารีขั้นสูง
“เช่นนั้นแล้วทำไมถึงไม่มีเรื่องราวของจักรวรรดิฉือไร้เทียมทานบันทึกเอาไว้?” หลัวป้าถาม
“นั่นเพราะจักรวรรดิฉือไร้เทียมทานเป็นจักรวรรดิของโลกใบเล็กและจักรพรรดิก็ปิดบังสถานะของตนเองเอาไว้พร้อมกับเข้ามาเป็นศิษย์ของำนักนภาสีชาดเป็นเวลาร้อยปี” หลัวหงกล่าว
“จักรวรรดิฉือไร้เทียมทาน? หรือว่าเขาจะเป็นคนที่ทิ้งจิตวิญญาณเอาไว้หอคอยดาราขาว… ฉือเหลิน ?” หลัวป้ารู้สึกตัวทันที
“อืม” หลัวหงพยักหน้า
“แต่ทำไมถึงไม่มีเรื่องราวของเขาถูกเล่าขานเลย?” หลัวป้าสงสัย
“นั่นเพราะชายคนนั้นแอบลอบเข้าไปในคลังสมบัติของจัรวรรดิและต้องการขโมยสมบัติแห่งจักรวรรดิ ดังนั้นเขาจึงถูกจักรพรรดินีลบล่องลอยทุกอย่างทิ้งไป เพียงแต่ว่าหอคอยดาราขาวนั้นมิติอิสระและไม่มีใครแข็งแกร่งเหนือกว่าชายคนนั้นได้ ร่องรอยหนึ่งเดียวของเขาจึงยังคงเหลืออยู่ในหอคอยดาราขาว” หลัวหงเล่า
พี่น้องตระกูลหลัวกลายเป็นแน่นิ่ง กล้าถึงขนาดแอบลอบเข้าไปขโมยสมบัติของจักรวรรดิ ความกล้าของชายคนนั้นช่างน่านับถือจริงๆ
‘ที่ข้าจะบอกพวกเจ้าคือก่อนที่พวกเจ้าคิดจะจัดการใคร พวกเจ้าต้องรู้ข้อมูลของอีกฝ่ายก่อน ไม่เช่นนั้นคนที่ถูกจัดการอาจจะเป็นพวกเจ้าเอง’ หลัวหงกล่าว
“พวกเราเข้าใจแล้วขอรับท่านผู้นำ!” พี่น้องตระกูลหลัวกล่าวด้วยความเคารพ
“เอาล่ะ ข้าจะถามอีกครั้ง เจ้ามีความมั่นใจว่าจะจัดการศัตรูของเจ้าได้รึไม่?” หลัวหงมองไปยังหลัวด้วยสายตาแหลมคม
หลัวป้าชะงักในใจก่อนจะกล่าวเสียงดัง “เพื่อกู้หน้าของตระกูล หลัวป้าผู้นี้จะไปยังหุบเขากระบี่เพื่อฝึกฝนตนเอง!”
“ฮ่าๆๆ!” หลัวหงหัวเราะและทุบโต๊ะ “ก็ดี!” เขาโยนก้อนหินสีแดงออกมาและกล่าว “นี่คือศิลาหยาดโลหิต มีคำกล่าวว่าศิลานี้เกิดขึ้นเมื่อสัตว์อสูรระดับพระเจ้าได้รับเจ็บสาหัสจนโลหิตไหลริน โลหิตเหล่านั้นได้กัดเซาะหินธรรมดาจนมีกลิ่นอายของสัตว์อสูรระดับพระเจ้าหลงเหลืออยู่”
“เจ้าจงดูดซับมันและขัดเกลาพลังต่อสู้ให้ถึงขีดกำจัดยี่สิบดาวซะ! เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าจงสังหารศัตรูของเจ้าทิ้ง!”
ใบหน้าของหลัวหงมืดมน แม้ผลึกก่อเกิดสองพันก้อนจะไม่เกินมือเขา แต่สิ่งที่ทำให้เขาโมโหก็คือการที่มดปลวดจากโลกใบกล้ามาต่อรองกับตระกูลหลัว ถ้าไม่ใช่เพราะมีสำนักนภาสีชาดอยู่ เขาคงส่งคนไปปิดชีพหลิงฮันแล้ว
หลัวป้าตื่นเต้น ศิลาหยาดโลหิตคือสมบัติที่ล้ำค่าอย่างแท้จริงของจอมยุทธระดับทลายมิติ ด้วยกลิ่นอายสัตว์อสูรระดับพระเจ้า เขาจะสามารถขัดเกลาพลังต่อสู้ให้เพิ่มขึ้นได้หลายเท่า
หลัวหลี่มีท่าทีอิจฉา เขาเองก็เป็นอัจฉริยะของตระกูลหลัวเช่นกันแต่กลับต้องถูกหลัวป้าทิ้งห่างไว้ด้านหลัง
เขาต้องการศิลาหยาดโลหิตเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำได้เพียงกำหมัดแน่นและแสร้งทำเป็นแสดงความดีใจต่อหลัวป้า
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผู้นำไม่ได้กล่าวออกมาแต่เขาได้ยินมาจากคาบเรียนของสุ่ยเยี่ยนยวี่ นั่นคือจอมยุทธที่เปิดสวรรค์สำเร็จจะได้รับวาสนาจากสวรรค์และปฐพีเป็นพลังต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นสามดาว!
และหากจะเปิดสวรรค์ได้สำหรับจอมยุทธผู้นั้นก็จำเป็นต้องมีพลังต่อสู้ระดับทลายมิติยี่สิบดาว หากบวกกับสามดาวที่เดิมขึ้นมา จอมยุทธผู้นั้นก็ต้องมีพลังต่อสู้สี่สิบสามดาวเป็นอย่างน้อยสินะ?
แม้หลัวป้าจะดูดซับศิลาหยาดโลหิตไปก็ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของหลิงฮัน!
ถ้าหาก… ทั้งสองคนตัดสินสู้เป็นตายกันล่ะ?
หลัวหลี่แสยะยิ้ม ใครจะตายก็ล้วนเป็นผลดีสำหรับเขาไม่ใช่รึไม่? ถ้างั้นแล้วทำไมเขาจะต้องพูดเตือนหลัวป้าด้วย?
เขาเองก็เป็นคนที่ทะเยอทะยานเหมือนกัน เขาจะไม่ยอมถูกทิ้งห่างเอาไว้คนเดียวแน่นอน
“หลังจากดูดซับศิลาหยาดโลหิตแล้วรีบไปท้าประลองศัตรูของเจ้าซะ ครั้งนี้ห้ามทำให้ข้าผิดหวังเด็ดขาด!” ใบหน้าของหลัวหงเปลี่ยนเป็นดุดัน
“หลัวป้าจะไม่ทำให้ความคาดหวังของท่านผู้นำเสียเปล่า!” หลัวป้าความอย่างตื่นเต้น หากดูดซับศิลาหยาดโลหิตแล้วเขาจะกลายเป็นจอมยุทธระดับทลายมิติที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งหลิงฮัน หม่าชิง เฉิงฮ่าวเฟยจะต้องถูกเขาก้าวข้าม
จื่อหยุนเอ๋อที่สำส่อนเล่นรักกับหลิงฮันก็เหมือนกัน หลังจากเขาชิงนางกลับมาได้เขาจะสั่งสอนนางให้เข็ด
……
กู่หลิงยื่อนั้นเป็นคนบ้าที่แท้จริง เมื่อคุยถึงเรื่องการปรุงยานางจะลืมทุกสิ่งไปทันที แม้จะเหนื่อยล้านางก็ไม่คิดจะขึ้นไปบนเตียงและเผลอหลับไปทันทีในขณะที่พูดคุยกันอยู่
สิ่งนี้ทำให้หลิงฮันทั้งหัวเราะและส่ายหัว
นางพูดเกี่ยวกับศาสตร์แห่งการปรุงยาราวกับเป็นคนบ้าโดยไม่มีความเป็นสตรีแม้แต่น้อย เจ้านอนหลับโดยไม่ระมัดระวังตัวเช่นนี้เจ้าคิดว่าผู้ชายเป็นสุภาพบุรุษทุกคนรึไง?
และต่อให้เป็นสุภาพบุรุษ ก็มีบางครั้งที่ทนไม่ไหวเช่นกัน
หลิงฮันส่ายหัว เขาพาอีกฝ่ายไปนอนบนเตียงก่อนจะเข้าไปในหอคอยทมิฬ
ชีวิตอันเงียบสงบเหลืออีกแค่สองวัน
ในวันต่อมากู่หลิงยื่อพูดคุยเรื่องหลอมยากับหลิงฮันจนเขาต้องหาหาไล่นางออกไปจากลานที่พักเพื่อพักหู แต่ทันทีที่เขาไล่กู่หลิงยื่อออกไปได้ หลี่เหว่ยเหว่ยกับจื่อหยุนเอ๋อก็ปรากฏตัวพร้อมกัน
“เจ้าโง่ บิดาข้าต้องการพบเจ้า” หลี่เหว่ยเหว่ยมาที่นี่เพื่อส่งข้อความ
ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายต้องการพบข้า?
หลิงฮันประหลาดใจเล็กน้อย ถึงแม้เขาจะมั่นใจในศักยภาพของตัวเองแต่เขาก็เข้าใจดีว่าตัวเขาในตอนนี้เมื่อเทียบกับผู้อาวุโสฝ่ายแล้วยังเป็นเพียงจอมยุทธตัวเล็กๆ เขาไม่มีคุณสมบัติจะแหงนมองอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ
เวลาผ่านไม่ถึงเดือนอีกฝ่ายก็ต้องการเจอเขาอีกแล้ว?
หลิงฮันไม่กล้าปฏิเสธและรีบมุ่งหน้าไปยังบ้านของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายทันที
เมื่อมาถึงเซียงเฉิงหยินก็ปรากฏตัวและพาเขาไปยังสวนเล็กๆในบริเวณที่พัก
ที่นั่นผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายกำลังจัดดอกไม้อยู่ด้วยความปราณีต เซียงเฉิงหยินไม่กล้ารบกวนจึงต้องยืนรอ
หลิงฮันที่มองมองภาพด้านหน้าก็เกิดความตกตะลึง
ภายใต้การตกแต่งของผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย ดอกไม้กระถุงนี้ได้ปลดปล่อยกลิ่นอายที่น่าดึงดูดออกมา ดอกไม้แต่ละก้านราวกับเป็นแขนขาของจอมยุทธที่กำลังเคลื่อนไหวแสดงทักษะยุทธอยู่
หลิงฮันเห็นแล้วอดนึกถึงทักษะบ่มเพาะหกธาตุผสานเป็นหนึ่งของเขาไม่ได้ ในหัวของเขามีความคิดยางอย่างผุดขึ้นมากระทันหัน ทันทีที่เขานั่งลงจังหวะที่ลึกลับก็แพร่ซ่านไปทั่วร่างกาย
ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายที่เห็นเช่นนั้นก็ตกตะลึงจนเผลอหยุดมือ