“เมี๊ยว!” เจ้าแมวอ้วนส่งเสียงกรีดร้องอีกครั้ง และกระโจนใส่หลัวข่ายเฟิงราวกับว่ามันต้องการฆ่าอีกฝ่าย
ความเร็วของเจ้าแมวอ้วนนั้นรวดเร็วมาก แทบจะไม่มีจอมยุทธระดับทลายมิติคนใดเทียบเคียงมันได้ แต่อีกฝ่ายนั้นเป็นใคร? จอมยุทธระดับสุริยันจันทรา! แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าแมวอ้วนจะทำอะไรหลัวข่ายเฟิงได้ อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือไม่กล้าขัดขืนเจ้าแมวปีศาจนี่ และยังคงเคลื่อนที่หลบมันไปเรื่อยๆ
จอมยุทธระดับสุริยันจันทรากำลังถูกสัตว์อสูรระดับทลายมิติไล่ล่า อาจกล่าวได้ว่ามีเพียงแค่เจ้าแมวอ้วนตัวนี้เท่านั้นที่สามารถทำแบบนี้ได้
หลังจากไล่ล่ากันอยู่สักพัก เจ้าแมวอ้วนก็กระโดดกลับไปที่ไหล่ของหลิงฮันด้วยท่าทางสง่างาม แล้วใช้อุ้งเท้าชี้ใส่ทุกคน มันดูการสื่อว่าถ้าใครต้องการรังแกทาสของข้าจะต้องผ่านนายท่านผู้นี้ไปซะก่อน
จางเต๋อหมานอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ ใครจะคิดว่าหลิงฮันสนิทกับเจ้าแมวอ้วนถึงขนาดที่มันออกตัวปกป้องได้กัน? เขากระแอมและพูดว่า “ข้ายังคงยืนยันว่าหลัวป้าไม่ได้เปิดปากพูดอะไรออกมาทั้งนั้น ดังนั้นหลิงฮันจึงไม่มีความผิดใดๆทั้งสิ้น หากท่านไม่มีอะไรจะพูดแล้วก็ปล่อยหลิงฮันไป”
หลัวข่ายเฟิงจะพูดอะไรได้อีก ในเมื่อเจ้าแมวอ้วนเป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้าสำนัก!
เขาทำเสียงฮึดฮัดด้วยความโกรธและอุ้มร่างที่ไร้วิญญาณของหลัวป้ามาเก็บไว้ในแหวนมิติ แล้วกระโดดจากไป
เหว่ยเชียนฉู่ถอนหายใจอีกครั้ง แล้วส่ายหัวก่อนที่จะบินจากไป
“ขอบคุณผู้อาวุโสมากสำหรับความช่วยเหลือ!” หลิงฮันกล่าวกับจางเต๋อหมานด้วยความจริงใจ
จางเต๋อหมานหัวเราะและพูดว่า “ถึงแม้ข้าจะไม่เข้ามาช่วยเจ้า เจ้าแมวตัวนี้ก็คงเข้ามาช่วยเจ้าอยู่ดี และจะไม่มีใครในสำนักที่กล้าแตะต้องเจ้า”
เจ้าแมวอ้วนเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ ใช่แล้วข้าแข็งแกร่งที่สุด
“แต่ยังไงข้าก็ต้องขอบคุณผู้อาวุโสอยู่ดี” หลิงฮันกล่าว
จางเต๋อหมานพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ความสามารถด้านวรยุทธเป็นสิ่งหนึ่ง แต่หัวใจก็สำคัญไม่แพ้กัน
“เจ้าไปได้แล้ว” เขาหัวเราะ แม้ว่าเขาจะยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกกับการตายของศิษย์คนหนึ่งของสำนัก แต่หลิงฮันไม่จำเป็นต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
หลิงฮันพยักหน้าและพูดอีกครั้งว่า “เช่นนั้น ศิษย์ขอตัวลา”
หลิงฮันจากไปพร้อมกับเจ้าแมวอ้วน ซึ่งเจ้าแมวอ้วนสกิดหัวเขาไม่หยุด นี่เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าคิดแค่ไหน?
หลังจากที่หลิงฮันจากไปแล้ว แน่นอนว่าผู้คนที่มาเพื่อเฝ้าดูการต่อสู้ก็จากไปด้วยพร้อมกับข่าวใหญ่
– พลังต่อสู้ระดับทลายมิติของหลิงฮันมากกว่ายี่สิบเอ็ดดาว!
“พี่ชายเย่!” โม่จวิ้นเหรินหันไปมองเย่เชิงหยุน
เย่เชิงหยุนราวกับสูญเสียจิตวิญญาณของตัวเองไป ร่างกายของเขาดูหนาวเย็นและมีเหงื่อท่วมตัว เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเรียกสติของเขาเลยกลับมา เขาพูดว่า “ข้ากำลังคิดอยู่ หากเปลี่ยนจากหลัวป้าเป็นข้าแทน ข้าจะป้องกันฝ่ามือของเขาได้หรือไม่…”
โม่จวิ้นเหรินอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้และพูดว่า “พี่ชายเย่ อย่างน้อยท่านก็สามารถเลือกที่จะไม่ต้องสู้กับคนผิดปกติแบบเขาได้”
แววตาของเย่เชิงหยุนดูเปล่งประกายขึ้นมาอย่างกะทันหัน และพูดว่า “ใช่แล้ว ข้ามาถึงจุดสูงสุดของระดับทลายมิติแล้ว ด้วยพรสวรรค์ของข้า หากข้าไม่อาจขัดเกลาพลังต่อสู้ได้มากกว่านั้น ข้าก็หันไปทะลวงผ่านระดับภูผาวารีแทนก็ได้นิ และยังมีโอกาสให้ข้าขัดเกลาพลังต่อสู้อีกมาก”
“ใช่แล้วพี่เย่ ถึงแม้ท่านจะใช้เวลาหลายปีเพื่อขัดเกลาพลังต่อสู้ระดับทลายมิติยี่สิบดาว แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดซักหน่อย” โม่จวิ้นเหรินกล่าวต่อว่า “การทะลวงผ่านระดับพลังของพระเจ้าต่างหาก คือความแข็งแกร่งที่แท้จริง!”
เย่เชิงหยุนถอนหายใจด้วยความโล่งอก และกลับมาเชื่อมั่นในตัวเองอีกครั้งแล้วพูดว่า “จวิ้นเหริน เจ้าฉลาดยิ่งนัก!”
……
ณ ที่ไหนสักแห่ง
“ยายแก่เฒ่า ปล่อยหนิวออกไปเดี๋ยวนี้นะ! ตุบ ตุบ ตุบ” ฮูหนิวทุบประตูไม่หยุดและพูดต่อว่า “หนิวอยากเจอหลิงฮัน ยายแก่น่าเกลียด ปล่อยหนิวออกไปเดี๋ยวนี้!”
ฮูหนิวเกาะประตูเหมือนกับลิง
“หนวกหู!” หญิงชราสวมชุดสีฟ้าเดินเข้ามาในห้องและจับมือฮูหนิว โดยที่ฮูหนิวไม่มีพลังที่จะต่อต้านด้วยได้
“หนิวโกรธมาก หนิวจะไม่ฝึก หนิวอยากเจอหลิงฮัน!” ฮูหนิวบุ้ยปากและวางมือเท้าเอว
“เด็กน้อยเอย ตั้งแต่ที่เจ้ากลับมาที่ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์มีวันใดที่เจ้าตั้งใจฝึกฝนบ่มเพาะพลังบ้างไหม?”หญิงชราถอนหายใจ “อี้หยุนถ่ายทอดทักษะยุทธเข้าไปในร่างกายของเจ้า การที่เจ้าจะทำความเข้าใจได้หรือไม่นั้นมันขึ้นอยู่กับความพยายามของเจ้าเอง”
“หนิวไม่อยากฝึก หนิวอยากเจอหลิงฮัน!” ฮูหนิวแสดงท่าทีเกรี้ยวกราดและจ้องมองไปที่หญิงชราไม่หยุด
หญิงชราสวมชุดฟ้าถอนหายใจ มีเพียงแค่ประมุขของตำหนักมัจฉาวายุภักษ์เท่านั้นที่สามารถฝึกฝนสามทักษะลับได้ เพราะมีเพียงแค่ประมุขตำหนักมัจฉาวายุภักษ์เท่านั้นที่สามารถสืบทอดจิตวิญญาณได้ หากไม่มีสิ่งนั้น ถึงแม้จะมีทักษะวางอยู่ตรงหน้า แต่ก็ไม่สามารถฝึกฝนได้
ทำไมผู้ที่ได้รับการสืบทอดถึงเหลวไหลขนาดนี้?
นางอยู่กับฮูหนิวมานานกว่าหนึ่งปี ทำให้นางรู้จักฮูหนิวดี แม้นางจะพูดข่มขู่เด็กสาวตัวน้อยหลายครั้ง นางก็ไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย เพราะนางไม่รู้ว่าความกลัวคืออะไร!
“ก็ได้ ข้าจะให้สัญญากับเจ้า หากเจ้าทะลวงผ่านระดับสร้างสรรพสิ่ง ข้าจะให้เจ้าพบเจอเจ้าเด็กนั่นอีกครั้ง แต่แค่สามวันเท่านั้น แล้วเจ้าจะต้องกลับมา ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ของพวกเรามีศัตรูที่ยิ่งใหญ่อยู่ และมีเพียงแค่เจ้าเท่านั้นที่ครอบครองทักษะลับทั้งสามอยู่ถึงจะต่อกรกับพวกมันได้ ยิ่งไปกว่านั้น ที่ข้าไม่ให้เจ้าออกไปไหนก็เพื่อความปลอดภัยของเจ้าเองด้วย” หญิงชรายอมถอยหนึ่งก้าว
ฮูหนิวชี้นิ้วใส่และพูดว่า “ตกลง หนิวจะใช้เวลาสามปีเพื่อทะลวงผ่านระดับสร้างสรรพสิ่ง!” นางมองไปที่หญิงชราแล้วพูดต่อว่า “ยายแก่น่าเกลียดออกไปได้แล้ว หากเจ้าอยู่ที่นี่หนิวไม่มีอารมณ์ฝึกฝนบ่มเพาะพลังกันพอดี”
หญิงชราสวมชุดสีฟ้าอดที่จะส่ายหัวไม่ได้ ถึงยังไงฮูหนิวก็ยังคงเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดอยู่ดี
“รีบไปได้แล้ว หนิวจะรีบฝึกฝน” ฮูหนิวสะบัดมือไล่อย่างใจร้อน
หญิงชราสวมชุดสีฟ้าไม่มีทางเลือกและเดินจากไป แต่ยังไงซะฮูหนิวก็ยอมที่จะฝึกฝนบ่มเพาะพลังแล้ว
ประมุขน้อยคนนี้เอาแต่ใจจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ในโลกใบเล็กก็ยังมีคนที่มีพรสวรรค์อยู่!
ถึงแม้เผ่ามนุษย์จะไม่มีอะไรพิเศษ แต่ชายหนุ่มคนนั้นนับว่ามีพรสวรรค์ที่โดดเด่นมาก ถ้าตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ไม่รับศิษย์หญิงอย่างเดียว นางก็คงไม่พลาดที่จะชักชวนเขาเข้าร่วมด้วย
……
ณ ตระกูลหลัว
หลัวหงจ้องมองไปที่ร่างของหลัวป้า เขากำมือแน่นและแววตากระตุกไปมาด้วยความโกรธ
ทายาทที่มีพรสวรรค์มากที่สุดของตระกูลหลัวถูกฆ่าตาย
แม้การฝึกฝนให้เป็นจอมยุทธระดับทลายมิติจะเป็นเรื่องง่าย แต่ศิลาหยาดโลหิตนั้นล้ำค่ามาก ซึ่งทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย
“ข้าต้องฆ่ามันให้ได้!” หลัวหงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่โกรธแค้น
“ท่านผู้นำ แต่เจ้าเด็กนั่นดูเหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกับฟู่ฮุ่ย!” เมื่อหลัวข่ายเฟิงพูดชื่อฟู่ฮุ่ยขึ้นมา ร่างกายของเขาดูสั่นเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าเพียงแค่ชื่อของจอมยุทธระดับดาราก็มีความน่าเกรงขามแล้ว