สุ่ยเยี่ยนยวี่ไม่กล้าผ่อนคลายหรือประมาท
ศัตรูที่เคลื่อนที่ในพริบตาได้นั้นน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก
“ระวังตัวด้วย!” นางกล่าวเตือนหลิงฮัน
หลิงฮันอดหัวเราะไม่ได้ “ระวังตัวเรื่องอะไรรึ?”
“ก็ชายชราคนนั้นไง!” สุ่ยเยี่ยนยวี่หงุดหงิดเล็กน้อย เจ้าไม่เห็นรึไงว่าจู่ๆอีกฝ่ายก็หายไปในพริบตา?
“โอ้ เขาน่ะนะ…” หลิงฮันเกาหัวก่อนจะกล่าว “คงไม่สามารถปรากฏตัวได้อีกแล้วล่ะ”
“จะ จะ เจ้า…” สุ่ยเยี่ยนยวี่เข้าใจทันที “เจ้านำเขาเข้าไปในอุปกรณ์มิติงั้นรึ?”
“ในที่สุดเจ้าก็เข้าใจ!” หลิงฮันถอนหายใจ
สุ่ยเยี่ยนยวี่ส่ายหัว “ไม่สิ อุปกรณ์มิตินั้นหากคนอื่นไม่ต้องการเข้าไปก็ไม่สามารถฝืนบังคับให้เข้าไปข้างในได้ไม่ใช่รึ? แถมด้วยพลังของชายชราคนนั้น เจ้าคงไม่สามารถบังคับให้เขาเข้าไปได้ด้วย! และถึงแม้เขาจะเข้าไปข้างในจริงๆ เขาก็ยังมีพลังมากพอจะสู้กับเจ้าอยู่ดี!”
“อุปกรณ์มิติของเขาค่อนข้างแตกต่างออกไป ต่อให้เป็นจอมยุทธระดับดารา หากอยู่ข้างในนั้นก็ไม่สามารถขัดขืนข้าได้” หลิงฮันยิ้ม
สุ่ยเยี่ยนยวี่ตกตะลึงในคำพูดของหลิงฮันและจ้องตาค้าง
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือต่อให้เป็นจักรพรรดินีดาราที่เข้าไปข้างในอุปกรณ์มิติ ชีวิตของนางก็ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของหลิงฮัน?
ชายหนุ่มคนนี้มาจากโลกใบเล็กจริงๆรึ?
“มีอะไร? เจ้าหลงใหลในความหล่อเหลาของข้าแล้ว?” หลิงฮันยิ้ม
สายตาของสุ่ยเยี่ยนยวี่หันหนีทันที “ก่อนหน้านี้พวกเราพบเจอกับสัตว์อสูรมามากมาย ที่จริงแล้วเจ้าสามารถนำพวกมันเข้าไปในอุปกรณ์มิติได้อย่างง่ายดาย?”
“เรื่องนี้…” หลิงฮันชะงัก สตรีผู้นี้ช่างฉลาดยิ่งนัก
สุ่ยเยี่ยนยวี่ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที “ที่เจ้าไม่ใช่อุปกรณ์มิติจัดการพวกมันก็เพราะเจ้าไม่ไว้ใจข้า!”
หลิงฮันยิ้มก่อนจะกล่าว “จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร ข้าเชื่อในตัวเจ้าต่างหาก ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ช่วยเจ้าจากชายชราหรอก”
“จะกล่าวให้ดูซับซ้อนอย่างไร สุดท้ายเจ้าก็ไม่ไว้ใจข้าอยู่ดี!” สุ่ยเยี่ยนยวี่ไม่พอใจ
หลิงฮันยักไหล่และยิ้ม “ศิษย์พี่ ท่านจะจริงจังเกินไปรึเปล่า? พวกเขาแค่แกล้งเป็นคู่รักกันเท่านั้น ท่านไม่เห็นต้องไปสนใจเรื่องแบบนั้นเลย”
หลิงฮันเดินไปเก็บร่างของจอมยุทธอีกสองคนของตระกูลหลางก่อนจะไปช่วยสุ่ยเยี่ยนยวี่ตัดเถาวัลย์เพื่อเดินหน้าต่อ
“เจ้าเดินให้ห่างจากข้า!” สุ่ยเยี่ยนยวี่ทำสีหน้าเย็นชา
เขาไม่เข้าใจผู้หญิงเลยจริงๆ แต่ครั้งนี้หลิงฮันก็เชื่อฟังโดยไม่โต้เถียงอะไร
ผ่านไปไม่นานด้านหลังของพวกเขาก็มีคนปรากฏตัวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้พวกเขาเป็นจอมยุทธของจักรวรรดิราชวงศ์ดวงดาราหายนะ เมื่อเห็นสุ่ยเยี่ยนยวี่ทุกคนก็รีบเดินตามพวกเขามาด้วยความเร็วที่มากขึ้น
ด้านหลังของพวกเขามีคนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกเขาไม่สามารถลงมือสังหารกันได้เนื่องจากมีพยานรู้เห็นอยู่มาก
นอกจากนั้นทุกคนที่มาที่นี่ก็เพื่อตามหาผลึกภูผาวารี ถ้าคิดจะสู้กันหรือสังหารใครก็ต้องทำเพื่อแย่งผลึกภูผาวารี หากด้วยเหตุผลนี้สามจักรวรรดิก็จะไม่สามารถแทรกแซงได้
เมื่อจำนวนของจอมยุทธเพิ่มขึ้นถึงหลักร้อย พวกเขาก็กลายเป็นกองกำลังที่ไร้เทียมทานทันที อสูรพงไพรที่อยู่ในป่าจึงไม่กล้าลงมือกับพวกเขาแต่อย่างใด
แต่เมื่อพวกเขาออกจากป่ามาถึงลำธาร กองกำลังก็สลายทันที ทุกคนมุ่งหน้าไปยังเส้นทางของตนเอง ไม่ใครที่ต้องการไปเสี่ยงอันตรายเพื่อช่วยคนที่ไม่รู้จัก
แต่หลิงฮันกับสุ่ยเยี่ยนยวี่นั้นต่างออไป แม้พวกเขาจะเป็นคู่รักปลอมๆแต่พวกเขาก็ฝ่าฟันอันตรายมาด้วยเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ตอนนี้สุ่ยเยี่ยนยวี่รู้เรื่องความสามารถของหอคอยทมิฬแล้ว หลิงฮันจึงไม่ต้องปิดบังอีกต่อไป เมื่อพวกเขาพบเจอสัตวอสูรระดับภูผาวารี หลิงฮันก็ทำให้พวกมันหมดสติและนำเข้าไปในหอคอยทมิฬเพื่อสังหารพวกมันอย่างง่ายดาย
แต่จะทำแบบนี้ได้ก็กับสัตว์อสูรระดับภูผาวารีขั้นต้นเท่านั้น เมือพบเจอกับระดับภูผาวารีขั้นกลาง พวกเขาก็ทำได้เพียงล่าถอยอย่างเดียว
แต่ถึงจะอย่างนั้นพวกเขาก็ยังเก็บเกี่ยวได้มากมายอยู่ดี ในสองวันที่ผ่านมาพวกเขาสังหารสัตว์อสูรไปหลายร้อยตัวจนสุ่ยเยี่ยนยวี่แทบจะไม่เชื่อในสายตาตัวเอง
และแล้วในที่สุดพวกเขาก็ได้ผลึกภูผาวารีมาครอบครอง!
มันเป็นผลึกสีเขียวเข้มที่โปร่งใสเล็กน้อย เมื่อถืออยู่ในมือจะสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็น
สุ่ยเยี่ยนยวี่โยนผลึกภูผาวารีไปทางหลิงฮันและกล่าว “เจ้าดูดซับมันซะ เมื่อเจ้าทะลวงผ่านระดับภูผาวารี เจ้าก็จะมีความสามารถในการสำรวจเขตแดนลี้ลับอย่างแท้จริง”
หลิงฮันพยักหน้า สิ่งที่จำเป็นที่สุดสำหรับตัวเขาในตอนนี้คือการทะลวงผ่านระดับภูผาวารีและกลายเป็นจอมยุทธระดับพระเจ้า!
คร้ายที่ผลึกภูผาวารีก้อนนี้ไม่มีความสามารถพิเศษแฝงอยู่
“หยุด!” เสียงตะโกนดังขึ้น ทันใดนั้นก็กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวออกมา สามคนวิ่งนำหน้าส่วนด้านหลังมีเจ็ดคนวิ่งตาม แต่แทนที่จะเรียกว่าวิ่งตามน่าจะเรียกว่าถูกไล่ตามมามากกว่า
“ทิ้งผลึกภูผาวารีเอาไว้แล้วพวกเจ้าจะมีชีวิตรอด!” กลุ่มคนเจ็ดคนกล่าว
สามคนด้านหน้าแน่นิ่งไปชั่วครู่ ผลึกภูผาวารีคือสิ่งที่พวกเขาตามหาอยู่ พวกเขากัดฟันพร้อมกับคนหนึ่งได้หยิบปีกคู่หนึ่งออกมาและนำไปติดไว้ที่ด้านหลัง ปีกนั้นค่อยๆขย้ายจนมีขนาดยาวถึงสามฟุต
จอมยุทธอีกสองคนคว้าขวาจอมยุทธที่ติดปีกก่อนที่ทั้งสามจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อหลบหนี
จอมยุทธระดับภูผาวารีไม่มีความสามารถที่จะโบยบินบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นอกเสียจากว่าพวกเขาจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีปีกตั้งแต่กำเนิดหรือใช้อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์
กลุ่มคนเจ็ดคนที่เห็นเช่นนั้นก็ชะงักทันที ดูเหมือนพวกเขาจะไม่สามารถไล่ตามสามคนนี้ต่อไปได้แล้ว
ที่จริงกลุ่มคนสามคนไม่ได้ตั้งใจจะใช้สมบัติชิ้นนี้ด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากว่าพวกเขาเห็นกลุ่มหลิงฮันและคิดว่าจะโดนรุมสังหารจากสองกลุ่มพร้อมกัน พวกเขาจึงกัดฟันยอมใช้สมบัติที่ช่วยให้บินได้ชิ้นนี้
สมบัติชิ้นนี้สามารถใช้ได้แค่ครั้งเดียว ดังนั้นพวกเขาจึงเจ็บปวดใจอย่างมาก
กลุ่มคนเจ็ดคนเลิกคนใจทั้งสามคนและกวาดสายตามามองหลิงฮันกับสุ่ยเยี่ยนยวี่ก่อนจะแสยะยิ้ม
“ผลึกภูผาวารีนั่นเป็นของพวกข้า เจ้าไม่คิดจะส่งกลับคืนให้พวกข้ารึ?”
“มันคือผลึกที่พวกข้าได้มาอย่างยากลำบากแต่ถูกสามคนเมื่อครู่ขโมยไป!” กลุ่มคนเจ็ดคนกล่าว
หลิงฮันกับสุ่ยเยี่ยนยวี่มองหน้ากัน ทั้งสองรู้สึกว่าทั้งเจ็ดคนนี้ช่างหน้าด้านยิ่งนัก พวกเจ้าคิดได้แค่คำโกหกแบบนี้น่ะรึ?