หลิงฮันรู้สึกหวั่นไหว
ในเขตแดนลี้ลับการที่สัตว์อสูรปรากฏตัวออกมาให้เห็นไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลก และบางทีการที่ภูติผีจะปรากฏออกมาให้เห็นก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกเหมือนกัน…
ความสงสัยจะฆ่าแมว แต่ความกล้าของเขามีมากกว่าความสงสัย จึงช่วยไม่ได้ที่หลิงฮันจะเดินเข้าไปดู
หลิงฮันเดินแหวกหญ้าตรงหน้า และเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังร้องไห้อยู่ตรงหน้าเขา แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือนางไม่มีหัว!
นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย?
หลิงฮันกัดฟันแน่น และรู้สึกสะท้านไปทั้งตัว มันไม่ใช่ความรู้สึกหวาดกลัว แต่เป็นความรู้สึกตื่นเต้น
เขายังไม่เคยเห็นภูติผีตัวเป็นๆเลย
พรึบ หลิงฮันนำดาบออกมาและกระโจนเข้าไปโจมตีที่มันทันที
“หืม?” ทันใดนั้น หญิงชุดขาวก็เงยหน้าขึ้นมา – ใครบอกว่านางไม่มีหัว นางแค่ก้มหน้าต่ำเกินไปเท่านั้น และใช้มือกุมไปที่คอเลยเห็นแค่เสื้อผ้าสีขาว ดังนั้นหลิงฮันจึงเข้าใจผิดว่านางไม่มีหัว
ราชินีที่เก้า หูเฟยหยิน
ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยน้ำตาและสีหน้าที่สับสน เมื่อเห็นดาบพุ่งเข้ามา นางอ้าปากเล็กน้อยด้วยความตกใจ แต่นางก็ไม่แสดงท่าทีว่าจะหลบเลี่ยงแม้แต่น้อย
หลิงฮันจึงรีบยับยั้งดาบของเขาทันที และปลายดาบของเขาก็หยุดอยู่ตรงหน้าหูเฟยหยิน แต่ก็มีสายลมที่รุนแรงพัดผ่านนางไป ซึ่งทำให้เสื้อผ้าของนางแกว่งไปมา
ตู้ม ต้นไม้ที่อยู่ด้านหลังหูเฟยหยินอย่างน้อยหนึ่งร้อยต้นถูกทำลายทันที
หูเฟยหยินนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนที่จะตอบสนองและกระโดดลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว นางเช็ดน้ำตาและพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ทำไมเจ้าต้องโจมตีข้าด้วย?” ใบหน้าที่มีเสน่ห์ของนางดูผิดหวัง
เอ่อ?
หลิงฮันยิ้มกว้างแล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าท่านเป็นภูติผีเสียอีก”
“ข้าเป็นคนไม่ใช่ผี!” หูเฟยหยินส่ายหน้าไปมา แต่หลังจากนั้นเองสีหน้าของนางก็ดูหวาดกลัวและตัวสั่น ก่อนที่จะถามว่า “ที่นี่มีผีอย่างนั้นหรือ?”
หลิงฮันไม่คิดเลยว่าเด็กสาวตัวน้อยอย่างนางจะเป็นถึงราชินีที่เก้า
เขายิ้มและพูดว่า “ข้าคิดว่ามันไม่น่าจะมี”
“จริงหรือ?” หูเฟยหยินถาม
“ถึงแม้ที่นี่จะมีผีจริง แต่ก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดั่งคำพูดที่ว่ามิได้กระทำเรื่องผิดมโนธรรมย่อมไม่กลัวผีสางเคาะประตู”
“เจ้าหยุดพูดได้แล้ว!” ใบหน้าที่มีเสน่ห์ของหูเฟยหยินกลายเป็นซีดขาว
หลิงฮันทำอะไรไม่ได้ นอกจากพูดให้นางสบายใจว่า “ไม่จำเป็นต้องกลัว อย่างน้อยพวกมันก็ทำได้แค่จ้องมองท่านเท่านั้น ท่านคิดว่าภูติผีทุกตัวเป็นอิสระอย่างนั้นหรือ?”
“เจ้ารู้เรื่องพวกนั้นได้ยังไง หรือว่าเจ้าจะเคยเห็นผีมาก่อน?” หูเฟยหยินสั่นด้วยความกลัว แต่ก็ยังถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หลิงฮันแทบเป็นบ้าและรีบพูดเปลื่ยนเรื่องทันที “จะว่าไปแล้วทำไมท่านถึงมานั่งร้องไห้คนเดียวอยู่ที่นี่? แล้วองครักษ์ทั้งสามคนของท่านล่ะ?”
เมื่อหลิงฮันถามคำถามแบบนั้นออกมา หูเฟยหยินร้องไห้ออกมาอีกครั้งและพูดว่า “ติงฉิน อวี่หลง ตายแล้ว! ฮือฮือฮือ พวกเขาปกป้องข้าจากถูกสัตว์อสูรกิน”
หลิงฮันรู้สึกตกตะลึง องครักษ์สามคนที่ถูกส่งมาปกป้องราชินีที่เก้าไม่ได้เป็นแค่จอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นต้นชั้นสูงสุด แต่ยังเป็นอัจฉริยะระดับสามดาวและสี่ดาวด้วย
แม้แต่พวกเขาสามคนยังถูกฆ่าตาย แล้วสัตว์อสูรตัวนั้นจะแข็งแกร่งแค่ไหนกัน?
อย่างน้อยความแข็งแกร่งของมันน่าจะอยู่ที่ระดับภูผาวารีขั้นกลางหรือขั้นสูงสุด มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่ถูกมันฆ่า
สัตว์อสูรแบบนั้นถึงจะเป็นหลิงฮันโอกาสหนีรอดก็ยังริบหรี่ และกายหยาบที่เทียบได้กับแร่เหล็กระดับศักดิ์สิทธิ์ก็อาจถูกทำลาย แล้วอาจเป็นไปได้ที่ทักษะจิตเจ็ดสังหารจะใช้ไม่ได้ผล
“มันเป็นหน้าที่ของพวกเขา ตอนนี้ท่านปลอดภัยแล้ว พวกเขาจะได้พักผ่อนอย่างสงบ” หลิงฮันกล่าวปลอบโยน
“ฮือ แต่ยังไงข้าก็ยังคงรู้สึกเสียใจ” หูเฟยหยินเช็ดน้ำตาและยังคงร้องไห้ไม่หยุด
“เอาล่ะ เอาล่ะ ท่านจะร้องไห้ต่อไปมันก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมา” หลิงฮันปลอบคนอื่นไม่ค่อยเก่ง เมื่อเทียบหูเฟยหยินกับฮูหนิวแล้ว นางเป็นเหมือนเด็กมากกว่าฮูหนิวเสียอีก
อย่างไรก็ตาม ประโยคที่เขาพูดทำให้หูเฟยหยินเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็วและพยายามปั้นสีหน้าเข้มแข็ง นางหยิบกระจกออกมาแล้วมองดูสภาพของตนเอง แต่ในไม่ช้าใบหน้าของนางก็เริ่มบิดเบี้ยวอีกครั้ง ราวกับว่านางกำลังจะร้องไห้อีกรอบ “ทำไมข้าถึงอัปลักษณ์ขนาดนี้”
“ท่านไม่ได้อัปลักษณ์ ท่านงดงามมาก!” หลิงฮันรีบนำอาหารออกมาและยื่นให้นาง “พวกเรามากินอะไรกันก่อนเถอะ”
ถ้าเป็นฮูหนิวคงจะยิ้มและลืมทุกอย่าง แต่ราชินีที่เก้าไม่ได้เห็นแก่กินและสีหน้าของนางไม่ได้ดูดีขึ้นมาเลย
“ถ้างั้นท่านรอที่นี่ไปก่อนละกัน เมื่อถึงเวลาท่านจะออกไปได้เอง” หลิงฮันกล่าว
“ไม่!” หูเฟยหยินกระโดดขึ้นมาและจับที่ชายเสื้อของหลิงฮัน “ข้ากลัว ข้าไม่อยากอยู่คนเดียว!”
หลิงฮันจินตนาการไม่ออกเลยจริงๆว่านางจะเป็นหนึ่งในจอมยุทธที่ยิ่งใหญ่ได้ในอนาคต
– ซึ่งราชินีแปดคนก่อนหน้านี้ต่างก็ทะลวงผ่านระดับดารากันหมดแล้ว หากเป็นไปตามนั้น นางก็น่าจะไม่มีข้อยกเว้น
“ก็ได้ ก็ได้ ท่านจะตามข้ามาก็ได้” หลิงฮันพยักหน้า ขณะที่พูดเขาไม่กล้าสบตากับหูเฟยหยินเพราะเสน่ห์ของนางที่อาจทำให้คนบ้าคลั่งได้
โชคดีที่เมื่อเขาไปถึงทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ เขาสามารถให้สุ่ยเยี่ยนยวี่ดูแลราชินีที่เก้าได้
หูเฟยหยินรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาทันที แต่นางก็ยังคงจับชายเสื้อของหลิงฮันไม่ปล่อย เพราะเกรงว่าเขาจะหนีจากไป
หลิงฮันถอนหายใจ โชคดีที่ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์อยู่ไม่ห่างจากพวกเขามากนัก ซึ่งเดินทางเพียงแค่วันเดียวหรืออาจมากกว่านั้นก็ไปถึง
“โฮก! โฮก!” หลังจากที่ทั้งสองคนออกเดินทางได้ซักพัก ถนนบนภูเขาที่ขรุขระตรงด้านหน้ามีเสียงของสัตว์อสูรส่งเสียงร้องคำราม
“สัตว์อสูรตัวนั้น!” หูเฟยหยินรีบไปหลับอยู่ด้านหลังหลิงฮันด้วยความหวาดกลัวและพูดว่า “เจ้าอย่าเดินเข้าไปนะ ไม่เช่นนั้นจะถูกมันกิน!”
นี่เจ้าจะพูดอะไรที่มันดีกว่านี้ไม่ได้เลยหรือ?
หลิงฮันคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “จุดหมายปลายทางของพวกเราจะต้องเดินผ่านที่นี่ไป ดังนั้นพวกเราจะเดินผ่านมันไปอย่างเงียบๆและหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับมัน”
หูเฟยหยินพยักหน้าอย่างรวดเร็ว อย่างน้อยนางก็มีความกล้าอยู่บ้าง
หลังจากที่ทั้งสองคนเดินไปได้สักพัก หลิงฮันก็เห็นสัตว์อสูรที่ดูแปลกประหลาดตัวหนึ่งยืนอยู่บนภูเขา มันมีรูปร่างคล้ายหมาป่า แต่มีปีกสีดำขนาดใหญ่คู่หนึ่งอยู่บนหลัง และมีสามหัวแบ่งออกเป็นทอง เงิน และแดง มันดูแปลกประหลาดมาก
แม้จะอยู่ไกลจากมัน แต่สายตาที่หลิงฮันจ้องมองทำให้มันรู้สึกได้ถึงตัวตนของเขา ทันใดนั้นเองมันก็รีบหันหน้าไปมองด้วยท่าทางเหยียดหยาม
แต่มันก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร ทว่าหมาป่าตัวอื่นที่อยู่รอบๆมันมีรูปร่างคล้ายคลึงกับมันเริ่มเคลื่อนไหว พวกมันมีขนาดตัวที่เล็กกว่ามากและมีแค่สองหัวเท่านั้น คือหัวเงินและหัวแดง ซึ่งหัวเงินจะมีขนาดเล็กกว่าหัวแดงครึ่งหนึ่ง
หมาป่าสองหัวบินไปทางหลิงฮัน เบื้องหลังมันปรากฏเงาของภูผาสองลูกและเงาของวารี