ติงหลี่กระโจนเข้าหาอันหลันหวังและฉีเฟิงอย่างไม่หวาดกลัว กระบองของเขาพุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับแสงสีทองอันเจิดจ้าพุ่งตรงขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับกำลังเขย่าดวงดาวทั้งหมดที่อยู่บนท้องฟ้า
โชคดีที่นี่ไม่ใช่โลกใบเล็ก แต่ ยังไงจอมยุทธระดับดาราก็ยังคงเป็นจอมยุทธระดับดาราอยู่ดี เมื่อติงหลี่เคลื่อนไหวทำให้พื้นปฐพีสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่งและแยกออกจากกัน มันไม่สามารถต้านทานพลังของจอมยุทธระดับดาราได้
ฝูงชนรีบถอนตัวออกไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว หากเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ของจอมยุทธระดับดารา แม้กระทั่งจอมยุทธระดับสุริยันจันทราก็ยังไม่อาจยืนหยันได้ แล้วพวกเขาที่เป็นแค่จอมยุทธระดับภูผาวารีจะไปเหลืออะไร
อันหลันหวังและฉีเฟิงโจมตีออกไปพร้อมกับ หมัดและดาบของพวกเขาเข้าปะทะกับกระบองทองของติงหลี่
ปัง!
เมื่อหมัดและดาบปะทะกับกระบองทำให้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้น พื้นที่ที่พวกเขาอยู่เจิดจ้าไปด้วยแสงสีทอง แม้หลายคนจะล่าถอยไปไกล แต่คลื่นกระแทกที่ได้รับทำให้คนกว่าเก้าในสิบกระอักเลือด
หลังจากที่แสงสีทองอันเจิดจ้าสลายหายไป พวกเขาก็เห็นติงหลี่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ในขณะที่หมัดของฉีเฟิงและดาบของอันหลันหวังปะทะกับกระบอง ราวกับพวกเขากลายเป็นรูปปั้น
“ขึ้นไปบนฟ้าแล้วมาสู้กัน!”
ทั้งสามคนลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า และยืนอย่างภาคภูมิใจ จากนั้นในไม่ช้าทั้งสามคนก็เริ่มต่อสู้กันทันที
-มีเพียงแค่จอมยุทธระดับดาราเท่านั้นที่สามารถใช้พลังแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์และโปยบินบนท้องฟ้าได้
ครั้งนี้พลังที่พวกเขาแสดงออกมาให้เห็นแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้หลายร้อยเท่า เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้พวกเขาอ้อมมือเอาไว้เพื่อไม่ให้รุ่นเยาว์ที่พามาโดนลูกหลงและถูกฆ่าตาย
ครืน ครืน ครืน คลื่นพลังแผ่กระจายไปทั่วท้องฟ้าพร้อมกับแสงสว่างที่เจิดจ้า แม้แต่ดวงอาทิตย์ยังต้องถูกบดบัง
หลายคนรู้สึกหวาดกลัวและนั่งลงไปกองกับพื้น มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถยืนหยัดได้
หลิงฮันใช้เนตรแห่งสัจธรรมและจ้องมองการต่อสู้ของจอมยุทธระดับดาราทั้งสามคน
พวกเขารวดเร็วมาก และเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา หากเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีทั่วไปสายตาของพวกเขาคงไม่มีทางจับภาพของทั้งสามคนได้ทัน
ติงหลี่กระโจนเข้าหาฝ่ายตรงข้ามอย่างไร้ความหวาดกลัว เขาตวัดกระบองไปที่ทั้งสองคน โดยที่ไม่ใช้ลูกเล่นอะไรเลย
ตัวตนอย่างเขาไม่จำเป็นต้องใช้ลูกเล่น เพียงแค่ตวัดกระบองธรรมดาพลังทำลายล้างของมันก็น่าสะพรึงกลัวแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม ฝ่ายตรงข้ามมีกันสองคน คือฉีเฟิงและอันหลันหวังที่เป็นจอมยุทธระดับดาราขั้นต้นชั้นสูงสุดแล้วยังเป็นอัจฉริยะระดับสี่ดาวอีก ทั้งสองจะอ่อนแอกว่าติงหลี่ได้อย่างไร?
แม้ตอนนี้ติงหลี่จะต่อสู้กับทั้งสองคนได้อย่างสูสี แต่ถ้าการต่อสู้ยืดเยื้อล่ะ? ใครจะเป็นผู้ยืนหยัดคนสุดท้าย?
ช่วยไม่ได้ที่หลิงฮันจะเป็นกังวล เมื่อใดที่ติงหลี่พ่ายแพ้ ฝ่ายตรงข้ามจะต้องไล่ฆ่าเขาอย่างแน่นอน
นี่ไม่ใช่การรังแกเด็กหรอกหรือ?
หลิงฮันรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้เขาทำได้แค่ยอมให้อีกฝ่ายกลั่นแกล้งเท่านั้น ทั้งที่เขาเพิ่งจะขึ้นมาจากโลกใบเล็กและเพิ่งจะทะลวงผ่านระดับภูผาวารี และถึงแม้เขาจะเป็นอัจฉริยะระดับห้าดาวหรือหกดาว แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะต่อกรด้วยได้
ความแข็งแกร่ง…ยังไม่เพียงพอ!
หลิงฮันครุ่นคิดอยู่ในใจ ตอนนี้เขามีผลึกภูผาวารีทั้งหมดแปดก้อน ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้เขาทะลวงผ่านระดับภูผาวารีขั้นต้นชั้นสูงสุด ในเมื่อมันมีสมบัติล้ำค่าอย่างผลึกภูผาวารีอยู่ในโลก มันก็น่าจะมีสมบัติล้ำค่าที่คล้ายกันที่สามารถทำให้เขาทะลวงผ่านระดับได้อย่างรวดเร็วอยู่เหมือนกัน
เขาจะต้องทะลวงผ่านขั้นกลาง ขั้นสูง และขั้นสูงสุดให้เร็วที่สุด แล้วทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทรา!
หลังจากที่เขากลายเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราแล้วเท่านั้นถึงจะมีจุดยืน เขาจะไม่ถูกกลั่นแกล้งอีกต่อไป เพราะจำนวนของจอมยุทธระดับดารานั้นมีน้อยมาก แล้วจากนั้นเขาก็จะสามารถออกเดินทางบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ได้โดยไม่ต้องหวาดกลัว
ปัง! ปัง! ปัง!
ระหว่างที่หลิงฮันกำลังครุ่นคิด การต่อสู้บนท้องฟ้าดุเดือดมาก
อันหลันหวังและฉีเฟิงเริ่มเอาจริง ทั้งสองคนต่างนำอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ของตนออกมา อาวุธของอันหลันหวังคือขวดล้ำค่าที่ลอยอยู่บนหัวของเขา มันมีพลังอำนาจลึกลับบางอย่างที่คอยปกป้องเขา พลังป้องกันของมันน่าสะพรึงกลัวมาก
ส่วนฉีเฟิงนำกระจกบางอย่างออกมา มันสามารถยิงลำแสงที่มีพลังทำลายล้างน่าสะพรึงกลัวออกมาได้ แม้แต่ภูเขายังถูกทำลายในพริบตา
ติงหลี่เองก็ใช้พลังอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง กระบองของเขาถูกสร้างขึ้นมาจากแร่เหล็กระดับศักดิ์สิทธิ์
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายตรงข้ามมีกันสองคน แค่คนเดียวก็เพียงพอที่จะต่อกรกับเขาได้แล้ว ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามมีสองคนทำให้ติงหลี่เสียเปรียบเป็นอย่างมาก
โชคดีที่เขาสวมชุดเกราะอยู่ ซึ่งชุดเกราะของเขาเองก็เป็นเกราะระดับศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกัน อักขระบนตัวเกราะส่องแสงสว่างอยู่ตลอดเวลา ตราบใดที่มันยังไม่ถูกทำลาย เขาก็จะไม่มีวันได้รับบาดเจ็บ
แต่ปัญหาคือภายใต้การโจมตีของจอมยุทธระดับดาราสองคน เกราะของเขาคงอยู่ได้ไม่นาน ในไม่ช้าบนร่างกายของติงหลี่ก็ปรากฏบาดแผลจำนวนมาก
“แม่ทัพติง แค่จอมยุทธระดับภูผาวารีคนเดียวเจ้าจะเอาตัวเองเข้ามาเสี่ยงเพื่ออะไร!” อันหลันหวังไม่อยากฆ่าติงหลี่ ไม่เช่นนั้นเรื่องมันอาจบานปลายมากไปกว่านี้
หากติงหลี่เข้าตาจน เขาอาจใช้ทุกอย่างที่มีออกมา แม้ว่าพวกเขาจะไม่ถูกฆ่าตาย แต่ก็อาจได้รับบาดเจ็บสาหัส
ใบหน้าของติงหลี่กลายเป็นหนาวเย็น ร่างกายของเขาอาบไปด้วยเลือด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเลือดของเขาเอง และมีเลือดของทั้งสองคนอยู่บ้าง สภาพของเขาในตอนนี้ดูน่าหวาดกลัวมาก เขาส่งเสียงหัวเราะและพูดว่า “พวกเจ้าเอาชนะข้าให้ได้ก่อนแล้วค่อยพูด!”
กระบองของเขาเปลี่ยนไป มันดูเชื่องช้ากว่าเดิมมาก
“หืม?”
สีหน้าของอันหลันหวังและฉีเฟิงกลายเป็นเคร่งขรึม และดูวิตกกังวลเล็กน้อย
“นี่มันทักษะเก้ากระบองลึกลับ!” ฉีเฟิงเคยต่อสู้กับติงหลี่มาก่อน ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับทักษะของติงหลี่เป็นอย่างดี
ทักษะเก้ากระบองลึกลับ คือการโจมตีเก้ารูปแบบ มันไม่ใช่การโจมตีที่ตายตัว แต่การโจมตีทั้งเก้าครั้งสามารถเปลี่ยนแปลงได้หลากหลายไม่อาจคาดเดาได้
การโจมตีแรกว่าทรงพลังแล้ว แต่การโจมตีครั้งต่อไปจะทรงพลังยิ่งกว่าเก่า
นี่เพียงพอที่จะทำให้พลังต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นหนึ่งในสาม หรือแม้กระทั่งครึ่งดาว!
ในเมื่อพวกเขาทั้งสามคนต่างก็เป็นอัจฉริยะระดับสี่ดาว ถ้าพลังต่อสู้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยก็อาจพลิกโฉมของการต่อสู้ได้!