ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย
https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique
บทที่ 1387 – การเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนอาณาจักรพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจระดับ 4 ระดับพลังของอาณาจักรพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจ
คำพูดของชิงสุ่ยทำให้เทียนฮี่ เรินโม่ ประหลาดใจ จริงๆที่เขามาก็เพื่อช่วยชิงสุ่ย แต่เขาก็จำคำพูดของชิงสุ่ยได้ดี
เพราะฉะนั้นที่เขามาในวันนี้ไม่ใช่เพราะชิงสุ่ยบอกว่ามีของขวัญให้เขา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยิ้มและตอบกลับไปอย่างมีความสุข “ข้าเฝ้ารอของขวัญจากเจ้าอยู่เลย น้องชาย”
ชิงสุ่ยนำเขาไปที่ห้องลับและเริ่มชำระล้างร่างกายอีกฝ่ายและเริ่มใช้ฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิต จตุธาตุแห่งฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิต เข็มทองคำฟื้นฟูร่างกายและ 9 หยาง เพราะเทียนฮี่ เรินโม่คือสหายคนสำคัญ ชิงสุ่ยจึงช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่
ผ่านไปครึ่งวัน ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เทียนฮี่ เรินโม่ แทบไม่อยากเชื่อ เหมือนตอนที่ชิงสุ่ยรักษาเขาคราวก่อน
อันที่จริงเขาใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเพื่อทะลวงผ่านการเผชิญหน้าความทรมานแห่งสวรรค์พินาจ หากไม่มีของวิเศษ แม้จะก้าวข้าม แต่ก็ยังมีอันตรายมากมายที่อาจจะเกิดขึ้นกับเขา หากร่างกายของเขาไม่สามารถรับพลังที่แข็งแกร่งนั้นได้ ดังนั้นการไม่เกิดการก้าวข้ามตั้งแต่แรกอาจจะดีกว่าเสียด้วยซ้ำ
นี่เป็นของขวัญที่น่ายอดเยี่ยมจริงๆ…เทียนฮี่ เรินโม่ ก้าวข้ามถึงระดับพลังที่สูงที่สุดในชีวิตเขา..อาณาจักรพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจ ขั้นที่ 2
เขารู้สึกต่างไปจากทุกครั้ง เพราะเขาสามารถควบคุมทุกส่วนของร่างกายได้ นอกจากพลังของเขาจะเพิ่มขึ้น ร่างกายของเขาก็คงตัวอีกด้วย พลังในการต่อสู้เพิ่มขึ้น
“พี่ชาย พยายามทำความเคยชินกับร่างกายของท่านไว้ ข้าจะออกไปข้างนอกสักประเดี๋ยว”ชิงสุ่ยบอกก่อนจะออกไปจากห้องลับ
เทียนฮี่ เรินโม่ ยิ้มและมองชิงสุ่ยจากไป เขารู้สึกสงสัยอยู่บ้าง เพราะชิงสุ่ยนั้นเป็นชายหนุ่มที่ลึกลับไม่เบา
เขามองชิงสุ่ยที่ลับตาไป พลางคิดว่าไม่มีใครที่หยุดยั้งชิงสุ่ยได้..
ที่เขามีทุกอย่างได้ก็เพราะชิงสุ่ย ดังนั้นก็เขายอมตายเพื่อชิงสุ่ย เทียนฮี่ เรินโม่เม้นปากแน่นก่อนจะขยับตัว และพยายามทำความคุ้นเคยกับร่างของเขา
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในหอคอยจักรพรรดิและตระกูลเฉ่แพร่สะพัดไปทั่ว ทันทีที่ชิงสุ่ยก้าวออกไปหลิงฮู ยูก็อยู่ที่นั้น เขายิ้มกว้างเมื่อเห็นหน้าชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยเองก็ดีใจที่ได้พบหลิงฮู ยู อย่างน้อยเขาก็พูดได้ว่าเขาเองก็มีเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุข เพราะในสถานการณ์เสี่ยงอันตรายเช่นนี้ ก็มีแต่เพื่อนแท้เท่านั้นที่จะมาหาเขา
“ดีใจที่ได้เจอท่านจริง ๆ ท่านประมุข” ชิงสุ่ยทักทายโดยลืมไปว่าเขาเปลี่ยนวิธีเรียกชายชราไปแล้ว
เมื่อได้ยินชิงสุ่ยเรียกตัวเองเช่นนั้น หลิงฮู ยูยิ้มกว้าง “ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่เหรอ เราคือมิตรต่อกัน แม้บางครั้งมิตรภาพอาจจะต้องเสี่ยงตายกันบ้าง แต่ตระกูลของข้าเองก็ผ่านพายุมาได้ตั้งหลายครา”
“จริงอย่างท่านว่า คุณค่าของมิตรนั้นอาจจะทำให้ต้องเสี่ยงชีวิต แต่ก็ยังมีคุณค่านัก”ชิงสุ่ยหัวเราะ
หลิงฮู ยูยังคงยิ้ม “ตระกูลหลิงฮูเชื่อเสมอว่าคุณค่าของมิตรภาพนั้นน่ายินดี ตระกูลของข้าจึงยึดถือสิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญ บางทีที่ตระกูลหลิงฮู มีวันนี้ได้ก็เพราะสิ่งนี้!”
“แน่นอน ท่านประมุข ถ้าข้าต้องสู้กับตระกูลเฉ่ ท่านคิดว่าใครในกลุ่มวิหคอัคคีร่ายรำจะเข้าร่วมบ้าง?”ชิงสุ่ยสงสัย
“พวกเขาเข้าร่วมแน่ ถ้า ตระกูลเฉ่ขอความช่วยเหลือ” หลิงฮู ยูตอบพร้อมรอยยิ้ม
“แล้วท่านคิดว่าตระกูลเฉ่ จะขอความช่วยเหลือหรือไม่?”ชิงสุ่ยถามอีกครั้ง
“จากที่ข้ารู้เกี่ยวกับตระกูลเฉ่ ตอนนี้พวกเขาอาจยังไม่ร้องขอความช่วยเหลือ แต่แน่นอนว่าเขากำลังรวบรวมพล อีกอย่างตระกูลเฉ่ห่วงเกียรติยศตนยิ่งกว่าสิ่งใด พวกนั้นคงไม่ร้องขอความช่วยเหลือจนกว่าทั้งตระกูลจะถูกบดขยี้”
ชิงสุ่ยรู้สึกโล่งใจ และไม่จำเป็นต้องกังวลว่าตระกูลเฉ่จะขอความช่วยเหลือจากใคร เพราะการทำเช่นนั้นอาจถูกมองว่าเป็นคนขี้แพ้ โดยเฉพาะตระกูลที่มีชื่อเสียงเช่นพวกเขา
ชิงสุ่ยสงบใจลงบ้างเมื่อรู้ว่า ตระกูลเฉ่ยังไม่ขอความช่วยเหลือจากใครในตอนนี้ แม้ชิงสุ่ยยังต้องใช้เวลาฝึกกรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาต แต่เขาก็รู้สึกว่ามันเพียงพอแล้วในตอนนี้ สำหรับกรงเล็บทั้งหก เพราะอย่างไรแล้วจุดฝังเข็มอาจไม่ใช่จุดอ่อนของใครหลายคน
“แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไปล่ะ? เจ้าต้องการความช่วยเหลือจากข้ารึไหม? ข้าพูดจริงๆ” หลิงฮู ยูมองชิงสุ่ยและยื่นข้อเสนออย่างจริงใจ
ชิงสุ่ยมองหลิงฮู ยูและส่ายหน้า “ข้าไม่ได้เกรงใจและข้าก็ไม่รู้สึกอับอายในยามที่ร้องขอความช่วยเหลือหรอก แต่มิตรแท้ย่อมไม่ดึงมิตรตนเข้ามาพัวพันกับเรื่องเช่นนี้”
หลิงฮู ยูยิ้มและมองชิงสุ่ยเช่นกัน “มิตรแท้ก็ไม่กลัวที่จะถูกลากเข้าไปพัวกันกับเรื่องอันตรายอยู่แล้ว”
หลิงฮู ยู จากไป ชิงสุ่ยไม่คิดจะลากเขาเข้ามาเกี่ยวข้อง พวกเขาเป็นรอง ตระกูลเฉ่และยังเป็นสมาชิกของทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ อีกด้วย และชิงสุ่ยก็ไม่อยากขอความช่วยเหลือจากใคร สิ่งที่เขาสนใจตอนนี้คือพลังของเขาและการเพิ่มพลังนั้นให้มากขึ้น
ไม่นานนัก คนนับ 20 คนก็มาหาชิงสุ่ย เขาไม่แน่ใจว่าคนพวกนั้นเป็นคนของตระกูลเฉ่หรือไม่ แต่พลังของพวกเขานั้นค่อนข้างแข็งแกร่งทีเดียว ผู้ฝึกตนเหล่านี้อย่างน้อยอยู่ในอาณาจักรพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจระดับ 2 และบางคนก็มากกว่าระดับ 3 หรืออาจจะถึง อาณาจักรพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจระดับ 4 หรืออาจจะแข็งแกร่งกว่านั้น
เหนือกว่าอาณาจักรพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจระดับ 5 ถือเป็นระดับเทพเลยทีเดียว อาณาจักรพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจระดับ 1 แข็งแกร่งสองล้านสุริยะ อาณาจักรพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจระดับ 2 เท่ากับพลังของระดับ 1 บวกเข้าไปอีกล้านก็คือ4ล้านสุริยะ อาณาจักรพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจระดับ 3 คือ 4 ล้านสุริยะบวกอีก 3 ล้านสุริยะ กลายเป็น 7 ล้านสุริยะ นี่คือหลักการเพิ่มขึ้นของพลังจนไปถึงอาณาจักรพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจระดับ 5
ดังนั้นชิงสุ่ยไม่แน่ใจเรื่องพลังหลังจากระดับ 5 เขารู้แค่ว่าหลังจากนั้นจะเกิดการแบ่งระดับ แต่เขาก็ไม่แน่ใจเรื่องพลังที่แท้จริง
ในแต่ละคน การเพิ่มขึ้นของพลังนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะพัฒนาจุดถึงจุดสิ้นสุดของแต่ละขั้น บางครั้งจึงมีคนคิดว่าพลังของเขาอยู่ที่เดิมตลอดเวลา ดังนั้นแม้จะอยู่อาณาจักรพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจก็ไม่แน่นอนว่าพลังนั้นจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จริงหรือไม่ ทุก ๆ เผชิญหน้ากับทัณฑ์แห่งสวรรค์พินาจคือความท้าทายเพื่อก้าวข้ามแต่ละขั้นของอาณาจักรพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจ
อาณาจักรพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจระดับ 5 ขั้นสูงต้องมีพลังอย่างน้อย 16 ล้านสุริยะ พลังของชิงสุ่ยเกือบถึงขั้นนั้นด้วยการใช้พลังของเคล็ดวิชาสรวงสวรรค์วชิระ เขาก็ยังกังวลว่าศัตรูก็อาจจะมีพลังนี้เช่นกัน
ผู้ฝึกตนอาณาจักรพลังปราณบัณชาสวรรค์พินาจระดับ 1-3 ไม่สามารถครอบครองทักษะสวรรค์ได้ มีเพียงผู้ฝึกตนที่พลังถึง 10 ล้านสุริยะที่จะครอบครองทักษะเช่นนั้นได้ ผู้ฝึกตนที่มีทักษะสวรรค์หรือทักษะการสังหารเพียงอย่างเดียว นั่นแสดงว่าทักษะสวรรค์ของเขามีพลัง 10 ล้านสุริยะ และหากมีทักษะสวรรค์อีกหนึ่ง พลังจะเพิ่มขึ้นสูง 20 ล้านสุริยะ หรือถ้ามีทักษะอีกทักษะพลังก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 30 ล้านสุริยะ เป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ
ในตอนนี้ชิงสุ่ยมีทักษะสวรรค์ 3 ทักษะในครอบครอง ยิ่งกว่านั้น เขายังมีทักษะเกราะทองคำวชิระเป็นทักษะแฝงที่ไม่ดูดซับพลัง เมื่อเทียบกับทักษะอื่นๆ ชิงสุ่ยจึงชอบทักษะนี้มาก และด้วยเกราะทองคำวชิระ ร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งดุจเพชรเลยทีเดียว
เขาไม่เคยพบ อาณาจักรพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจระดับ 4 ในเมืองหลวงจำนวนเยอะขนาดนี้ อย่างน้อยกว่า 2 ใน 3 ของกลุ่มอยู่ในระดับ 4 ที่มีพลัง 10 ล้านสุริยะ ชิงสุ่ยไม่แน่ใจว่าพวกเขามีทักษะสวรรค์หรือไม่
ชิงสุ่ยห้ามไม่ให้อี่หวง กู่หวู๋และหยวน สู่ออกมา เขาบอกให้ทั้งสองดูแล ชิง จุน เมื่ออี่หวง กู่หวู๋ค้านที่จะออกมา ชิงสุ่ยก็ห้ามเธอและขอให้เธอเชื่อมั่นในตัวเขา
เทียนฮี่ เรินโม่อยู่ข้างๆ อี่หวง กู่หวู๋เพราะชิงสุ่ยขอให้เขาดูแลหญิงสาวทั้งสองรวมถึงชิง จุน.
“เจ้าอยากสังหารตัวเองหรืออยากให้ข้าสังหารเจ้า? ถ้าเจ้าให้ข้าทำล่ะก็..เตรียมใจไว้ได้เลย”
หนึ่งในผู้นำซึ่งเป็นชายชรา ผมและคิ้วสีขาวหิมะของเขายาวมาจนถึงเอว ดวงตาของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ไม่มีแม้กระทั่งความโกรธ
คนอื่นๆ นิ่งเงียบและบางคนจ้องชิงสุ่ยด้วยสายตาอาฆาต
“ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าทำไมตระกูลโอหังเช่นนี้ถึงอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้?”
แม้ท่าทางของพวกเขาจะตรงข้ามกับคำพูดของชิงสุ่ย แต่ความจริงนั้นเขาฆ่าคนของตระกูลเฉ่ จำนวนมาก ดังนั้นคนตำแหน่งสูงๆ ในตระกูลจึงเข้ามาสะสางเรื่องนี้เอง ทว่าคำพูดของพวกเขานั้นไม่แสดงถึงความโกรธถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเลย
“ไม่ว่า ตระกูลเฉ่จะโอหังหรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องของเจ้า แต่เมื่อเจ้าฆ่าคนของตระกูลเฉ่ เจ้าก็คงเตรียมตัวเผชิญหน้ากับพวกข้าแล้ว”ชายชราไม่แสดงท่าทีโกรธเกรี้ยวแต่อย่างใด เสียงของเขาเยือกเย็นและสงบมาก
“ข้าขี้เกียจจะพูดแล้ว ข้าไม่ได้อยากยั่วโมโหและข้าก็ไม่กลัวคนที่เข้ามาหาเรื่องเช่นกัน ถ้าหมาบ้ากัดข้า ข้าก็จะตีมันให้ตาย แล้วมันจะได้ไม่ไปกัดใครอีก”ชิงสุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ความหมายนั้นช่างยั่วโมโหอีกฝ่ายเสียเหลือเกิน
“พ่อหนุ่ม เจ้านั่นแหละที่โอหัง เจ้าไร้ซึ่งความอดทน ไม่มีทางที่ชีวิตเจ้าจะยืนยาวแน่ คนที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่มีสิทธิ์โอ้อวดได้ แม้เจ้าอยากจะทำตัวโอหัง เจ้าก็ต้องเรียนรู้ที่จะทำอย่างถูกต้อง ไม่อย่างนั้นเจ้าต้องกลายเป็นเถ้าถ่านในเร็ววัน!”ในตอนนั้นดวงตาของชายชราเบิกกว้างและปราณแห่งความตายรอบตัวเขาเริ่มหนาแน่นขึ้น
ชิงสุ่ยสัมผัสได้ว่าพลังของชายชรานั้นพิเศษ เขาแทบจะไม่มี ปราณแห่งความตาย รอบเขาเลยแท้ ๆ
“พลังแห่งตระกูลเฉ่ที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน ยาวนานพอที่จะทิ้งเกียรติและศักดิ์ศรีที่เคยมีมาในอดีต แต่ความมั่งคั่งและการตกต่ำของแต่ละตระกูลก็เป็นเรื่องปกติ…และตอนนี้ก็ถึงตาตระกูลเฉ่ต้องตกต่ำแล้วสินะ..”ชิงสุ่ยพูดขึ้น แต่จริงๆ แล้วเขาไม่ได้มีเจตนาจะยั่วโมโหแต่อย่างใด
“เจ้าคิดว่าตัวเองเก่งแค่ไหนกัน”ชายชราตัวสั่น ไม่ใช่เพียงแค่เขา คนอื่นๆ ก็เช่นนั้น
“ถ้าอย่างนั้นให้ข้าเล่นเพลงให้ท่านฟังสักบทเพลง บางทีท่านอาจจะตระหนักอะไรได้บางอย่าง”
ชิงสุ่ยไม่รอฟังคำตอบ พิณห้าสายก็อยู่ตรงหน้าชิงสุ่ย เขาเอื้อมมืออกไปและเริ่มบรรเลงเพลง เสียงดนตรีที่สนุกสนานดังขึ้นกลางอากาศ มันให้อารมณ์ ผ่อนคลายเหมือนทำให้คนตกอยู่ในภวังค์แห่งทุ่งดอกไม้ที่บานสะพรั่ง สายลมและแสงแดดอ่อน ๆ เหล่าสัตว์ตัวน้อยกำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน ด้วยเสียงเพียงที่ไพเราะราวกับนกน้อยและกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้
เตร่ง..เตร่ง..
ทว่าภาพเหล่านั้นกลับมลายหายไป กลายเป็นสถานที่อันตราย ในหุบเขาลึก และทอดยาวไปเกินกว่าที่ตาจะมองเห็น กลายเป็นยื่นอยู่ท่ามกลางความมืดมิดในดินแดนร้างว่างเปล่าซึ่งอยู่ระหว่างสวรรค์และปฐพีซึ่งมีสายลมกรรโชกอย่างทารุณ
เตร่ง เตร่ง..
สัตว์อสูรท่าทางน่ากลัวขนาดยักษ์ที่มีเขี้ยวน่าหวาดกลัวปรากฏขึ้นรอบ ๆ พวกมันน่ากลัวและคลุ้งไปด้วยกลิ่นสาบ หากต้องเผชิญเรื่องเช่นนี้คนเดียว ไม่ว่าใครก็ต้องยอมจำนน…
“อ๊าาา!”
หนึ่งในชายชราร้องโหยหวน บางคนกลับเข้ามาสู่โลกแห่งความเป็นจริง ราวกับพวกเขาเพิ่งตื่นจากฝัน แต่คนที่พลังอ่อนแอนั้นยังคงตกอยู่ในภาพหลอน จนสูญเสียจิตวิญญาณและร่างกายไป
“เจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทงั้นรึ?” ชายชราผู้นำถามพลางขมวดคิ้ว นิกายเสียงสวรรค์กัมปนาท?
ชิงสุ่ยไม่เคลื่อนไหวและไม่พูดอะไร เขาไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาท เลย แต่เมื่อมองนัยน์ตาของชายชรา ชิงสุ่ยสังเกตเห็นความกลัวและความเกลียดชังผ่านดวงตาของเขา