ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย
https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique
บทที่ 1420 – เข้าถึงดินแดนพลังเทวะแห่งเต๋าอีกครั้ง บรรลุขั้นการเขียนภาพ ขั้นจิตวิญญาณ
แน่นอนว่าชิงสุ่ยไม่ได้คัดค้านใดๆ มันจะดีที่สุดถ้าประมุขอสูรทำเช่นนั้นได้ แต่ความเป็นไปได้ต่ำมาก เขาไม่ได้คาดหวังมากนัก
ฮัวรูเหม่ยทนรอไม่ไหวที่จะกิน เธอตาเป็นประกายต่อหน้าชิงสุ่ย “อาหารช่างเลิศรส เพียงแค่คำแรกก็สามารถบอกได้ว่ามันอร่อยเกินกว่าจะจินตนาการ”
ฮัวรูเหม่ยไม่เคยคิดว่าชายหนุ่มจะฝีมือในการทำอาหารยอดเยี่ยมเช่นนี้ พ่อครัวส่วนใหญ่ในโลก 9 มหาทวีปเป็นคนปกติหรือผู้หญิง มีผู้ฝึกตนน้อยมากในอาชีพนี้ พวกเขาไม่ใช่คนที่มีทักษะสูงอะไร มันเห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มผู้นี้ไม่เพียงแต่จะมีพรสวรรค์ในด้านศิลปะการต่อสู้ แต่เขายังมีพรสวรรค์ในด้านอื่นๆ เขาเป็นตัวตนที่อยู่เหนือโลกใบนี้ เธอจะรู้สึกละอายใจที่ด้อยกว่า คนผู้นี้ไม่เพียงแต่จะเชี่ยวชาญในศิลปะการต่อสู้ แต่ยังมีรวมทั้งยา การปรุงยา และการทำอาหาร ไม่มีอะไรที่เขาไม่รู้จัก
ฮัวรูเหม่ยหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และเดินหน้ากินทุกอย่าง
ประมุขอสูรกินอาหารช้าๆอย่างเป็นธรรมชาติและสง่างาม มันเป็นภาพที่ทำให้เกิดความรู้สึกถึงความสง่างามและงดงามแบบธรรมชาติ
แม้ว่าใบหน้าของเธอจะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆอย่างเห็นได้ชัด แต่ชิงสุ่ยก็สามารถเห็นความแปลกใจบนใบหน้าที่สวยงามของเธอได้ เธอเงยหน้าขึ้นมองไปที่ชิงสุ่ยและตาของพวกเขาก็มาบรรจบกัน
“อร่อยหรือไม่?” ชิงสุ่ยถามด้วยความภาคภูมิใจ
“อือ!” หญิงสาวพยักหน้าเบาๆ เธอรู้สึกว่าชายคนนี้เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะกล้าขึ้นกว่าเดิม เขาเป็นดูเป็นผู้ใหญ่และกล้าหาญมากขึ้น
“เช่นนั้น ท่านควรกินให้มากๆ” ชิงสุ่ยหัวเราะขณะที่เขากิน
ฮัวรูเหม่ยรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่เธอเห็น การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ของชายหนุ่มเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งประมุขอสูรก็ดูเหมือนจะปฏิบัติต่อเขาแตกต่างไปจากผู้อื่น เธอไม่เคยกินอาหารกับผู้ชายมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นเธอไม่เคยรับสิ่งใดจากผู้ชายตรงๆ
แต่วันนี้ทุกอย่างดูเหมือนจะได้รับการทำลายลง ความสัมพันธ์ของทั้งสองเป็นสิ่งที่ผู้อื่นไม่อาจเข้าใจได้
ฮัวรูเหม่ยตบลงไปเบาๆบนท้องที่อัดแน่นและกล่าว “นี่เป็นมื้ออาหารที่ดีที่สุดที่ข้าเคยกิน ถ้าใครได้แต่งงานกับชิงสุ่ย นั่นก็นับว่าเป็นความสุขในชีวิตของพวกเขาแล้ว เจ้าไม่คิดอย่างนั้นหรือ ประมุขอสูร?”
มือของชิงสุ่ยสั่นเครือ ความสัมพันธ์ของฮัวรูเหม่ยและประมุขอสูรก็เหมือนกับพี่สาวน้องสาว คนส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะพูดเรื่องตลกแบบนี้ แต่สำหรับเธอ มันไม่มีความกดดันใดๆในการพูดแบบนี้ต่อหน้าประมุขอสูร
คราวนี้ประมุขอสูรไม่ได้พูดอะไร คำพูดของฮัวรูเหม่ยไม่มีผล นี่อาจจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอพูดอะไรบางอย่างแนวนี้ ความเงียบของประมุขอสูรไม่ทำให้ฮัวรูเหม่ยรู้สึกอยากจะออกไปจากตรงนี้
หลังจากมื้ออาหาร ชิงสุ่ยเป็นคนทำความสะอาดโต๊ะ ฮัวรูเหม่ยลุกขึ้นยืน “พวกเราจะช่วยด้วย ประมุขอสูรและข้าไม่ใช่ช่วยอะไรมากนักก่อนหน้านี้ พวกเราจะเป็นคนล้างจานเอง”
ประมุขอสูรตะลึงไปชั่วขณะ ชิงสุ่ยมองไปที่เธออย่างประหลาดใจ เธอพยักหน้าและกล่าว “ควรจะเป็นเช่นนั้น”
ชิงสุ่ยถูขมับและตัดสินใจให้พวกเขาล้างจาน การได้ดูมืออันนุ่มนวลและขาวราวหิมะของพวกเธอล้างจานเป็นสิ่งที่น่าเพลิดเพลิน ฮัวรูเหม่ยเริ่มลงมือ เธอและประมุขอสูรล้างจานของตัวเองก่อนแล้วตามด้วยจานและถ้วยใบอื่นๆ
ในตอนสุดท้าย ฮัวรูเหม่ยทำการล้างถ้วยของเธอ ดูเหมือนว่าเธอจะล้างมันอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง จากนั้นประมุขอสูรก็หยิบถ้วยของชิงสุ่ยไปล้าง……
ในขณะนั้นชิงสุ่ยรู้สึกว่าเขากำลังเห็นภาพหลอน เขารู้สึกว่าเธอเหมือนเป็นผู้หญิงของตัวเอง มันเป็นเรื่องธรรมชาติสำหรับเธอที่จะล้างถ้วยของเขา
เมื่อชิงสุ่ยคิดถึงส่วนนี้ เขารู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องพิเศษ เขาเคยสัมผัสร่างกายของเธออย่างทั่วถึง แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เขารู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้…
“ชิงสุ่ย สีหน้าของเจ้าดูแปลกๆไป เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่หรือ?” ฮัวรูเหม่ยยิ้มขณะที่เธอเอื้อมมือไปสะบัดที่หน้าของชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยได้สติในที่สุด ใบหน้าของเขาแดง เขาเห็นว่าประมุขอสูรเองก็มองมาที่เขาด้วยท่าทีผิดปกติ ดูเหมือนว่าเธอคิดว่าชิงสุ่ยกำลังคิดหรือนึกถึงบางเรื่องขึ้นมาเล็กน้อย
“ข้าคิดถึงบางสิ่งที่เกิดขึ้นซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ไม่มีที่ว่างสำหรับความเสียใจ แต่มันต้องมีวิธีการไถ่โทษ” ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมถอนหายใจ
“เจ้าเศร้าเรื่องอะไรหรือ? เจ้าบอกพี่สาวคนนี้ได้หากทำอะไรผิด ข้าจะให้คำแนะนำแก่เจ้าเอง” ฮัวรูเหม่ยดูเหมือนจะสนใจ
ประมุขอสูรกล่าวขอตัวกับเธอก่อนกลับที่พัก
“ท่านอยากฟังจริงๆงั้นหรือ?” ชิงสุ่ยถามและหัวเราะ
“ถ้าเจ้าอยากบอก เช่นนั้นข้าก็จะฟัง” ฮัวรูเหม่ยกล่าวขณะหัวเราะ
ชิงสุ่ยส่ายหัว “ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรต้องพูดถึง ไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิดพลาด สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องในอดีตตอนที่ข้ายังเด็ก บางทีความผิดพลาดหลายอย่างอาจนำไปสู่หนทางที่ถูกต้อง”
“ทำไมสิ่งที่ผิดพลาดถึงเป็นหนทางที่ถูกต้องงั้นหรือ?” ฮัวรูเหม่ยและชิงสุ่ยพูดนั่งลงพูดคุยกันจนท้องฟ้ามืดลง
“ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นเมื่อตอนหนุ่มสาว สวรรค์ย่อมให้อภัย เนื่องจากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในขณะนั้น พวกเขาสามารถแก้ไขและไถ่โทษได้เมื่อโตขึ้น ด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะมีสิ่งที่ต้องทำ พวกเขาจะไม่รู้สึกว่างเปล่าเพราะมีบางสิ่งที่ติดค้างอยู่ การทำผิดพลาดตอนยังเยาว์จะเป็นกลายความทรงจำให้พวกเขามองย้อนกลับมาตอนชรา มันจะเป็นสิ่งที่จดจำเอาไว้และพวกเขาจะไม่รู้สึกว่าชีวิตของตัวเองนั้นขาดรสชาติ”
“ข้าไม่สามารถบอกได้ว่าคำพูดของเจ้ามีเหตุผลหรือไม่ ดูเหมือนว่าข้าควรจะทำผิดพลาดบางอย่างหรือข้าควรจะรู้สึกเศร้า” ฮัวรูเหม่ยมองไปที่ชิงสุ่ยและกล่าวอย่างจริงจัง
ชิงสุ่ยส่ายหัว เขาเคยได้ยินคำพูดเหล่านี้มาก่อนในช่วงชีวิตก่อนหน้า แม้ว่าจะเป็นเรื่องปกติที่พูดนอกเรื่องในการสนทนา มันมีหลักการบางอย่าง ในที่สุดเขาก็เข้าใจหลักการของมันเมื่อเขาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ในวัยปัจจุบันของเขากับเด็กๆที่โตขึ้น ชิงสุ่ยเข้าใจว่ามีข้อผิดพลาดมากมายที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้
“มันมีสิ่งที่ต้องจ่ายสำหรับการทำผิดพลาด ผู้อื่นอาจจะทำผิดพลาดมากมาย ข้อผิดพลาดบางอย่างอาจเกิดขึ้นได้ แต่บางสิ่งก็ไม่ควรที่จะเกิด”
“โอ๊ะ? ข้ารู้สึกว่าเจ้ากำลังสอนบางสิ่งให้กับพี่สาวของเจ้างั้นหรือ?” ฮัวรูเหม่ยหัวเราะ
“แน่นอน มิฉะนั้น ทำไมคนรุ่นก่อนถึงชอบที่จะสอนคนรุ่นใหม่หล่ะ?” ชิงสุ่ยก็หัวเราะ
หลังจากที่พวกเขาคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ฮัวรูเหม่ยและชิงสุ่ยก็กลับไปยังที่พักของตัวเอง ชิงสุ่ยเข้าไปในที่พักของเขาแล้วเข้าไปสู่ดินแดนหยกยุพราชอมตะ
ฝึกฝน!
อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยพบว่าหัวใจของเขาว้าวุ่น เขาไม่สามารถสงบลงได้ ในหัวของเขาเต็มไปด้วยเรื่องของประมุขอสูร เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ จิตใจของเขาเต็มไปด้วยภาพเงาของประมุขอสูรในวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพเหตุการณ์ขณะที่เธอกำลังล้างจาน
ชิงสุ่ยผู้ซึ่งไม่สามารถฝึกฝนได้อย่างใจเย็นหยิบพู่กันอสูรทองคำและหมึกศิลาจันทราออกมา เขาหยิบกระดาษออกมาและเริ่มเขียนหลังจากเตรียมหมึก
มันเป็นภาพเขียน แน่นอนว่าเป็นประมุขอสูร
ชิงสุ่ยไม่ได้พัฒนาการเขียนภาพมาเป็นเวลานาน ช่วงเวลานี้เขาเพียงแค่วาดตามภาพร่างของเธอในหัวใจของเขา
เขาไม่ได้ยึดติดกับการวาดของเขาอีกแล้ว สิ่งที่เขาต้องการคือวาดภาพของเธอที่อยู่ในหัวใจของเขา เมื่อเขาเบื่อ เขาอาจจะมองมาที่มันและระลึกถึง
ในขณะที่เขาหลงใหลไปกับงานศิลปะของเขา เขาเริ่มระลึกประสบการณ์ในครั้งแรก เขาเสริมความเข้าใจเล็กน้อยที่เขาได้รับ ความรัก ความอ่อนโยน และความปรารถนาอันแรงกล้า ความรู้สึกเหล่านี้ทั้งหมดใส่ลงไป
เขาวาดมันด้วยความผ่อนคลาย ไม่ได้วาดโดยใช้แรง แต่วาดด้วยความรู้สึก
ดินแดนพลังเทวะแห่งเต๋า!
สำหรับคนผู้หนึ่งที่ได้ก้าวเข้าสู่ดินแดนพลังเทวะแห่งเต๋า ชิงสุ่ยได้ก้าวหน้าขึ้นอีกครั้ง
ดินแดนพลังเทวะแห่งเต๋าเป็นสิ่งที่ยากจะเข้าใจ มันเป็นพลังอันลึกลับ อย่างไรก็ตามเขาสามารถหยิบยืมอำนาจที่ทรงพลังจากมัน!
เมื่อถึงเวลาที่ชิงสุ่ยหยุดลง เขาสังเกตเห็นว่าช่วงเวลาที่เหลืออยู่ในดินแดนหยกยุพราชอมตะนั้นหมดไปมากกว่าครึ่ง แต่ภาพเขียนนี้เป็นภาพที่ชิงสุ่ยพอใจมากที่สุด ตอนนี้เขามีความสุข ตอนนี้เขาบรรลุถึงการเขียนภาพขั้นกระดูกหมดแล้ว
ชิงสุ่ยอยู่ในขั้นกระดูกมานานมาก เขาไม่ได้เตรียมการที่จะบรรลุใดๆ ยิ่งไปกว่านั้น เวลาที่เขาใช้ฝึกฝนการเขียนภาพก็น้อยลงเรื่อยๆ เขาไม่เคยคิดว่าจะประสบความสำเร็จในตอนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันไม่มีคำบอกใบ้ใดๆ
ขั้นจิตวิญญาณ!
ในขณะที่เขาคิดถึงเรื่องนี้ ชิงสุ่ยรู้สึกว่ามันเกินความจริง เขามองไปที่หญิงผู้ในภาพเขียนและรู้สึกเหมือนว่ามันมีชีวิต เขามั่นใจเกี่ยวกับความรู้สึกที่มันให้ถ่ายทอดออกมา มันมีความสดใสและเหมือนจริง
ชิงสุ่ยได้บรรลุเข้าสู่ขั้นจิตวิญญาณในทันที มีการกล่าวกันว่าขั้นจิตวิญญาณจะสามารถดึงจิตวิญญาณออกมาได้จริงๆ แต่มันก็ดูเกินจริง ภาพเขียนน่าหลงใหลยิ่งขึ้น แต่มันก็ไม่สามารถวาดบางสิ่งให้มีชีวิตได้ เขาไม่รู้ มีความเป็นไปได้ที่ต่ำ ระดับของชิงสุ่ยสามารถทำให้เข้าถึงแก่นแท้ของบุคคลในภาพ ลมปราณ และจิตวิญญาณ หลังจากที่เขาคิดถึงเรื่องนี้สักพักหนึ่ง เขารู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันไม่ได้เป็นไปตามดินแดนพลังเทวะแห่งเต๋า
ชิงสุ่ยมองภาพเขียนนี้ มันไม่สำคัญว่าใครกำลังมองมัน พวกเขาจะต้องรู้สึกตกใจ นี่เป็นภาพเขียนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก 9 มหาทวีปอย่างแน่นอน การใส่จิตวิญญาณลงไปคือสาระสำคัญของการเขียนภาพ
ชิงสุ่ยค้นพบว่าเขาไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่นิดเดียว มันทำให้เขาต้องตกใจอีกครั้ง คราวนี้การพัฒนาไม่ได้ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น แต่เป็นการสั่งสมลมปราณและจิตวิญญาณขึ้นเป็น 2 เท่า นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัว พลังโจมตีของเขาไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่ความทนทานในการต่อสู้เพิ่มเป็น 2 เท่า
ตอนนี้สภาพจิตใจของชิงสุ่ยสงบลงแล้ว อย่างไรก็ตามหัวใจของเขายังว้าวุ่นเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้มีอำนาจในการทำลายล้างแม้จะอยู่กับที่โดยไม่ต้องขยับ เธอสามารถทำให้ผู้ชายพ่ายแพ้และสิ้นหวัง
ชิงสุ่ยเคยรู้สึกถึงมันมาก่อน การมีเธออยู่ก็เหมือนมีชีวิต ขณะที่การสูญเสียเธอก็เหมือนการจบชีวิตลง
……
วันที่สอง ชิงสุ่ยตื่นขึ้นมาในตอนเช้าและฝึกฝนไท้เก๊ก ดินแดนพลังเทวะแห่งเต๋าของเขาดูเหมือนจะยกระดับขึ้นเล็กน้อย แม้แต่หมัดไท้เก๊กก็ดูเหมือนจะแข็งแรงขึ้น
ปราณทองคำไทเก๊กห่อหุ้มรอบชิงสุ่ยและเหมือนกับน้ำสายน้ำที่เคลื่อนไหวไปตามกำปั้นของเขา ปราณทองคำไทเก๊กนี้มีความยืดหยุ่นมากที่สุดและยังหนักแน่น มันแปรเปลี่ยนไปตามการเคลื่อนไหวของเขาด้วยความแน่วแน่และพลังหยาง
แต่ละกำปั้นแสดงถึงตัวตนของเขา ดูเหมือนว่าเขาจะฝึกซ้อมโดยปราศจากแรงกดดัน ด้วยภาพที่เห็น ผู้คนจะไม่กล้าที่จะประมาทในความสามารถของเขา
ประมุขอสูรและฮัวรูเหม่ยยืนอยู่นอกที่พักของพวกเธอ พวกเธอเฝ้าดูชิงสุ่ยจากระยะไกล
“เป็นอย่างไรบ้าง? เขามีโอกาสช่วยให้พวกเราชนะขึ้นหรือไม่?” ฮัวรูเหม่ยกล่าวอย่างมีความสุข