บทที่ 1522 –ต้นไม้แสงจันทร์
ชิงสุ่ยไม่รู้สึกผิดในสิ่งที่เขาทำลงไป เขาจ้องมองไปที่ชายผู้นั้นที่กองอยู่ที่พื้นขณะยิ้มและเดินไปหาฉินชิง “ภรรยาของข้า ตอนนี้ข้าได้จัดการกับขยะที่มารบกวนเจ้าเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ไปเจ้าไม่ต้องกลัวใครผู้ใดอีก”
ผู้คนที่อยู่ในที่แห่งนี้ยังคงตกตะลึงอยู่กับภาพที่เกิดขึ้น ในตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าชิงสุ่ยนั้นไม่ใช่คนธรรมดาที่ใครๆจะสามารถต่อกรได้ นอกจากนี้จากการแสดงออกของเขาทำให้พวกเขารู้ว่าทั้งสองคนนั้นมีสายสมัพันธ์ที่ไม่ธรรมดาอย่างมาก
“มันจะดีกว่าถ้าเขา ฆ่าผู้คนเหล่านั้นทั้งหมด”เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น
“ถูกต้อง คนพวกนี้นั้นไม่ต่างกับขยะดีๆ ที่คอยรังแกคนอื่นๆ มีหญิงสาวมากมายแล้วที่ต้องตายเพราะพวกเขา ไม่เว้นแม้แต่ลูกสาวของข้า!”
“แต่ถึงอย่างไรแบบนี้ก็ดีแล้ว ตอนนี้พวกเขานั้นไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไป นอกจากนี้พวกเขานั้นก็สูญเสียความเป็นชายไปแล้ว แบบนี้ดีเหมือนกัน ขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้คนชั่วพวกนี้ถูกลงโทษ”
…..
เมื่อชิงสุ่ยได้ยินคำพูดของเธอ เขาได้หันไปมองใบหน้าของเธอที่เต็มไปด้วยความสุขและไม่พอใจในเวลาเดียวกัน ก่อนที่เธอจะเดินออกไป
ถึงแม้คนกลุ่มนี้จะถูกจัดการลงไปแต่ชิงสุ่ยก็รู้ดีว่ายังมีคนกลุ่มอื่นๆที่เลวร้ายเช่นนี้อยู่ แต่ถึงอย่างไรก็ตามเขานั้นก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่ปัญหาของเขา เขาไม่ใช่วีรบุรุษที่ต้องทำหน้าที่เช่นนี้ นี่เป็นเพราะกลุ่มคนเหล่านั้นเข้ามาหาเรื่องเขาๆจึงได้ให้บทเรียนกับพวกเขา
ชิงสุ่ยไม่ได้ฆ่าพวกเขา นั้นเพราะเขาไม่สนใจที่จะสังหารคนที่ไม่มีทางสู้ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้พวกเขาก็ได้สูญเสียพลังการบ่มเพาะไปแล้ว พวกเขาไม่มีค่าอะไรอีกต่อไป เท่านี้ก็ถือว่าชีวิตที่รุ่งโรจของพวกเขาได้จบลงไปแล้ว
หากให้โทษพวกเขาต้องโทษตัวเองที่ต้องมาพบเจอโชคร้ายเช่นนี้ หรือเป็นเพราะความหยิ่งผยองที่พวกเขานั้นสร้างขึ้น จึงทำให้พวกเขาพบเจอกับชะตากรรมเช่นนี้
ในตอนนี้ชิงสุ่ยและฉินชิงได้เดินออกไปรอบๆโรงเตี๊ยม เพื่อชมภาพของเมืองในยามค่ำคืน
มีๆหลายคนที่กำลังรับประทานอาหารอยู่ในบริเวณดังกล่าว
ทั้งสองคนค่อยๆนั่งลงอีกครั้งที่เก้าอี้ใกล้หน้าต่าง ในไม่ช้าก็มีหญิงสาวคนหนึ่งค่อยๆเดินเข้ามาพร้อมยกกาน้ำชาให้พวกเขา
“แม่นางข้าขอถามอะไรเจ้าหน่อยได้รึไม่? เจ้ารู้รึไม่ว่าทำไมเมืองแห่งนี้ถึงมีชื่อว่าเมืองแสงจันทร์?” ชิงสุ่ยกล่าว
“ข้าทราบ นั้นก็เพราะเมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่อยู่ในหุบเขา เมืองเวลาราตรีมาถึงแสงจันทร์นั้นจะรอดผ่านช่องเขาเข้ามากระทบกับบริเวณตัวเมืองพอดี ทำให้เมืองแห่งนี้เหมือนอาบเอาไว้โดยแสงจันทร์”
“แล้วหุบเขานั้นมือชื่อว่าอะไรรึ มันนั้นมีชื่อเสียงและงดงามรึไม่?”
“มันชื่อว่าหุบเขาจันทรา อันที่จริงมันไม่มีชื่อเสียงมากนัก แต่เป็นอันรู้กันว่าที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยสัตว์อสูรมากมาย นอกจากนี้ยังมีคนเคยเล่าอีกว่ามันเป็นที่ต้นแสงจันทร์งอกเงยอยู่ จากที่ข้าได้ยินมากว่ามันเป็นสถานที่ๆงดงามอย่างมาก นอกจากนี้น้ำค้างที่อยู่บนต้นแสงจันทร์นั้นยังมีคุณสมบัติที่ดีเยี่ยมในการบ่มเพาะ จึงทำให้สัตว์อสูรจำนวนมากอาศัยอยู่ใกล้ๆกับมัน ”
ต้นแสงจันทร์ ชิงสุ่ยแอบประทับใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้ จากความทรงจำในอดีตของเขาๆนั้นจำได้ว่าต้นแสงจันทร์นั้นมีคุณสมบัติที่ดีเยี่ยมในการบ่มเพาะให้กับสัตว์อสูร แต่ชิงสุ่ยไม่มั่นใจว่ามันจะใช่ต้นชนิดเดียวกันกับที่เขาได้ยินในตอนนี้รึไม่ แต่เขาเองก็คิดว่ามันมีโอกาสเป็นไปได้ว่ามันจะเป็นต้นไม่ชนิดเดียวกัน
หลังจากที่หญิงสาวคนนั้นจากไป “ข้าจะเข้าไปยังหุบเขาจันทรา เพื่อค้นหามัน”ชิงสุ่ยกล่าว
“อือ!”ฉินชิงกล่าว
หลังจากนั้นไม่นานทั้งคู่ก็ได้ออกเดินทางไปยังหุบเขาจันทรา
หุบเขาแห่งนี้เป็นพื้นที่อิสระไม่ว่าใครก็สามารถเข้ามาที่แห่งนี้ได้ ดังนั้นจึงมีมีขาวบ้านจำนวนหนึ่งเข้ามาเก็บของป่าไปขาย แต่ถึงไรก็ตามพวกเขานั้นก็ไม่สามารถเข้าไปไกลได้มากระยะ10ลี่
ในตอนนี้ทั้งคู่ได้ทะยานผ่านเมฆหมอกยามราตรีไปในบนท้องฟ้า พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นอ่อนๆรอบๆกายของพวกเขา มันเป็นความรู้สึกที่สบายอย่างมาก สถานที่แห่งนี้เงียบสงบอย่างมากจะมีก็แค่เสียงของแมลงเท่านั้นที่ดังอยู่
ต้นแสงจันทร์นั้นเป็นต้นไม้ที่มีสีขาวดังหิมะ ชิงสุ่ยจึงคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องยากทีจะค้นหามัน อย่างไรก็ตามเขานั้นก็รู้ดีว่ามันอยู่ในส่วนที่ลึกลงไปในหุบเขาแห่งนี้ ดังนั้นชิงสุ่ยจึงได้เรียกอสูรสยบมังกร หมู่ป่านักล่าสมบัติออกมาเพื่อค้นหามัน
ในตอนนั้นเองชิงสุ่ยได้ใช้ย่างก้าวเก้าเทวาออกมา เพื่อต้องเขาไปในส่วนที่ลึกที่สุดของหุบขาแห่งนี้ บริเวณที่แห่งนี้นั้นมีสภาพอากาศที่หนาวเย็นกว่าบริเวณก่อนหน้านี้อย่างมากมายนัก จนทำให้น้ำค้างที่อยู่ในบริเวณรอบๆกลายเป็นน้ำแข็งไปจนเกือบทั้งหมด
ในตอนนี้ทั้งสองยังไม่ได้หยุดการค้นหาลง ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไรมันก็ยิ่งหนาวเย็นขึ้นเท่านั้น ชิงสุ่ยเริ่มคิดว่านี้ไม่ใช่สภาพแวดล้มที่ปกติแล้ว บางทีมันอาจจะมาจากอะไรสักอย่างหนึ่ง
หลังจากที่ค้าหามาเป็นเวลาสักพักใหญ่ๆ ทั้งสองก็มาถึงต้นไม้ต้นหนึ่งที่พวกเขาสามารถบอกได้ในทันทีเพียงแรกเห็นว่ามันคือต้นแสงจันทร์ที่พวกเขานั้นค้นหาอยู่
มันเป็นต้นไม้ที่ไม่สูงมากนัก มีความสูงเพียงสองเมตรเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรผิวของมันนั้นปกคลุมไปด้วยสิขาวหิมะ นอกจากนี่มันยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่บริสุทธิ์
ชิงสุ่ยไม่รอช้าก่อนที่ใช้เนตรสวรรค์มองไปที่มันในทันที
ต้นแสงจันทร์ร้อยปี!
ขณะที่ชิงสุ่ยได้จ้องไปที่ผิวสีขาวของมันทำให้เขาเข้าใจได้ว่า มันคือน้ำค้างที่หญิงสาวก่อนหน้ากล่าวถึง มันเกินจากน้ำล่อเลี้ยงจากต้นแสงจันทร์ที่ปลดปล่อยออกมา ด้วยอุณหภูมิที่ต่ำภายในต้นจึงทำให้หยดน้ำเหล่านั้นควบแน่นเป็นน้ำแข็งในทันทีเมื่อมันออกมา หลังจากที่จ้องมองไปที่มันอย่างละเอียดชิงสุ่ยรู้ว่านี้เป็นของล้ำค่าอย่างมากไม่เพียงแค่สัตว์อสูร มนุษย์นั้นก็ยังสามารถที่จะใช้มันได้ ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งต้นแสจันทร์นั้นมีอายุมีขึ้นเท่าไร้ ผลของน้ำค้างจะยิ่งทรงอำนาจมากยิ่งขึ้น
เมื่อเห็นอย่างนี้ชิงสุ่ยไม่รอช้าอีกต่อไปเขาได้ขุดลงไปรอบๆต้นแสงจันทร์และย้ายมันไปปลูกไว้ในดินแดนหยกของเขา นี่เป็นวิธีที่เขาเคยทำมากก่อน แต่การกระทำนี้ของเขาทำให้ฉินชิงนั้นมึนงงอย่างมาก ปกติแล้วถุงแพรมิตินั้นจะไม่สามารถเก็บสิ่งของมีชีวิตเข้าไปได้ แต่ถึงอย่างไรเธอก็ไม่ได้ถามออกมา
หลังจากที่เขาได้รับมันมาทำให้ชิงสุ่ยรู้ว่าต้นแสงจันทร์นั้นจะให้น้ำค้างที่มีประสิทธิภาพออกมาเมื่อมีอายุ500ปี
ในตอนนี้ชิงสุ่ยยังไม่หยุดมือเขานั้นขุดต้นแสงจันทร์ต้นแล้วต้นเล่า ต้นแสงจันทร์มากกว่า100ต้นถูกขุดออกมา สิ่งนี่ทำให้ฉินชิงนั้นงงงวยมากกว่าเก่า ถึงแม้เธอนั้นจะมีถุงแพรมิติที่มีคุณภาพสูงอยู่ แต่ถึงอย่างไรก็ตามมันก็ยังไม่สามารถบรรจุต้นไม้จำนวนขนาดนี้ลงไปได้ มันยิ่งทำให้เธอสงสัยในตัวตนของเขาและจ้องมองไปที่เขาอย่างไม่เข้าใจ
ในตอนนี้ต้นแสงจันทร์ที่ดีที่สุดที่เขาได้รับมานั้นมีอายุเพียง300ปีเท่านั้น มันเป็นเรื่องยากอย่างมากที่จะพบเจอต้นไม้อายุ500ปีในที่แห่งนี้
หลังจากเกาะต้นไม้ทั้งหมด ชิงสุ่ยได้หันไปพบเจอใบหน้าที่งงงวยของฉินชิง มันทำให้เขานั้นหลุดเหราะออกมาเบาๆและกล่าวว่า “ข้ามีสมบัติที่ล้ำค่าอยู่ทำให้ข้าสามารถเก็บพวกมันทั้งหมดเข้าไปได้ เจ้าอยากรู้เกี่ยวกับสมบัติชิ้นนี้ของข้ารึไม่?”
ฉินชิงส่ายหน้าออกมาในตอนนี้
“เจ้าแน่ใจนะ ว่าไม่อยากรู้จริงๆ?”ชิงสุ่ยถามอีกครั้ง
“ความอยากรู้อยากเห็นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเสมอไป ดังนั้นข้าคิดว่าข้าไม่จำเป็นต้องรู้มันดีกว่า นอกจากนี้มันก็ไม่มีประโยชน์ต่อข้า”เธอกล่าวออกมาอย่างชาญฉลาด
………..
หลังจากที่ออกจากหุบเขาทั้งคู่ก็ได้ออกเดินทางต่อในทันทียังคงมีหนทางอีกยาวไกลอย่างมากที่จะไปถึงจักรวรรดิฉิน ดังนั้นทั้งคู้จึงได้เปลี่ยนแผนและออกเดินทางต่อโดยใช้วิหคเพลิงของชิงสุ่ย
“จักรวรรดิฉินแข็งแกร่งเพียงใด?”
“ข้าจะกล่าวอย่างไรดี…มันขึ้นว่าเจ้านั้นได้สู้กับใครมากกว่า?”
“ผู้ฝึกตนระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์”ชิงสุ่ยกล่าว
“ไม่รู้สิ ข้าไม่เคยเห็นพลังที่แท้จริงของพวกเขา แต่ถึงอย่างไรก็ตามพวกเขานั้นเป็นตัวตนที่เทียบได้กับเทพเจ้าในโลกใบนี้”
ชิงสุ่ยไม่ได้ถามอะไรต่อไป นั้นเพราะเขารู้ว่าเธอนั้นพูดความจริง มันมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างผู้บ่มเพาะบัญชาสวรรค์พินาศกับผู้บ่มเพาะสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์
ในระหว่างเดินทางพวกเขานั้นได้คุยกันน้อยมาก ยิ่งเป็นเรื่องภูมิหลังของทั้งคู่ แต่ถึงอย่างไรก็ตามฉินชิงนั้นก็รู้ว่าชิงสุ่ยนั้นเป็นคนของ9ทวีป ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นหมอที่เก่งกาจอย่างมาก ในทางกลับกันชิงสุ่ยก็รู้ว่าเธอนั้นเป็นคนของจักรวรรดิฉินที่ทรงอำนาจ และเธอเองก็ไม่ได้อ่อนแอเลย
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปในที่สุดพวกเขาก็มาถึงจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์
จักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก มากให้เทียบกับจักรวรรดิก่อนหน้านี้ที่ชิงสุ่ยเคยพบเจอมา มันนั้นดูเล็กลงราวกับเป็นเพียงแค่หมู่เกาะเท่านั้น
เมื่อทั้งคู่กำลังจะลงไปข้างล้าง มังกรดำตัวมหึมาได้ปรากฏขึ้นและปิดกั้นพวกเขาเอาไว้
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเจอกับมังกรดำ มันนั้นมีเกล็ดสีดำเข้ม ดวงตาที่แดงเลือด ตามตำนานนั้นมังกรดำเป็นที่รู้จักกันในชื่อปีศาจมังกร มันนั้นเป็นมังกรนักล่าในสายพันธ์ของมันเอง
ในตอนนี้ชิงสุ่ยได้สังเกตเห็นฉินชิงที่อยู่ข้างๆเขา นั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ว่าจะตื่นตระหนกหรือหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย การแสดงออกของเธอนั้นมีเพียงแค่ความสงบนิ่งเท่านั้น