บทที่ 1574 – ควบคุม เปลี่ยนแปลง ปัญหาที่กำลังจะมาถึง
หลังจากกล่าวเช่นนี้มู่หยุน ชิงเฉิงก็ดูภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ความงามของนางที่เปล่งประกายออกมาในตอนนี้นั้นไม่ด้อยไปกว่าผู้ใดเลย
ชิงสุ่ยนึกถึงชางห่าย หมิงเยวี่ย ครั้งแรกที่เขาได้พบกับนางเขารู้สึกราวกับว่าเขากำลังยืนอยู่บนแร้งอสนีปีกทองคำที่กำลังเหินเวหาพร้อมกับความงามดุจเทพธิดาของนาง
ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ทราบถึงตำแหน่งของผู้นำแห่งเผ่ามัจฉาทั้ง 13 คนอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดชิงสุ่ยก็แยกตัวออกไปจัดการ 5 คนซึ่งจิน ลี่อวี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
เมื่อได้รับตำแหน่งที่ชัดเจนแล้วตอนนี้พวกเขาก็ต้องแข่งกับเวลาเท่านั้น ทั้งสามคนเน้นย้ำถึงเรื่องความระมัดระวัง หากพวกเขาปล่อยให้เผ่ามัจฉาลงมือก่อนย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่
ชิงสุ่ยรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้มีอะไรบางอย่างที่แปลกไปแต่มันก็ยังราบรื่นจนถึงขณะนี้ หลังจากนี้สิ่งที่พวกเขาต้องพบเจอต้องหนักหนาสาหัสอย่างแน่นอน
ทีแรกที่ชิงสุ่ยไปนั่นก็คือวังของจิน ลี่อวี้ วังมัจฉา
เมื่อชิงสุ่ยได้มายังที่แห่งนี้สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เขาต้องตกตะลึง ที่นี่มีชายหนุ่มและหญิงสาวรูปงามมากมาย ดูเหมือนว่าเผ่ามัจฉาจะไม่มีผู้ใดที่อัปลักษณ์เลย
ชิงสุ่ยเดินเข้าไปแต่เขาก็ถูกขัดขวางอย่างรวดเร็ว มีชายหนุ่ม 2 คนเข้ามาขวางทางของเขา “ท่านจ้าววังที่ 3 ไม่ต้องการที่จะพบผู้ใด โปรดกลับไปด้วยขอรับ!”
ชิงสุ่ยประหลาดใจ ดูเหมือนว่าจิน ลี่อวี้จะวางแผนเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นและจากนั้นเขาก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “วันพรุ่งนี้พวกเราจะต้องเริ่มต่อสู้กับพระราชวังมังกรสมุทรและพระราชวังฉลามอสูร ท่านจ้าววังที่ 3 นั้นเป็นหนึ่งในผู้นำของพระราชวังทะเลราชันย์ ข้าจะไปพบเขาไม่ได้เลยงั้นหรือ? หากพวกเจ้าทั้งสองคนทำให้ข้าต้องเสียเวลาไปมากกว่านี้ผลที่ตามมาพวกเจ้าคงรับไม่ไหวอย่างแน่นอน”
ทั้งสองคนรู้สึกประหลาดใจที่ชิงสุ่ยพูดถึงเรื่องใหญ่เช่นนี้ ดูเหมือนว่าเผ่ามัจฉาจะไม่รู้ว่าใครเป็นมิตรหรือศัตรูแต่หลังจากเมื่อครู่นี้ชิงสุ่ยก็ได้ข่มขู่คนพวกนี้ออกไป พวกเขาย่อมรับคำสั่งตามที่ผู้นำของสั่งการลงมาอย่างแน่นอน
“เอาหละ ท่านจ้าววังที่ 3 เองก็ถือว่าเป็นน้องชายของข้า เขาบอกว่าให้ข้ามาพบเขาได้ตลอดเวลา มีคนจำนวนมากที่รู้เรื่องนี้ หากพวกเจ้าไม่อยากตกงานก็จงอย่ามายุ่งกับเรื่องของพระราชวังทะเลราชันย์ ข้าว่าการกระทำของเจ้าในตอนนี้อาจจะส่งผลไปถึงเผ่าของเจ้าด้วยเช่นกัน” ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มที่น่าสะพรึงกลัวต่อพวกเขา
“ท่านจ้าววังอยู่ที่ลานฝึกฝนข้างใน!”
ชิงสุ่ยหัวเราะออกมาขณะที่ตบไหล่พวกเขา ความจริงแล้วเขากดลงไปที่จุดจุดหนึ่งเพื่อให้คนพวกนี้ลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
ชิงสุ่ยทำเช่นนี้เพื่อความไม่ประมาทแม้จะต้องเสียเวลาไปบ้าง
ที่ลานฝึกฝนของวังมัจฉานั้นไม่มีผู้ใดที่คอยคุ้มกันอยู่ ทำให้ชิงสุ่ยสามารถประหยัดเวลาไปได้มาก เพราะว่าที่แห่งนี้คือวังมัจฉาคงไม่มีผู้ใดที่เดินผ่านไปมาและถ้าหากมีก็คงจะถูกทหารอยู่โดยรอบบริเวณนี้พบเจอได้
เมื่อเข้ามาภายในวังแห่งนี้สิ่งที่ทำให้ชิงสุ่ยตกตะลึงนั่นก็คือภายในห้องโถงขนาดใหญ่นี้มีมนุษย์เงือกคนหนึ่งที่มีหญิงสาว 3 คนอยู่รอบตัวเขา มี 2 คนช่วยรินสุราให้จิน ลี่อวี้ที่ดูมีความสุขอย่างยิ่ง
ชิงสุ่ยนึกถึงความงดงามของเผ่ามัจฉาแต่เมื่อคิดเล็กน้อยเขาก็ตระหนักว่ามันก็เหมือนกับเผ่าอื่นๆทั่วไป
เมื่อจิน ลี่อวี้เห็นชิงสุ่ย เขาก็ไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใดเพียงแต่หากหญิงสาวที่อยู่ข้างกายออกไปเท่านั้นพร้อมกับหัวเราะออกมา “พี่ชาย ท่านมาที่นี่เมื่อไหร่กัน? เหตุใดจึงไม่แจ้งให้ข้าทราบก่อน?”
ชิงสุ่ยยิ้มขึ้นทันทีเมื่อเห็นฉากตรงหน้าจากนั้นเขาก็หัวเราะออกมา “พรุ่งนี้เป็นวันสำคัญ ข้าอยากจะมาที่นี่เพื่อวางแผนกับเจ้า”
หลังจากที่กล่าวด้วยรอยยิ้มเขาก็เดินเข้าไปหาจิน ลี่อวี้ผู้ที่พร้อมจะหนีออกไปทันที
สีหน้าของจิน ลี่อวี้เริ่มเคร่งเครียดขึ้นทันทีแต่ชิงสุ่ยได้เห็นสายตาที่ร้อนรนของเขา สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นการบอกกับชิงสุ่ยว่าเผ่ามัจฉาย่อมวางตัวเป็นศัตรูอย่างแน่นอน
“เจ้าคิดอะไรอยู่กันน้องชาย?”
เมื่อชิงสุ่ยเห็นจิน ลี่อวี้ทำเช่นนี้เขาก็เปลี่ยนเรื่องคุยทันที “ข้าว่าเจ้าเครียดมากเกินไปหรือเปล่า”
“บางทีข้าจะเครียดเกินไป ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” จิน ลี่อวี้ตอบกลับมา
“ขอข้าตรวจชีพจรเจ้าหน่อยได้หรือไม่” ชิงสุ่ยกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม ขณะที่เขายื่นมือออกไปที่จิน ลี่อวี้
จากนั้นชิงสุ่ยก็ผนึกพลังเข้าสู่ร่างกายของจิน ลี่อวี้ พลังของชิงสุ่ยในตอนนี้ได้ปิดกั้นเส้นลมปราณของจิน ลี่อวี้ ทำให้เขาเป็นเพียงคนธรรมดาในตอนนี้
“พี่ชาย นี่มันอะไรกัน?” จิน ลี่อวี้ตื่นตะหนกขึ้นมาทันที เขารู้ดีว่าตนเองไม่สามารถต่อกรกับชิงสุ่ยได้ ด้วยอนาคตอันสดใสที่กำลังรอคอยเขาอยู่เขาไม่อยากให้มีอะไรที่ผิดพลาดในตอนนี้
“จ้าววังที่ 3 เจ้าเองก็เป็นคนฉลาด เจ้าไม่น่ากระทำเช่นนี้เลยจริงๆ” เมื่อชิงสุ่ยกล่าวเช่นนี้เขาก็แทงเข็มทองคำลงไปที่จุดลมปราณทันที
จิน ลี่อวี้เริ่มตื่นตระหนก นี่เป็นจุดตายจุดหนึ่งแต่จากนั้นชิงสุ่ยก็แทงเข็มลงมาอีกเข็ม
“นี่คือเจ็ดดาราไล่ล่าวิญญาณของข้า ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ก่อน นับแต่นี้ต่อไปข้าเป็นคนเดียวในโลกที่สามารถช่วยเจ้าได้ เจ้ายังมีเวลาเหลืออีก 3 วันอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปหรืออยากจะตายเจ้าก็เลือกเอาเอง” ชิงสุ่ยดึงเข็มของเขากลับมาด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินเช่นนี้จิน ลี่อวี้ก็เริ่มคิดขึ้นมาทันที ตอนนี้สิ่งที่เขาทำและสิ่งที่เผ่ามัจฉาได้ทำนั้นถูกเปิดเผยแล้ว ผู้ทรยศจะต้องถูกสังหาร 9 ชั่วโคตร เมื่อเขาคิดเช่นนี้ร่างกายของเขาก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อกันที หากเขาต้องต่อสู้กับชิงสุ่ยนั่นก็ถือเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง
“ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก แม้ว่าเผ่ามัจฉาจะพอมีพลังอยู่บ้างแต่ก็ไม่เหลือเวลาแล้ว” จิน ลี่อวี้กล่าวยอมแพ้พร้อมกับส่ายศีรษะ
หากนี่เป็นเรื่องของชิงสุ่ยเพียงคนเดียวเขาย่อมเลือกที่จะสังหารจิน ลี่อวี้ในทันทีแต่เขารู้ว่าการกระทำเช่นนี้ย่อมต้องสูญเสียพลังสนับสนุนที่สำคัญของเผ่ามัจฉาไป
“แล้วถ้าหากข้าสามารถควบคุมผู้นำแห่งเผ่ามัจฉาทั้ง 13 คนได้ละ?” ชิงสุ่ยกล่าวออกมาเบาๆ
จิน ลี่อวี้ตกตะลึงไปในทันที ก่อนหน้านี้เขาคิดว่ามีโอกาสที่เขาโชคดี แต่ตอนนี้เขารู้ว่ามันจบลงแล้ว เขามองลงไปที่ชิงสุ่ย: “ท่านสามารถปกป้องเผ่ามัจฉาของข้าได้หรือไม่?”
“มีเพียงเจ้าที่สามารถปกป้องเผ่าของเจ้าได้ แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะทำอะไรต่อไป ข้าไม่เข้าใจ พระราชวังทะเลราชันย์ดูแลเผ่ามัจฉาได้ไม่ดีพองั้นหรือ? เจ้าคิดจริงๆนั้นหรือว่าจะสามารถมีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้เมื่อทำลายพระราชวังทะเลราชันย์ไป?” ชิงสุ่ยถามขึ้น
“นี่เป็นเพราะว่าข้าลุ่มหลงจนเกินไป”
ชิงสุ่ยรู้ดีว่าจิน ลี่อวี้กำลังพูดถึงมู่หยุน ชิงเฉิงที่ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองยังไม่มีอำนาจมากพอจึงหันไปเข้าร่วมกับพระราชวังมังกรสมุทรและพระราชวังฉลามอสูร แต่มันจะจริงหรือไม่? ในตอนนี้ชิงสุ่ยไม่สนใจว่ามันจะจริงหรือไม่จริงสิ่งเดียวที่เขาต้องทำในตอนนี้ก็คือทำให้จิน ลี่อวี้กลับมาร่วมมือกับเขาอีกครั้ง
“หากเจ้ากลับมาร่วมมือกับพวกเราในตอนนี้ก็ยังจะพอมีหนทางอยู่ แต่ข้าไม่แน่ใจว่าเจ้าจะยินดีที่จะทำเช่นนี้ด้วยหรือไม่” แม้ว่าชิงสุ่ยจะถามคำถามนี้ออกไป เขารู้ดีว่าเขาได้วางจิน ลี่อวี้เอาไว้เป็นกุญแจสำคัญแล้วและมั่นใจว่าเขาต้องเห็นด้วย
“ข้าต้องทำสิ่งใดบ้าง?” จิน ลี่อวี้มีความเชื่อมั่นขึ้นมา
“เอาล่ะ จงรอคำสั่งจากข้า จงจำเอาไว้การกระทำของเจ้าจะเป็นตัวตัดสินอนาคตของเผ่ามัจฉา ข้าได้ให้โอกาสเจ้าแล้ว ต่อไปมันก็ขึ้นอยู่กับเจ้าเท่านั้น”
ชิงสุ่ยจะไปในทันทีที่เขากล่าวจบ
จิน ลี่อวี้ไม่รู้ว่าชิงสุ่ยสามารถหาตัวผู้นำแห่งเผ่ามัจฉาทั้ง 13 คนได้อย่างไร หากเรื่องนี้ไม่เล็ดลอดออกไปเขาคงสามารถนำเผ่ามัจฉาแยกตัวออกจากพระราชวังทะเลราชันย์ในระหว่างที่เกิดความวุ่นวายได้
ชิงสุ่ยหาตัวผู้นำแห่งเผ่ามัจฉาอีก 4 คนได้อย่างรวดเร็ว พวกเขายังไม่ทันได้หันไปตอบโต้การโจมตีของชิงสุ่ยเลยด้วยซ้ำ
เมื่อชิงสุ่ยกลับไปยังจุดนัดพบ มู่หยุน ชิงเฉิงและอีเย่ เจี้ยนเก้อต่างก้อยู่ที่นี่และพยักหน้าให้ชิงสุ่ยเมื่อเขามาถึง
“ตอนนี้พวกเราสามารถเปิดอกพูดคุยกับเผ่ามัจฉาได้แล้ว” ชิงสุ่ยกล่าวขึ้นหลังจากที่คิดคู่หนึ่ง
การลงมือครั้งนี้ของพวกเขาเป็นไปอย่างราบรื่นอย่างน่าสงสัย
ชิงสุ่ยไม่ได้กลัวว่าพวกเขาจะกลับคำพูดอีกครั้ง เขาได้วางรูปแบบต่างๆเอาไว้โดยรอบพระราชวังทะเลราชันย์แล้ว แม้ว่าหากพวกเขาจะลุกฮือต่อต้านอีกครั้งก็คงจะทำอะไรไม่ได้มาก ตราบใดที่ยังพอมีเวลาก็จะไม่มีปัญหาอะไร
เผ่ามัจฉานั้นยังคงบ้าคลั่งอย่างยิ่งในตอนนี้ สิ่งที่มนุษย์อสูรเกลียดที่สุดคือคนทรยศบางทีอาจจะมากกว่ามนุษย์ด้วยซ้ำ แม้ว่าพวกเขาจะรู้ดีว่าผู้นำแห่งเผ่ามัจฉาทั้ง 13 คนจะถูกควบคุมตัวไว้แล้ว แต่พวกเขาก็ยังตัดสินใจที่จะเป็นปฏิปักษ์ต่อพระราชวังทะเลราชันย์
แต่คำพูดของมู่หยุน ชิงเฉิงได้เปลี่ยนแปลงความคิดของพวกเขา
“ข้า ในนามของพระราชวังทะเลราชันย์เชื่อว่าพวกเรานั้นสามารถดูแลเผ่ามัจฉาได้ดีแต่กลับไม่คิดว่าพวกเจ้าจะทำเช่นนี้ ข้ารู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งแต่ด้วยเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ข้าจะยังไม่ไต่สวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ ข้าหวังว่าเผ่ามัจฉาจะพยายามมากยิ่งขึ้นเพราะสิ่งที่พวกเจ้าได้ทำลงไป ความจริงแล้วเผ่ามัจฉามันยังไม่ส่งพลังมากพอที่จะแยกตัวออกไปเป็นอิสระได้ หากพวกเจ้ายังอยากที่จะแยกตัวออกไปข้าก็จะอนุญาตหลังจากจบเรื่องนี้แล้ว” มู่หยุน ชิงเฉิงมีสีหน้าที่เจ็บปวดขณะที่นางกล่าวเช่นนี้
อสูรเฒ่าแห่งเผ่ามัจฉาก็รู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้นั้นแย่ยิ่งนักและเขาก็รู้สึกราวกับว่าตนเองเป็นคนขี้ขลาด พวกเขาไม่ได้ถามสิ่งที่เกิดขึ้นภายในตระกูลมากนัก พวกเขาไม่ได้พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้จนกว่าจะได้รับการตัดสินใจจากคนทั้งหมด ในตอนนี้การตัดสินใจนั้นเป็นของเหล่าผู้ปกครองรุ่นเยาว์พวกเขาไม่อาจเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยได้
แต่พวกเขาก็ไม่คิดว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น อสูรเฒ่าแห่งเผ่ามัจฉาทั้งหมดรวมไปถึงประมุขแห่งเผ่ามัจฉาก็กล่าวออกมาว่า “นายหญิง พวกเรารู้ดีว่าควรจัดการสถานการณ์ในตอนนี้อย่างไร แม้ว่าท่านตัดสินใจจะลงโทษพวกเรา พวกเราก็ยังจะปกป้องพระราชวังทะเลราชันย์แม้ชีพวาย”
คำพูดของชายชราผู้นี้เต็มไปด้วยพลังมากมาย ชิงสุ่ยยังรู้สึกได้ว่าสิ่งที่เขาพูดออกมานั้นเป็นความจริง บางทีสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้อาจจะไม่ใช่ความคิดของพวกเขา ความจริงแล้วอสูรเฒ่าพวกนี้ก็ไม่ได้ปกครองเผ่าของตนเองมากนัก พวกเขาปล่อยให้เหล่ารุ่นเยาว์เป็นผู้ดูแล
ชิงสุ่ยและกลุ่มของเขาก็เดินทางกลับ สำหรับผู้นำแห่งเผ่ามัจฉาทั้ง 13 คนพวกเขาถูกกักตัวไว้ คนที่เหลือของเผ่ามัจฉาต่างก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรในตอนนี้ หากพวกเขาทำผิดอีกครั้งสิ่งเดียวที่รออยู่ก็คือความตายอย่างแน่นอน
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ทั่วทั้งพระราชวังทะเลราชันย์ต่างก็ตกอยู่ในความเงียบตอนนี้ แต่ยิ่งเงียบมากเท่าไหร่พายุก็ยิ่งรุนแรงมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
ในตอนนี้พระราชวังทะเลราชันย์เพิ่มระดับการป้องกันของพวกเขา เผ่ามัจฉาก็กลับมาเงียบงันเหมือนดังปกติ มู่หยุน ชิงเฉิงไม่มีแผนการที่ตายตัวในตอนนี้ บางทีอาจจะเพียงแค่รับมือกับศัตรูทั้งหมดเมื่อเวลานั้นมาถึง หากศัตรูมีลูกเล่นใดๆแผนการของนางก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ ตราบใดที่พระราชวังมังกรสมุทรและพระราชวังฉลามอสูรพ่ายแพ้ ไม่ว่าแผนการใดก็ได้ผลทั้งนั้น
จากยามค่ำคืนจนถึงรุ่งสาง ในตอนนี้พื้นที่โดยรอบพระราชวังทะเลราชันย์อยู่ในความมืดแต่ก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนักในโลกภายนอก
กระแสน้ำเริ่มไหลเชี่ยว ชิงสุ่ยมีทักษะวชิระวารีทำให้การรับรู้ทางจิตวิญญาณทรงพลังมากขึ้นเมื่ออยู่ในน้ำ เขากล่าวออกมาเบาๆเมื่อมองออกไปเบื้องนอก “พวกเขามากันแล้ว”
อีเย่ เจี้ยนเก้อและมู่หยุน ชิงเฉิงนั้นไม่ใช่คนธรรมดาพวกนางก็รับรู้ได้ถึงเรื่องนี้เช่นกัน พวกนางพยักหน้าเบาๆและพุ่งตัวออกไปพร้อมกับคนอื่นๆปล่อยให้เผ่ามัจฉาดูแลพระราชวังทะเลราชันย์ตามแผนที่วางเอาไว้ก่อนหน้านี้