บทที่ 1278 – ความตั้งใจของจักรวรรดิเดชสวรรค์, อัจฉริยะหมายถึงการก้าวต่อไป
ชิงสุ่ยตั้งใจฟังการแนะนำเป็นอย่างดี พวกสมาชิกในราชวงศ์ที่มีความสามารถล้วนอยู่ในอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฟู่เหยียนเทียน แต่ก็มีชายวันกลางคนอีกสองคนที่ดูเหมือนว่าจะมีอายุน้อยกว่าฟู่เหยียนเทียน พวกเขามีอายุราวๆสองร้อยปีส่วนตัวเทียนเจียงนั้นมีอายุครบร้อยปีพอดี
ชายสองคนนี้เป็นบุตรของฟู่ตงเชียงที่ผู้คนต่างรู้จักกันดี แน่นอนว่าฟู่ตงเชียงมีบุตรจำนวนมาก ทั้งสองคนมีพลังอยู่ที่ราวๆสี่พันถึงห้าพันสุริยา คนหนึ่งมีนามว่าฟู่โหยวส่วนอีกคนมีนามว่าฟู่ซุ่ย
ส่วนบรรดาหลานๆของฟู่ตงเชียงเองนั้น สามคนที่มีพลังสูงสุดมีพลังอยู่ที่ราวๆสองพันถึงสองพันห้าร้อยสุริยา ทั้งหมดล้วนมีอายุราวๆหนึ่งร้อยปี เพื่อให้สามารถอาศัยอยู่ร่วมกันได้ทั้งหมดจำต้องมีระดับพลังที่ใกล้เคียงกัน
นอกเหนือจากสามคนนี้ ชายตัวสูงผู้ยืนอยู่ตรงกลางนามว่าฟู่ซางเขามีคิ้วหนาและดวงตาที่สดใสและมีท่าทีแสดงออกถึงความดูถูกเหยียดหยาม ภายนอกเขาไม่ได้ดูน่ารังเกียจแต่ก็ใช่ว่าบุคคลทั่วไปจะชอบท่าทีของเขา โดยปกติแล้วชิงสุ่ยไม่ชอบเริ่มการสนทนากับคนประเภทนี้
เมื่อสังเกตุถึงชายทั้งสองที่ยืนอยู่ คนที่อยู่ทางซ้ายดูเหมือนว่าจะมีอายุน้อยกว่า พวกเขาทั้งคู่มีคิ้วหนาและดวงตาที่สดใสเช่นกันแต่ให้ความรู้สึกถึงความเด็ดเดี่ยว สายตาของพวกเขาแสดงออกถึงความแน่วแน่แต่ดูเหมือนจะอ่อนแอกว่าฟู่ซางเล็กน้อย เขามีท่าทีเดียวกับชื่อของเขา ‘ฟู่เจียน’ (เจียนมีความหมายว่าความมุ่งมันหรือความเพียร)
ชายหนุ่มทักทายชิงสุ่ย ให้ความรู้สึกจริงจังและไม่เป็นทางการไปพร้อมๆกัน เขาไม่ได้มีท่าทีที่เลวร้ายนัก แต่ให้ความรู้สึกที่น่าเชื่อถือมากกว่า
ชายผู้ที่ยืนอยู่ทางขวาดูเหมือนจะมีพลังมากกว่าและมีร่างกายที่อ้วนท้วน ถ้าเขาออกไปข้างนอกจะสังเกตุได้ยากว่าเป็นคนของราชวงศ์ ใบหน้าของเขาดูราวกับพระพุทธองค์เพราะรอยยิ้มที่ประดับไว้บนใบหน้าที่ดูเข้าถึงได้ง่าย เมื่อชิงสุ่ยพบกันชายอ้วนผู้นี้ก็ยิ้มให้และทักทาย เขารู้สึกได้ว่าชายผู้นี้ได้บรรลุวิชาขั้นสูงสุดและมีสภาพร่างกายที่ดี
ชายผู้นีมีนามว่าฟู่เซี่ยว แม้ว่าเขาจะยิ้มอยู่ตลอดแต่คนประเภทนี้มักเป็นอันตรายที่สุด ก่อนหน้านี้ชิงสุ่ยรู้สึกได้ว่าสายตาของชายผู้นี้มีความล้ำลึก หากไม่สังเกตุให้ดีจะรู้สึกเห็นสายตาที่เป็นมิตรปราศจากความอันตรายใดๆ อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยมีการรับรู้ทางจิตวิญญาณที่ทรงพลังทำให้รับรู้ถึงความเยือกเย็นข้างหลังรอยยิ้มนั่น และนั่นคงเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขา
“เข้ามา เข้ามา นั่งลงแล้วคุยกันเสียหน่อย ข้าเชือว่าชิงสุ่ยคงมีเรื่องจะกล่าวกับพวกเราในวันนี้” ฟู่ตงเชียงยิ้มและบอกให้ทุกคนนั่งลง
แม้ว่าจะมีคนของราชวงศ์อยู่มากมายก็ตาม สถานะของชายผู้นี้ถูกจัดได้ว่าอยู่ในตำแหน่งที่สูงหรือมีความสำคัญมาก เขาอาจเป็นเสาหลักของตระกูลฟู่ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อได้เห็นความสามารถของผู้คนทั้งหมดแล้วทำให้ตัวเขาเองได้รู้อะไรหลายอย่าง
ฟู่ร่งนั่งถัดไปจากชิงสุ่ย นางไม่ได้พูดอะไรเพี่ยงแต่นั่งดูและยิ้ม
“ท่านปู่ ท่านชิงอยู่ในระดับไหนเช่นนั้นหรือ?”
ฟู่ซางกล่าวออกมาพร้อมดวงตาที่เหยียดหยามไปยังชิงสุ่ย เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับชิงสุ่ยตลอดเวลาอาจเป็นเพราะด้วยอายุที่ยังน้อยแต่ท่าทีที่แสดงออกราวกับผู้อาวุโสทำให้ฟู่ซางไม่สบายใจนัก
“ใช่แล้วท่านปู่ น้องชิงมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเรามิใช่หรือ? เขาทรงพลังจริงๆใช่หรือไม่? นอกเหนือจากการปรุงยาแล้ว ระดับการฝึกยุทธของเขาแข็งแกร่งจริงๆหรือ? ข้าล่ะสงสัยจริงๆ ข้านับถือความสามารถในการปรุงยาของเขาจริงๆ ” ฟู่เซี่ยวหัวเราะ
มีเพียงฟู่เจียนเท่านั้นที่ไม่ได้กล่าวอะไร
ชิงสุ่ยเข้าใจในเรื่องที่พวกเขาพยายามจะสื่อออกมาเพราะไม่พอใจในตัวเขา แต่อย่างไรก็ตามฟู่เซี่ยวกล่าวออกมาอย่างธรรมชาติพร้อมรอยยิ้มเสมอ นั่นทำให้คนทั้งหลายคล้อยฟังคำพูดของเขา ตัวของฟู่ซางเองเป็นคนที่ซื่อตรง ชิงสุ่ยรู้ดีว่าคนอย่างฟู่ซางไม่ใช่คนที่เลวร้ายนักทั้งหมดเป็นเพราะความระมัดระวัง คนที่น่ากลัวจริงๆคือคนที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังรอยยิ้มมากกว่า
“ฮะฮ่า ข้าเข้าใจดีว่าคงเป็นเรื่องยากที่พวกท่านจะให้การยอมรับ ทุกคนย่อมคิดถึงความสูงส่งของตนเองอยู่เสมอ นี่ถือเป็นโอกาสดีที่เปลี่ยนความเชื่อมั่นของทุกคน เพื่อให้ทุกคนทราบว่าข้างนอกนั่นมีผู้คนที่แข็งแกร่งอยู่มากมาย เพราะตัวชิงสุ่ยเองถือว่ามีอายุน้อยกว่าพวกเจ้าอยู่ราวๆครึ่งหนึ่ง แต่ทว่ามีพลังที่แข็งกว่าพวกเจ้าถึงสองเท่า ” ฟู่ตงเชียงกล่าวออกมาจากใจจริง
ชิงสุ่ยยิ้มและไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก ฟู่ตงเชียงไม่รู้ความสามารถที่แท้จริงของชิงสุ่ยเช่นกัน เขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าคนระดับใดที่ชิงสุ่ยสามารถจัดการได้ เหตุผลที่เขาพูดว่าชิงสุ่ยมีพลังมากกว่าสองเท่าเป็นการทำให้ทุกคนไขว้เขว
“ช่างเป็นคนหนุ่มที่ทรงพลังจริงๆ… ข้าคงต้องแลกเปลี่ยนวิชากับน้องชิงสุ่ยบางแล้ว” ฟู่ซางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
นี่เป็นเรื่องปกติของโลกใบนี้ ทุกคนๆสามารถพูดได้ตามสิ่งที่พวกเขาต้องการ ไม่เหมือนกับผู้คนในยุคก่อนๆ อาจกล่าวได้ว่าทุกคนล้วนมีสิทธิ์เท่าเทียมกันทั้งสิ้น
ชิงสุ่ยส่ายศีรษะ “ท่านลืมเรื่องนั้นไปเถอะ ข้าไม่เคยคิดจะประลองกับพวกท่านเลย”
นี่ถือเป็นการดูถูกและฟู่ซางมีท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขายิ้มและกล่าวว่า”เป็นไปได้ไหมที่เจ้าจะไม่ได้แกร่งไปกว่าข้า?”
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญว่าข้าจะแข็งแกรงหรือไม่ ข้าเป็นเพียงนักปรุงยาเท่านั้น ข้าเกรงว่าหากข้าชนะท่าน ท่านจะรู้สึกอย่างไร? ถ้าท่านต้องพ่ายแพ้ให้กับนักปรุงยา ท่านจะมีใจฝึกยุทธต่อไปหรือไม่? จิตใจของคนช่างอ่อนแอราวกับดอกไม้ที่ถูกทะนุถนอมจนไม่สามารถยืนขึ้นสู้กับสายลมและหยาดฝนได้ ท่านไม่เข้าใจคำกล่าวของลุงฟู่” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างเรียบง่าย เขาไม่ได้คิดถึงฟู่ซางมากนักและรู้สึกว่าเขาอาจไม่บรรลุเป้าหมายในอนาคตอันใกล้ ฟู่ซางเป็นเพียงอัจฉริยะในตระกูลสิ่ง สิ่งที่ชิงสุ่ยไม่รู้คือเขาได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างไร หากว่าฟู่ซางไม่ได้เป็นสมาชิกของราชวงศ์เขาอาจกลายมาเป็นนักสู้ที่ดีได้
“คนที่ข้ามักดูถูกคือคนที่ไม่รู้ตำแหน่งหน้าที่ของตนเอง ต้องขอบคุณที่ท่านยังรู้ตัวว่าตนเป็นนักปรุงยา” ฟู่งซางส่ายศีรษะพร้อมยิ้มออก
ชิงสุ่ยรู้สึกได้ว่าคนๆนี้ไม่ใช่พวกที่ดื้อรั้นมากนัก ยิ่งไปกว่านั้นเขาคงไม่เคยได้พบกับผู้คนที่อายุไล่เลี่ยกันที่แข็งแกร่งกว่าเขา แม้ว่าเคยพบเจอคนที่แข็งแกร่งกว่ามาบ้างแล้วแต่คงไม่ต่างกันมากนัก ฟู่ซางไม่เชื่อถือในคำพูดของชิงสุ่ยนักอาจเป็นเพราะเขาเป็นเพียงนักปรุงยา
“ลุงฟู่ ให้ข้ากล่าวอะไรหน่อยได้หรือไม่ หรือท่านจะเป็นคนกล่าว?”ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับยิ้มออกมา เขาไม่ต้องการสร้างบรรยากาศที่ไม่ดีต่อคนรุ่นใหม่ในตระกูลฟู่ ในตอนนี้เขาเพียงต้องการเปิดเผยความสามารถที่แท้จริงของตัวเขาออกมา อย่างไรก็ตามเขายังไม่ได้ทำมัน
“เอาสิ ข้าก็สงสัยเช่นกันว่าเจ้าต้องการพบข้าเพราะเหตุใด” ฟู่ตงเชียงยิ้มและอนุญาตให้ชิงสุ่ยดำเนินการได้
“สิ่งที่ข้ากำลังจะกล่าวต่อไปนี้เป็นเรื่องของนิกายปฐพีซ่อนเร้น ลุงฟู่ท่านควรระวังการกระทำของนิกายปฐพีซ่อนเร้นใช่หรือไม่?” ชิงสุ่ยหันไปมองฟู่ตงเชียง
“โอ้ะ ข้าไม่รู้เรื่องนี้เลย ข้าสงสัยว่านิกายปฐพีซ่อนเร้นที่เจ้ากำลังกล่าวถึงคือสิ่งใด?” ฟู่ตงเชียงเปลี่ยนเป็นสงสัยในตอนนี้
“นิกายปฐพีซ่อนเร้นมีสองผู้สืบเชื้อสายโดยตรงจากตระกูลหลี่ กล่าวได้ว่าพวกเขาวางแผนที่จะครอบครองทั้งมหาทวีปอู่เซียตะวันตก ผู้คนที่มาจากนิกายปฐพีซ่อนเร้นไร้ความปราณีและมีความทารุณโหดเหี้ยม เหตุผลที่ข้าเดินทางมายังที่นี่เป็นเพราะต้องการสร้างพันธมิตรขึ้น ข้าหวังว่าในอนาคตพวกเราจะได้ต่อสู้กับนิกายปฐพีซ่อนเร้นเคียงข้างกัน” ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกันไปยิ้มให้ฟู่ตงเชียง
“อ้ะ ข้าก็รู้เรื่องนี้มาบ้างและกังวลเกี่ยวกับมันอยู่เช่นกัน จักรวรรดิเดชสวรรค์มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับนิกายปฐพีซ่อนเร้น แต่ข้าอดสงสัยมิได้ว่าเจ้าจะใช้พลังใดในการก่อพันธมิตรขึ้น” ฟู่ตงเชียงสังเกตุชิงสุ่ยด้วยท่าทีเรียบง่าย
“ข้าเดินทางมาแจ้งกับลุงฟู่เป็นที่แรก” ชิงสุ่ยยิ้มและหันไปมองฟู่ตงเชียง
“เช่นนั้นจักรวรรดิเดชสวรรค์ของพวกเราเป็นที่แห่งแรก? เจ้าสามารถเป็นตัวแทนแห่งสถาบันสวรรค์เร้นลับได้หรือไม่? ใครเป็นผู้ริเริ่มความคิดนี้ขึ้น?” ฟู่ซางกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าคือตัวแทนของสถาบันสวรรค์เร้นลับ เนื่องจากว่าข้ามายืนอยู่ที่นี่แน่นอนว่าข้าเป็นผู้ริเริ่มความคิดนี้ขึ้นมาเอง หรือท่านคิดว่าท่านควรเป็นคนริเริ่ม?” ชิงสุ่ยไม่กังวลเรื่องของฟู่ซางมากนัก ตอนนี้เป็นเรื่องยากที่ฟู่ซางจะรบกวนเขาได้เพราะช่องว่างที่มีอยู่ห่างเกินไป ไม่สามารถก่อเกิดประกายไฟได้ง่ายดายนัก
“เจ้าไม่รับคำท้าของข้าแต่คิดจะจัดตั้งพันธมิตรขึ้นมาเพื่อต่อกรกับนิกายปฐพีซ่อนเร้นและต้องการให้พันธมิตรฟังคำสั่งจากเจ้า? เช่นนั้นคงต้องรบกวนให้เจ้าแสดงความสามารถออกมาบ้างแล้ว” ฟู่ซางมองไปยังฟู่ตงเชียงและไม่ได้กล่าวอะไรต่ออีก
“เมื่อท่านได้รู้ถึงพลังของข้าแล้ว หวังว่าจะไม่เกิดความข้องเคืองต่อไปในอนาคต ถ้าหากท่านลุกขึ้นยืนได้ในตอนนี้ จะถือเป็นความพ่ายแพ้ของข้า”หลังสิ้นสุดคำพูดชิงสุ่ยใช่พลังวิญญาณขของเขาตรึงฟู่ซางเอาไว้
ในตอนนี้เหมือนมีดอกบัวเล็กๆล้อมรอบตัวฟู่ซางเอาไว้
ชิงสุ่ยสามารถควบคุมพลังวิญญาณได้ตามใจนึก เขาสามารถเพ่งเล็งไปยังเฉพาะบุคคลไม่กระทบต่อผู้คนรอบๆ
“ข้าอยากเห็นพลังที่แท้จริงของเจ้าเช่นกัน” ด้วยเช่นนี้ฟู่ซางระเบิดกลิ่นอายของเขาออกมา เขารู้สึกโกรธมากเมื่อรู้ว่าชิงสุ่ยต้องการตรึงเขาไว้ด้วยพลังวิญญาณ
เหตุผลก็เพราะแม้ว่าจะมีพลังที่แข็งแกร่งกว่าอีกฝ่ายถึงสองเท่า ก็ใช่ว่าจะจัดการคู่ต่อสู้ได้ด้วยเพียงพลังวิญญาณเท่านั้น ก่อนที่เขาจะระเบิดความโกรธออกมาทั้งหมด เขาตระหนักได้ถึงบางอย่าง ดอกบัวรอบๆตัวเขาถูกควบคุมไว้อย่างดีไม่มีความสั่นไหวแม้แต่เล็กน้อย
เกราะอสูรสำแดง!
ปราณมังกรหยกขาว!
ชิงสุ่ยยิ้ม พร้อมกับหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ เขามองไปยังฟู่ซางที่ยังไม่สามารถยืนขึ้นได้แต่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
“ชิงสุ่ยเจ้าปล่อยเขาได้แล้ว แม้แต่ข้าเองก็คิดผิดไป“ ฟู่ตงเชียงรู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง เขาถอนหายใจออกมาพร้อมกล่าว ช่วงเวลาที่ชิงสุ่ยใช้พลังตรึงฟู่ซางไว้ เขารับรู้ได้ถึงพลังวิญญาณอันเปี่ยมล้นของชิงสุ่ย มันเป็นพลังที่แปลกประหลาดแม้แต่เขาเองก็จนปัญญาที่จะช่วย
“ท่านปู่!”
หลังจากชิงสุ่ยหยุดใช้พลัง ฟู่ซางก็ร้องออกมาเบาๆ ที่ไม่สามารถสู้กับพลังวิญญาณของอีกฝ่ายได้…ความแตกต่างที่เกิดขึ้นไม่ใช่สิ่งที่เล็กน้อยยิ่งไปกว่านั้นคนๆนี่้ยังเยาว์วัยนัก ความพ่ายแพ้ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนทำให้เขารู้สึกผิดหวัง
“ซางเอ๋อ!” ฟู่ตงเชียงกล่าวออกมาเสียงดัง
ฟู่ซางมองไปยังฟู่ตงเชียด้วยความแปลกใจ
“เจ้าเป็นลูกผู้ชาย เป็นคนของตระกูลฟู่ เพื่อที่เจ้าจะพัฒนาการฝึกยุทธ เจ้าจำต้องพบเจอกับเรื่องที่สะดุดล้มเช่นนี้อีกมาก ข้ารู้ว่าเจ้าต้องพบความผิดหวังครั้งใหญ่หลวงในวันนี้แต่มันจะช่วยให้เจ้าก้าวต่อไปได้ หากว่าเจ้าก้าวข้ามมันไปได้แล้วมันจะเป็นประโยชน์กับเจ้าอย่างมาก แม้ไม่สามารถผ่านมันไปได้ในเร็ววันนี้ก็อย่านึกถึงมันมากเกินไป เป็นเพราะไม่เคยพ่ายแพ้เลยไม่สามารถพัฒนาต่อได้ ดังนั้นเจ้าควรจะดีใจเอาไว้ เพราะนี่เป็นโอกาสในการพัฒนา”ฟู่ตงเชียงพูดอยากหนักแน่นและชัดเจน
การแสดงออกของฟู่ซางบ่งบอกได้ว่าเขายังรู้สึกผิดหวัง แต่ก็ยังดีกว่าความเยือกเย็นที่แสดงออกในก่อนหน้า อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ คำพูดของฟู่ตงเชียงในครั้งนี้ไม่ได้กล่าวถึงแค่ฟู่ซางคนเดียวเท่านั้นแต่ยังส่งต่อไปถึงลูกหลานคนอื่นๆอีกด้วย
ชิงสุ่ยมีความคิดเพียงอย่างเดียว อะไรคืออัจฉริยะ? อัจฉริยะหมายถึงการก้าวต่อไป สิ่งที่ต้องทำก็คือก้าวต่อไปเท่านั้น!
“ชิงสุ่ย มันเป็นเรื่องยากสำหรับข้าที่ตัดสินใจผิดพลาด นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าคิดผิดเรื่องคนที่มีอายุน้อยกว่า ในตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าอัจฉริยะจากนิกายปฐพีซ่อนเร้นเหล่านั้นคงเก่งไม่แพ้เจ้า” ฟู่ตงเชียงกล่าวและยิ้มออกมา ไม่แน่ใจว่ารอยยิ้มของเขาคือรอยยิ้มแห่งความสุขหรือขื่นขมกันแน่
“ลุงฟู่ท่านชมข้าเกินไปแล้ว ท่านอาจจะเจอคนที่เก่งกว่าข้ามากมายในอนาคต ข้าอยากรู้ว่าท่านคิดเช่นไรเรื่องการก่อตั้งพันธมิตร” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวถามอย่างสุภาพ