Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย – ตอนที่ 455

หลังจากจบทุกอย่างลง ทุกคนก็ออกจากที่ตรงนี้ไปทันที ถนนทั้งเส้นอัดแน่นไปด้วยซากศพของซอมบี้และมนุษย์บางส่วนที่กระจัดกระจายเต็มพื้นไปหมด รวมถึงรถจี๊ป 20 คันที่ถูกทำลายจนพังหมดตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ในตอนนี้ชูฮันเหลือเพียงแค่รถจี๊ปสองคันเท่านั้นที่ได้มาจากแผนกโลจิสติกส์ที่ยังคงเหลือใช้งานอยู่

 

รถทั้งสองคนถูกชูฮันสั่งให้ขนข้าวของอุปกรณ์อาหารทั้งหมดขึ้นไปไว้บนรถ ส่วนคนที่เหลือร้อยกว่าคนต้องเดินเท้ากันไป

 

การออกเดินทางต่อทันทีหลังจากการต่อสู้ที่จบลงทำให้ทุกคนแทบจะต้องกัดปากอดทนสู้ด้วยความเหนื่อยล้าสุดขีด หากเป็นเพราะว่าคลื่นซอมบี้ที่ปะทุออกมาก่อนหน้านี้ไม่ใช่ขนาดเล็กๆ ใครจะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ถ้าพวกเขาไม่รีบออกเดินทางต่อ

 

บนถนนตลอดทางเงียบสนิทมีเพียงแต่เสียงฝีเท้าของทุกคนให้ได้ยิน หลิวยู่ติงเดินอยู่ข้างชูฮัน

 

“ฉันไม่เข้าใจ” หลิวยู่ติงที่ครุ่นคิดมาตลอดในที่สุดก็ต้องหาทางออกให้ตัวเองเพราะทนต่อความสงสัยไม่ไหว เขาหันมามองชูฮันและถามขึ้น “กลุ่มคนที่นายต้องการจะฆ่า ทำไมนายต้องเสียน้ำลายไล่บอกความผิดต่อหน้าพวกมันก่อนจะฆ่าด้วย?”

 

เฉินช่าวเย่ที่ยืนถัดไปพร้อมกับแทะขาไก่ในมือกินเองก็ฉุกคิดขึ้นมาเช่นกัน เนื่องจากเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน!

 

“เดินอยู่ข้างๆนั่นแหละ แล้วกินให้น้อยลงหน่อย! อาหารส่วนใหญ่ของพวกเราลงไปอยู่ในกระเพาะของนายหมดแล้ว!” ตอนนี้หลิวยู่ติงที่ค่อนข้างเริ่มคุ้นเคยกับเฉินช่าวเย่มากขึ้นแล้ว มันจึงช่องว่างระหว่างตำแหน่งสูงและต่ำของกันและกัน ถือเป็นเรื่องเอือมระอาสำหรับหลิวยู่ติงด้วยซ้ำที่เฉินช่าวเย่เอาแต่กินตลอดทั้งวันไม่หยุด

 

“ช่างสิ เรามีของเยอะแยะ ฉันแค่พยายามจะช่วยลดน้ำหนักที่รถสองคันต้องแบกอยู่ต่างหาก” เฉินช่าวเย่เถียงแก้มแดงด้วยความอาย

 

ตาของหลิวยู่ติงและเฉินช่าวเย่หม่นลงอย่างสงสัย ทำไมชูฮันถึงต้องพูดอธิบายต่อหน้าคนพวกนั้นก่อนจะฆ่า เพื่อบอกคนพวกนั้นว่าพวกเขาไร้ประโยชน์และพาไปนรกเพื่อสารภาพบาปงั้นเหรอ?

 

ชูฮันยังคงเดินเท้าต่อไป พลางมองไปที่ฟ้าที่กำลังเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ จากนั้นก็หันไปกวาดสายตามองคนร้อยกว่าคน “ฉันพูดให้คนที่มีชีวิตอยู่ฟัง”

 

หลิวยู่ติงและเฉินช่าวเย่หยุดชะงักทันที สำหรับเฉินช่าวเย่ที่แต่เดิมเขาเป็นคนไม่คิดอะไรมาก เขาเพียงแค่ต้องการติดตามชูฮันและมีอาหารให้เขากินต่อไป เรื่องอื่นเฉินช่าวเย่ไม่สนใจจะฟัง แต่เมื่อได้ยินชูฮันพูดแบบนี้มันจึงกลายเป็นเรื่องกวนใจให้เขาอยากรู้ขึ้นมาเล็กน้อย

 

ทว่าหลิวยู่ติงซึ่งเป็นคนคิดมาก เมื่อได้ยินชูฮันพูดแบบนี้เขาจึงชะงักไปทันที

 

“นี่คือการเตือนใช่มั้ย?!” นี่คือเหตุผลเดียวที่หลิวยู่ติงคิดออก

 

“ฮัวหมิง หลี่ซิงยู กูเหลียงเฉิน” ชูฮันค่อยๆร่ายรายชื่อออกมาสามชื่ออย่างช้าๆ “ฉันให้ความสนใจสามคนนี้โดยเฉพาะ” “เอ่อ….” เมื่อได้ยินขื่อแปลกๆทั้งสามชื่อ หลิวยู่ติงจิงมีปฏิกิริยาตอบสนอง “สามชื่อนี้มันคืออะไรกัน?”

 

เฉินช่าวเย่เองก็ขมวดคิ้ว “ความจริงแล้วฉันรู้จักทหารทั้งยี่สิบนายจากทั้งหมดนั่นดี แต่ฉันไม่รู้จักสามชื่อนี้ ฉันไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย แต่หัวหน้า…เอ่อ คนพวกนี้ หัวหน้าช่วยบอกเหตุผลหน่อย?”

 

“หลบไป!” หลิวยู่ติงไล่เฉินช่าวเย่ไปให้พ้นทาง

 

ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาสรรเสริญกันอย่างหูดับตาบอด เขารู้จักชูฮันมายี่สิบปี เขารู้ดีว่าชูฮันไม่มีทางพูดชื่อสามชื่อนี้ออกมาอย่างไม่มีเหตุผล ในเมื่อชูฮันพูดชื่อสามคนนี้ออกมาอย่างเจาะจงแสดงว่าทั้งสามคนนี้จะต้องมีปัญหาบางอย่างอย่างแน่นอน!

 

ชูฮันเพียงแค่ยิ้มและไม่ได้พูดอะไร ฮัวหมิง หลี่ซิงยู และกูเหลียงเฉิน ชูฮันไม่รู้จักทั้งสามคนนี้ มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจำชื่อคนหนึ่งร้อยสิบคนที่มีชีวิตอยู่ได้ แต่เขารู้ว่าสามคนนี้อยู่ด้านหน้าท่ามกลางทั้งทีมหนึ่งร้อยสิบคน

 

พวกเขาหลบซ่อนมามากพอแล้ว!

 

ห้าวันต่อมา

 

พวกเขาจากซางจิงมาไกลมากแล้วและถนนก็ยิ่งเดินทางยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ อุณหภูมิท่ามกลางป่าในฤดูหนาวต่ำมาก อีกทั้งมันพึ่งแค่ผ่านมาห้าวันเท่านั้นกับพายุหิมะ ทว่าทุกกลับพบว่ามันยากลำบากที่จะเดินบนหิมะต่อไปแล้ว

 

ลมพายุหิมะพัดพาหิมะลงคลุมปิดเส้นทางเดินตลอดทาง แต่ละก้าวที่ก้าวเดินเท้าของทุกคนมักจะจมลึกลงไปในหิมะจนแทบถึงเข่า ซึ่งมันยากลำบากมากสำหรับทุกคนที่จะเดินฝ่าหิมะชั้นหนาขนาดนี้ไปได้ ไม่มีใครรู้ว่าควรจะทำอย่างไร รถจี๊ปสองคันถูกหิมะคลุมจนมองไม่เห็นล้อรถไปแล้ว

 

ต้องขอบคุณความช่วยเหลือของเฉินช่าวเย่และหวังไค ที่ทำให้วัตถุดิบอาหารต่างๆในรถนั้นลดปริมาณด้วยอัตราความเร็วที่น่าเหลือเชื่อจนมันไม่น่าจะมีอาหารพอสำหรับทุกคนจนไปถึงค่ายของชูฮัน

 

“ท่านครับ”

 

ขณะที่ชูฮันเดินตามทางลาดลงไปเรื่อยๆ จู่ๆก็มีคนหนึ่งวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาชูฮันอย่างวิตกกังวล “มันไม่มีทางข้างหน้าแล้วครับ!”

 

ชูฮันขมวดคิ้ว ไม่มีถนนอะไร? “พาฉันไปดูสิ”

 

ทุกอย่างขาวโพลนไปด้วยหิมะสีขาวปประกอบกับรถจี๊ปทั้งสองคันอยู่ในสภาพกึ่งใช้งานได้กึ่งพัง ถ้าไม่ใช่เพราะข้างในขนของและอาหารต่างๆอยู่ละก็ชูฮันอยากจะสั่งให้ทิ้งรถไปเลยซะด้วยซ้ำ

 

มองไปที่แถวหน้า ทุกคนในทีมต่างมีสภาพซบเซาและอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด และในที่สุดชูฮันก็เข้าใจความหมายของคำว่า ‘ไม่มีทาง’ ที่คนคนนั้นรายงานมา

 

รอยแตกขนาดใหญ่ลัดเลาะตามกึ่งกลางของถนนลึกลงไปราวกับก้นบึ้งเหวลึก ส่วนฝั่งตรงข้ามที่แยกตัวขนานออกไปก็อยู่ห่างออกไปสิบเมตร รอยแตกนั้นทั้งกว้างและยาวเป็นแนวตลอดทั้งสองฝั่ง แม้แต่ชูฮันซึ่งมีวิสัยทัศน์ของวิวัฒนาการระยะ 4 ยังไม่สามารถมองเห็นได้เลยว่าจุกสิ้นสุดของรอยแตกอยู่ตรงไหน?

 

พวกเขาถูกกั้นไว้อย่างสิ้นเชิงแล้ว มันไม่มีสะพาน พวกเขาข้ามไปไม่ได้!

“เป็นความผิดพลาดที่เกิดจากแผ่นดินไหว? หรือว่าแม่น้ำแห้งกัน?” หลิวยู่ติงเองก็มองไปที่ภาพตรงหน้าเช่นกันอย่างสงสัย

 

ชูฮันก้าวเท้าพาตัวเองออกมาจากกองหิมะ นิ้วสัมผัสเข้าที่รอยแตกของหน้าผาพลางย่นคิ้วจนรอยย่นที่หน้าผากเริ่มแน่นตัวขึ้น ถึงแม้ว่ามันจะเหลือเชื่อแต่รอยแตกนี้ไม่ได้เกิดจากภัยธรรมชาติ

 

“เอาแผนที่ออกมา”

หลิวยู่ติงรีบหยิบเอาแผนที่จากตรงแขนเขาส่งมาให้ชูฮันทันที

 

ชูฮันกางแผนที่ออกและเริ่มมองหาตำแหน่งที่ตั้งของพวกเขาในตอนนี้บนแผนที่

 

“บนถนนเส้นนี้” หลิวยู่ติงชี้บอก

 

“ถ้าพวกเราไม่ข้ามไปก็ต้องอ้อมภูเขา” หลังจากชูฮันพูดจบ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะหนาทางด้านซ้าย

 

ถนนภูเขาเส้นนี้ล้อมรอบไปด้วยภูเขาซึ่งเป็นเส้นทางที่ใกล้ที่สุดที่จะเดินทางไปเมืองอันลู ทว่าเขาไม่คาดเลยว่าถนนเส้นนี้จะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิงอีกทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าสาเหตุของถนนที่แตกนั้นเกิดจากอะไร ในตอนนี้ถ้าต้องการจะไปที่ค่ายเขี้ยวหมาป่าและไม่ต้องการย้อนเส้นทางกลับไปมันมีเพียงแค่ทางเดียวเท่านั้นคือฝ่าภูเขาไป

 

“ข้ามภูเขาไป” เฉินเสี้ยนกาวเสนอขึ้นมา “เราเดินทางมาไกลแล้วถึงห้าวัน ถ้าจะให้เดินอ้อมและหรือหาเส้นทางอื่นแทน มันก็อาจนำพาเราไปสู่อุปสรรคอื่นๆได้เหมือนกัน”

 

“ฉันเองก็เสนอให้ปีนภูเขาไปเหมือนกัน ดีกว่าอ้อมไป” หลิวยู่ติงพิจารณาอีกครั้งพร้อมกับชี้ไปที่ภูเขาที่มีหิมะตกหนักอยู่ทางด้านซ้าย “ภูเขาลูกนี้ดูสูงมากแต่พวกเราอยู่เหนือไหล่เขาขึ้นมาแล้วและกำลังจะไปถึงด้านบนสุดของภูเขา และจากทางลาดชันตรงนี้ มุมของมันเล็กมากเพราะฉะนั้นเราน่าจะสามารถปีนขึ้นไปได้อย่างง่ายๆ อีกอย่างมันไม่มีของเหลืออะไรมากมายในรถจี๊ปเท่าไหร่แล้ว มันจะดีกว่าถ้าเราสละรถทิ้งไว้และเดินเท้าแบกของกันไป”

 

“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราสามารถเดินไปตามถนนได้หลังจากที่เราข้ามภูเขาไปได้” หลี่บี๋เฟิงไม่รู้ว่าการปรึกษาพูดคุยไปถึงไหนแล้ว “รอยแตกนี้น่าจะอยู่แค่บนถนนเส้นนี้ ส่วนเส้นถนนหลังจากข้ามภูเขาไปแล้วน่าจะเป็นปกติเหมือนเดิม”

 

“ข้ามภูเขา!” ชูฮันตัดสินใจ

Apocalypse Meltdown

Apocalypse Meltdown

มันเป็นโลกที่ซอมบี้และมนุษย์อาศัยอยู่ด้วยความสิ้นหวัง สนามแม่เหล็กของโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงและทุกอย่างได้ย้อนกลับมายังจุดเริ่มต้น วันหนึ่ง วีรบุรุษของพวกเรา…ชูฮัน ได้เดินทางย้อนเวลากลับมาสิบปีก่อนโดยไม่รู้ตัว เขาได้ย้อนกลับมาก่อนจุดจบของโลกจะเริ่มต้นขึ้น (โลกาวินาศ) เขาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงดังในหอพักในมหาวิทยาลัยหมิงชิว ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาได้กลับชาติมาเกิดใหม่ ชูฮันต่อสู้กับเหล่าซอมบี้นับสิบๆตัวก่อนจะมุ่งหน้าไปที่ลานจอดรถเพื่อขโมยรถยนต์เมอร์ซิเดซ-เบนซ์G55ออกมา เขาตัดสินใจที่จะตามหาพ่อแม่และพี่น้องของเขาด้วยG55คันนี้ ซึ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาเสียใจที่ไม่ได้ทำในชาติที่แล้ว ระหว่างทางชูฮันได้พบปะกับคนกลุ่มหนึ่งที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นมีคนที่ติดอันดับ 20 ของโลกาวินาศรวมอยู่ด้วย…เฉินช่าวเย่ พวกเขาพบกับซอมบี้จำนวนมากระหว่างทางบนทางหลวง ซึ่งชูฮันได้ใช้รถ G55 พุ่งชนเหล่าซอมบี้จนเละ และในตอนนั้นเอง ชูฮันถึงตระหนักได้ว่าทั้งหมดนี้คือระบบล่มสลาย และเขาสามารถได้คะแนนจากการฆ่าซอมบี้ทั้งหลาย ซึ่งเขาสามารถเอาคะแนนพวกนี้ไปแลกเปลี่ยนเป็นความสามารถพิเศษอะไรก็ได้ และในตอนนั้นเอง การเดินทางของชูฮันก็ได้เริ่มต้นขึ้นไปพร้อมๆกับระบบล่มสลาย นี่เป็นเรื่องราวของระบบล่มสลาย โดยมีเขา…ชูฮัน เป็นคนดำเนินเรื่องราว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset