Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย – ตอนที่ 456

ทุกคนพลันกรูกันเข้ามาที่ตัวรถจี๊ปทันที แต่ละคนถูกมอบหมายให้แบกของกัน และเริ่มปีนภูเขาพร้อมกับแบกสะพายของไว้ที่หลังของแต่ละคน

 

หลี่บี๋เฟิงเป็นคนเปิดเส้นทาง หลิวยู่ติงและเฉินเสี้ยนกาวคอยดูแลสถานการณ์โดยรวม ส่วนชูฮันและเฉินช่าวเย่เดินปิดท้าย เนื่องจากสมรรถภาพทางกายภาพของเฉินช่าวเย่นั้นอ่อนแอยิ่งกว่าวิวัฒนาการระยะ 2 ซะอีก ดังนั้นจึงต้องอาศัยพละกำลังมหาศาลของชูฮันพาเดินปิดท้ายพร้อมกับดูแลทุกคนไปด้วย

 

ขณะนี้ ในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง ถึงแม้ทุกคนจะเรียกชูฮันว่าท่าน ทว่าหลังจากผ่านการกินนอนอยู่ด้วยกันมาหลายครั้งตลอดระยะเวลาแห่งการเดินทาง ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจึงเริ่มใกล้ชิดมากขึ้นพอสมควร

 

“ตั้งแคมป์พักกันก่อนคืนหนึ่ง” เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดแล้วชูฮันจึงออกคำสั่ง

 

กลุ่มคนที่เดินฝ่าหิมะผ่านภูเขามาเป็นเวลาร่วมวันเริ่มทำการตั้งแคมป์เพื่อพักผ่อน ติงเซวและชูเซี่ยที่หยิบเอาอุปกรณ์ทำครัวออกมาจากรถจี๊ปและแบกเดินกันมาเองอย่างลำบากโดยไม่ได้พึ่งความช่วยเหลือจากใครเลยสักนิด พวกเธอเดินกันมาอย่างช้าๆเนื่องจากของจำนวนและหนักจึงทำให้พวกเธอเดินยรั้งท้ายขบวน

 

เหล่าทการจากซางจิงที่อยู่ตรงจุดตั้งแคทป์ เมื่อได้เห็นติงเซวและชูเซี่ยที่พึ่งเดินทางมาถึงพร้อมกับภาพที่แบกอุปกรณ์ทำอาการตามมาอย่างยากลำบากก็เริ่มเกิดความรู้สึกผิดขึ้นในใจ จากนั้นก็รีบอดไม่ได้ที่จะเมินต่อความเหนื่อยล้าของตัวเองและเสนอตัวช่วยพวกเธอ…ตำแหน่งภรรยาพลโทของติงเซวที่สูงขนาดนี้ แต่การที่ติงเซวไม่ใช้อำนาจที่ตัวเองมีโดยการใช้ให้เหล่าทหารแบกของมาแทนนั้น ประกอบการทันทีที่มาถึงจุดตั้งแคทป์พวกเธอก็เริ่มลงมือปรุงอาหารให้กับทุกคนทันทีทั้งๆที่ก็เหนื่อยล้ากับการแบกของมาไม่ต่างจากพวกเขา…ความคิดนี้ยิ่งสร้างความละอายใจให้กับเหล่าทหาร

 

ชูฮันเองก็เดินเข้ามาหาติงเซวพร้อมกับโยนเฉินช่าวเย่และถุงของขนาดใหญ่สองถุงที่เขาแบกมาตลอดทางลงพื้น เฉินช่าวเย่ตัวอ้วนเสียหลักจนแทบจะหน้าทิ่มพื้น แม้มันจะเหนื่อยเกินไปสำหรับชูฮันที่จะแบกถุงของขนาดใหญ่สองถุงและคนอ้วนอีกหนึ่งคน แต่เฉินช่าวเย่เองนั้นก็อ่อนแอเกินกว่าจะสามารถเดินข้ามภูเขามาเองได้!

 

ไอ้อ้วนนี้จะทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากยิงปืนและกินแล้วเหรอไง?

 

ชูฮันไม่อยากจะคิดอะไรมากกับเรื่องเฉินช่าวเย่ให้ปวดหัวอีก เขาจึงพูดกับทุกคนด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “ในช่วงเวลาแบบนี้ อย่าเรื่องมากอะไรเรื่องอาหารกันนัก แค่ต้มอะไรสักอย่างเป็นหม้อใหญ่หม้อเดียวก็พอ”

 

“เอ่อ” ติงเซวที่กำลังยุ่งวุ่นวายกับการทำอาหารที่ได้เห็นภาพของเฉินช่าวเย่ก็โมโหและทนไม่ไหว จึงยื่นมือออกไปฟาดเข้าที่เอวของเฉินช่าวเย่…น่าอายจริงๆ! “ท่าน ท่านจะกินอาหารกับพวกเรามั้ย?” ซูเซียงหลงมองไปที่ชูฮันด้วยความประหลาดใจ

 

ชูฮันมองกลับมาด้วยสายตามีนัยนะ “ใช่ มีปัญหาอะไรรึเปล่า?”

 

ซูเซียงหลงค่อนข้างระวังตัว เขาจับหัวตัวเองพลางพูดขึ้นมาด้วยท่าทางอายๆ “เหลือเชื่อ ปกติแล้วเหล่านายพลระดับพลตรีขึ้นไปจะไม่กินอาหารร่วมกับทหารอย่างพวกเรา ผมไม่เคยเห็นภาพที่พลเอกและพลโทเป็นกันเองกับทหารแบบนี้มาก่อน”

 

“งั้นเหรอ?” หลี่ชวนวิ่งเข้ามา เขาไม่ใช่ทหารของกองทัพตั้งแต่แรก ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยรู้อะไรมาก

 

“พลเอกชูฮัน” หลี่บี๋เฟิงเดินออกมาท่ามกลางฝูงชนและพูดต่อ “อันที่จริง ของต่างๆของพวกเราก็ไม่ได้มีมากขนาดนั้น ท่านพลเอกท่านไม่จำเป็นต้องลดตัวลงมาเหนื่อยกับพวกเราเพื่อแบกของเลย อีกทั้งมันยังมีกฏเงื่อนไขต่างๆของกองทัพระบุไว้อยู่แล้วเรื่องสิทธิตำแหน่ง”

 

ในยุคโลกาวินาศ นายพลของกองทัพทหารจะต้องมีความสง่างาม นี่เป็นกฏที่ไม่ได้เขียนบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรของกองทัพ ทว่าเป็นเรื่องที่รู้กันเองว่า…ไม่ว่าสถานการณ์จะยากลำบากขนาดไหน นายพลระดับพลตรีขึ้นไปจะได้รับการปฏิบัติที่พิเศษที่สุดเสมอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพลเอกชูฮันที่ได้รับสิทธิพิเศษเหนือกว่านายพลคนไหนๆอีกด้วย

 

กลุ่มคนรอบๆเริ่มเงียบเสียงลงพลางจ้องไปที่ชูฮัน เมื่อพวกเขาเห็นตราพลเอกตรงที่หน้าอกของพลเอกชูฮัน พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมชูฮันขึ้นมา ทั้งๆที่พลเอกชูฮันมีสิทธิพิเศษเหนือกว่าคนอื่นแต่เขากลับไม่ทำตัวเหนือใคร

 

ชูฮันยิ้มมุมปากและต่อมาท่ามกลางสายตาที่ประหลาดใจของทุกคน ร่างกลมท้วมของเฉินช่าวเย่ที่นั่งจมปักอยู่ที่พื้นเพราะไม่สามารถลุกขึ้นมาเองได้ก็ถูกชูฮันดึงขึ้นให้มายืนข้างๆ “ไม่ ฉันจะกินกับทุกคน”

 

“ฮึบ…อ๋า” เฉินช่าวเย่เว้นจังหวะส่งเสียงขณะพยายามลุกขึ้นตามแรงดึง “ในที่สุดฉันก็ขึ้นมาได้ ขอบคุณครับหัวหน้า”

 

หลายคนหัวเราะหนักเมื่อได้เห็นภาพนี้ เฉินช่าวเย่คนนี้ช่างตลกซะจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะฝีมือการยิงปืนอันน่าเหลือเชื่อและเทคนิคในการฆ่าที่น่ากลัวและไร้ความลังเลของเฉินช่าวเย่ที่พวกเขาได้เห็นกับตาตัวเองมาก่อนหน้านี้ละก็ ทุกคนคงหาความน่าเกรงขามจากเฉินช่าวเย่ในตอนนี้ไม่ได้เลย ส่วนพลเอกชูฮันที่ฆ่าคนอย่างเหี้ยมโหดต่อหน้าต่อตาทุกคนกลับทำปฏิบัติตัวต่อผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเท่าเทียมจนเหนือความคาดหมาย!

 

ชูฮันหยุดพักช่วยครู่จากนั้นก็คว้าฟืนที่อยู่ข้างๆมาจุดกองไฟ กองไฟถูกจุดติดขึ้นอย่างรวดเร็วตามมาควันร้อนที่ลอยขึ้นในอากาศ “เอาละ กระจายตัวกันอยู่รอบๆ หาที่อุ่นๆ”

 

“เฮ้!” หลี่ชวนเป็นคนแรกที่ส่งเสียงขึ้น เขาและชูฮันรู้จักกันเมื่อในสงครามเมืองตง

 

“นี่หลี่ชวนไม่ใช่เหรอไง?” ชูฮันพูดติดตลก “ฉันไม่ได้ยินนายร้องเพลงมานานแล้ว”

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า!” เกิดเสียงหัวเราะดังลั่นขึ้นท่ามกลางฝูงชน ซึ่งมันช่วยสร้างความสนิทสนมระหว่างชูฮันและทุกคน

 

“ผมไม่ ผมไม่ร้องเพลง! ถ้าผมร้องเมื่อไหร่ทุกคนต้องหัวเราะผมแน่” หลี่ชวนหลบสายตา หากจู่ๆเขาก็รีบมองไปที่ซูเซียงหลง “บอกให้เขามาเต้นกับผมสิแล้วผมจะร้องเพลง”

 

“ฮ้า!” ซูเซียงหลงตกใจ

 

“ใช่!” ชูฮันเริ่มสนใจและหันไปตะโกนใส่ซูเซียงหลง “นายจะเต้นหงส์ขาวมั้ย?”

 

“พัฟ! ฮ่าฮ่าฮ่า!” เสียงหลุดหัวเราะของฝูงชนดังขึ้นมาอีกครั้ง ซูเซียงเองก็เกือบหลุดยิ้มออกมา พลเอกคนนี้มีความคิดแปลกๆเยอะดีนี่?

 

ติงเซวเองก็ยิ้มมุมปากขณะที่มือของเธอยังคงคนอาหารอยู่ในหม้อไปด้วยไม่หยุด

 

เฉินช่าวเย่ที่ยืนข้างๆติงเซวเมื่อได้เห็นแก้มแดงปลั่งของเธอก็เอ่ยปากพูดขึ้นมาทันทีอย่างไม่ทันคิด “คุณผู้หญิง อันที่จริงคุณควรจะเต้นท่าหงส์ คุณจะเต้นรำกับผมได้มั้ย? ไม่ต้องห่วงเรื่องความอ้วนของผม ผมสามารถเต้นได้อย่างพริ้วไหวเลยล่ะ”

 

ติงเซวตกใจจนฝาหม้อในมือเกือบจะหลุด

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า!” คนกว่าหนึ่งร้อยต่างหัวเราะเสียงดังลั่นกันใหญ่

 

คนกว่าหนึ่งร้อยคนที่ยืนล้อมรอบกองไฟกันเป็นวงกลมไม่ได้พูดอะไร พวกเขาเริ่มมีความตระหนักมากขึ้นและรู้ดีแก่ใจว่าชูฮันเป็นคนที่น่าสนใจมากแค่ไหน ผู้บัญชาการสนามรบอันน่าเกรงขามหากกลับไม่มีท่าทีถือตัวหรือต้องการอยู่เหนือใคร ช่างเป็นคนที่น่าสนใจอย่างมาก

 

หวังหลิง หลูเหวินเชิง เหลียงยงฮ่าว และเหล่ยเซอ นั่งรวมกันอยู่ในฝูงชน พวกเขายังคงอึ้งตะลึงกับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อยู่และยังไม่ได้สติดี

 

“พลเอกชูฮันช่างเป็นคนแปลกจริงๆ!” หลูเหวินเชิงมองไปที่ภาพกลุ่มคนที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกปาก

 

“เฮ้อ”

 

“เฮ้อ”

 

“เฮ้อ”

 

ทั้งสามคนต่างส่งเสียงเบื่อหน่ายไล่ตามกันออกมาทีละคนๆ จากนั้นมันก็ไม่มีเสียงอะไรอีก

 

หัวใจของหลูเหวินเชิงเต้นระรัวขณะชี้ไปที่เฉินช่าวเย่ที่กระโดดเข้ามากลางวงพร้อมกับเต้นท่าหงส์ “อันที่จริง ฉันเล่นเครื่องดนตรีได้ นายอยากให้ฉันเล่นเพลงให้เขามั้ย?”

 

ทั้งสามคนต่างเงียบสนิทและอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ร่างอ้วนท้วมทว่าเคลื่อนไหวได้อย่างพริ้วไหวของเฉินช่าวเย่

 

“เร็วเข้า ทุกคนแนะนำตัว ทำความรู้จักกันและกันซะ” จู่ๆเสียงของชูฮันก็ดังขึ้นมาท่ามกลางทุกคน “จากทางซ้ายของฉัน เริ่มที่หลี่ชวนเป็นคนแรก”

Apocalypse Meltdown

Apocalypse Meltdown

มันเป็นโลกที่ซอมบี้และมนุษย์อาศัยอยู่ด้วยความสิ้นหวัง สนามแม่เหล็กของโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงและทุกอย่างได้ย้อนกลับมายังจุดเริ่มต้น วันหนึ่ง วีรบุรุษของพวกเรา…ชูฮัน ได้เดินทางย้อนเวลากลับมาสิบปีก่อนโดยไม่รู้ตัว เขาได้ย้อนกลับมาก่อนจุดจบของโลกจะเริ่มต้นขึ้น (โลกาวินาศ) เขาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงดังในหอพักในมหาวิทยาลัยหมิงชิว ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาได้กลับชาติมาเกิดใหม่ ชูฮันต่อสู้กับเหล่าซอมบี้นับสิบๆตัวก่อนจะมุ่งหน้าไปที่ลานจอดรถเพื่อขโมยรถยนต์เมอร์ซิเดซ-เบนซ์G55ออกมา เขาตัดสินใจที่จะตามหาพ่อแม่และพี่น้องของเขาด้วยG55คันนี้ ซึ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาเสียใจที่ไม่ได้ทำในชาติที่แล้ว ระหว่างทางชูฮันได้พบปะกับคนกลุ่มหนึ่งที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นมีคนที่ติดอันดับ 20 ของโลกาวินาศรวมอยู่ด้วย…เฉินช่าวเย่ พวกเขาพบกับซอมบี้จำนวนมากระหว่างทางบนทางหลวง ซึ่งชูฮันได้ใช้รถ G55 พุ่งชนเหล่าซอมบี้จนเละ และในตอนนั้นเอง ชูฮันถึงตระหนักได้ว่าทั้งหมดนี้คือระบบล่มสลาย และเขาสามารถได้คะแนนจากการฆ่าซอมบี้ทั้งหลาย ซึ่งเขาสามารถเอาคะแนนพวกนี้ไปแลกเปลี่ยนเป็นความสามารถพิเศษอะไรก็ได้ และในตอนนั้นเอง การเดินทางของชูฮันก็ได้เริ่มต้นขึ้นไปพร้อมๆกับระบบล่มสลาย นี่เป็นเรื่องราวของระบบล่มสลาย โดยมีเขา…ชูฮัน เป็นคนดำเนินเรื่องราว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset