หลิวยู่ติงยิ้มมุมปาก “ใสซื่อ”
“อ่า…” ซูเซียงหลงอ้ำอึ้ง
หลิวยู่ติงเหล่มองซูเซียงหลงด้วยสายตามีนัยนะ “ทำไมนายถึงคิดว่าพลเอกชูฮันถึงทำกับแผนกโลจิสติกส์แบบนั้น แม้แต่หัวหน้าแผนกอย่างพันชางเซียนยังถูกทำไม่ต่างจากหมู?”
“เพื่อบีบให้ยอม?”
“มันเป็นเพราะเรามีเสบียงไม่พอ เดิมทีที่ทางนั่นให้เรามามันน้อยมากเกินไป แต่นี่เป็นวิธีปกติที่แผนกโลจิสติกส์ทำกับทุกคน” หลิวยู่ติงถอนหายใจ “เมื่อตอนที่ท่านพลเอกพาพวกเราทหารออกมาจากค่าย ใครจะสามารถนำเอาเสบียงออกมาได้มากมายในคราวเดียว? พวกนายได้อยู่อย่างสบายมาตลอดระยะสองสามวันที่ผ่านมา รถจี๊ปยี่สิบคันที่มีอุปกรณ์พร้อม ถึงแม้ตอนนี้เราจะไม่มีของให้รถต้องแบกและถนนให้รถวิ่งแล้ว แต่ถ้าเราไม่มีมันตั้งแต่แรกพวกเราคงยากลำบากกันมากกว่านี้เยอะ”
ซูเซียงหลงยิ้มอย่างข่มขืน “แต่พวกเราที่มาจากซางจิงกลับเอาแต่เรียกร้องมากกว่านี้”
“ฉันเองก็เป็นทหารประจำของฐานทัพซางจิง” แววตาของหลิวยู่ติงดิ่งลึก “เสบียงพวกนั้นมันไม่ใช่สำหรับสัดส่วนของหทารหนึ่งร้อยคน ถ้าไม่ใช่เพราะผู้นำของเรามีตำแหน่งพลเอก พวกเราคงได้ของจัดสรรจากแผนกโลจิสติกส์น้อยกว่านี้อีกด้วยซ้ำ สิ่งที่เป็นของเราจริงๆมันแค่หนึ่งในห้าจากที่ได้มา แต่เป็นเพราะพลเอกชูฮันต่อสู้เพื่อพวกเรา เพราะงั้นเราถึงได้มีเสบียงอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้”
หลายคนต่างมีสายตาไม่อยากจะเชื่อ โดยเฉพาะเหล่าหทารที่มาจากซางจิง พวกเขาต่างรู้สึกละอายแก่ใจ
“พูดได้ว่าของเสบียงส่วนใหญ่ สี่ในห้าของทั้งหมดนั้นเป็นของครอบครัวพลเอกชูฮัน” หลิวยู่ติงยิ้ม “พลเอกชูฮันรายงานว่าเขามีสมาชิกในครอบครัวหนึ่งร้อยคน”
หลิวยู่ติงได้ยินมาว่าหลายคนยังไม่เข้าใจความเป็นจริง พวกเขาเอาแต่คิดว่าเฉินเสี้ยนกาวและพรรคพวกคือปัญหา บอกว่าพวกนั้นกินน้ำและอาหารของพวกเขา แต่นี้คือความจริงต่างหาก ดีแล้ว…เพราะมันทำให้สถานการณ์ตอนนี้กลับตาลปัตร
“เรื่องพวกนี้ พลเอกชูฮันไม่พูด…” เสียงของซูเซียงหลงเริ่มแผ่วลง
“เขาเป็นคนที่ไม่ชอบพูดมาก” หลิวยู่ติงพยักหน้า “เขาคิดว่ามันไม่จำเป็นที่ต้องมาอธิบาย เขาก็แค่ไม่พูด แต่ความจริงแล้วอาการและทรัพยากรทุกอย่างนั้นเป็นสิทธิที่เขาได้มาจากการต่อสู้ของเขา”
“แถมเรายังเป็นตัวถ่วงของเขาอีก” ทันใดนั้นหวังหลินก็ถอนหายใจ ส่งผลให้หลูเหวินเชิงที่หวาดกลัวสะดุ้งตื่นขึ้นมา
หลูเหวินเชิงที่ยังไม่ทันได้หายจากอาการตกใจก็มีปฏิกิริยากับสถานการณ์ในตอนนี้ จู่ๆเขาก็ผุดลุกขึ้นและพุ่งตัวออกไป
“หลูเหวินเชิง! นายจะไปไหน!?” หลิวยู่ติงที่ตกใจเหมือนกัน หากทันทีที่ได้สติเขาก็รีบตะโกนถามไล่หลังหลูเหวินเชิงที่วิ่งหนีไปไกล
“ช่วยชีวิตคน!” เสียงเย็นของหลูเหวินเชิงตอบกลับมา
———-
เฉินเสี้ยนกาวและคนอื่นๆหลายสิบคนรวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็กๆล้อมกองไฟ บรรยากาศค่อนข้างจริงจัง หลี่ชวนมักเก่งด้านการสร้างบรรยากาศกระตุ้นผู้คน เขาช่วยสร้างบรรยากาศให้เป็นมิตรสร้างความร่าเริงจนทุกคนเริ่มคล้อยหลับ
เปรี้ยะ!
จู่ๆมันก็มีเสียงเสียดสีของอาวุธปะทะกันดังขึ้น ทุกคนที่หลับกันอยู่สะดุ้งตื่น กระพริบตาชตื่นตัวอย่างระแวงกับสถานการณ์
“หลี่ซิงยู นายกำลังทำอะไร?!” เฉินเสี้ยนกาวเค้นพลังทั้งหมดของเขาออกมา ดาบยาวของเขาพาดตั้งกลางหน้าอกเพื่อกั้นกริชของหลี่ซิงยูที่เกือบจะแทงเข้าหน้าอกเขาเอาไว้
“เพื่ออะไร? จะฆ่าฉันทำไม?!” หลังจากเค้นเสียงถาม ฮัวหมิงที่อยู่ข้างๆก็ชักปืนขึ้นมาและเล็งไปที่หัวของเยวจึ
เฉินเสี้ยนกาวตื่นตระหนก ดาบยาวในมือสั่นอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ทำให้กริชของหลี่ซิงยูมีโอกาสเข้าใกล้อกของเฉินเสี้ยนกาวมากขึ้น!
ทันใดนั้นมันก็มีเสียงกระแทก “ฉึก!”
กริชตรงหน้าเฉินเสี้ยนกาวลอยปลิวออกไปพร้อมกับเสียงที่มันปักลงพื้นหิมะ จู่ๆก็มีร่างของคนคนหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย คนคนนั้นเขามาจัดการกับหลี่ซิงยูอย่างรวดเร็ว วิวัฒนาการระยะ 3 หรือ 2 เชาไม่อาจบอกได้เป็นเพราะพลังผันผวนของคนคนนั้นไม่สามารถตรวจจับได้
“กูเหลียงเฉิน?”
เสียงหวาดกลัวของผู้คนดังขึ้น จากนั้น—-
“ปัง!” ทันใดนั้นมันก็เสียงยิงปืน
“อ๊ากกก…” เสียงร้องจากฮัวหมิง ปืนในมือของฮัวหมิงร่วงลงพื้นทันที มีกระสุนเจาะทะลุเข้าฝ่ามือของฮัวหมิงตามมาด้วยเลือดที่ไหลย้อยลงมาไม่หยุด
ปืนในมือของเย๋เฉินเผยขึ้นต่อสายตาทุกคนพร้อมกับควันที่ลอยออกจากปากกระบอกปืน เหงื่อเย็นๆผุดขึ้นหน้าผากของเขา เกือบไปแล้ว!
เยวจึมองเย๋เฉินด้วยสายตาประหลาดใจ จากนั้นก็รีบชักอาวุธของตัวเองขึ้นมา หลี่ชวนที่อยู่ข้างๆเองก็รีบยกขวานดับเพลิงของตัวเองขึ้นมาเช่นกัน
ฮัวหมิงไม่มีเวลาที่จะหยิบปืนที่พื้น เขารีบควักมีดพกขึ้นมาด้วยมือข้างซ้าย พลังผันผวนของวิวัฒนาการระยะ 3 พุ่งกระจายออกมา แววตาส่องประกายวาว “มึงรนหาที่ตายเองนะ!”
“จัดการมันให้สิ้นซาก!” เฉินเสี้ยนกาวบตะโกนสั่ง
คนที่เหลือได้แต่นิ่งอึ้ง จากนั้นก็รีบตั้งสติและเตรียมตัวตั้งรับ ถึงแม้พวกเขาจะยังไม่เข้าใจว่าทำไมพรรคพวกที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมาตลอดหลายวันถึงจู่ๆคิดจะฆ่าพวกเขาก็ตาม?
“กูเหลียงเฉิน? มึงอยากตายเหรอไง สู้สิวะ!” หลี่ซิงยูแหกปากขึ้นมาดังลั่น
กูเหลียงเฉินไม่ตอบ เขาปาดเลือดตรงมุมปากออกและพยายามจะวิ่งหนีออกไปอย่างกลัวตาย
“เหอะ อย่าคิดว่ากูจะฆ่ามึงไม่ได้ ก็แค่วิวัฒนาการระยะ 2 กล้าจะมาต่อกรกับกู?” หลี่ซิงยูถอนหายใจและกระแทกกำปั้นเข้าใส่หน้าอกของกูเหลียงเฉิน จากนั้นก็แหกปากใส่ทุกคน “วันนี้พวกมึงทั้งหมดต้องตายอยู่ที่นี้!”
และอีกฟากหนึ่ง ปัง!
พลังผันผวนของวิวัฒนาการระยะ 3 ของฮัวหมิงกระจายล้อมรอบตัวและในขณะเดียวกันมือของเขาก็บีบเข้าที่แขนของเยวจึจนกระดูกแทบหัก ทำให้ดาบในมือของเยวจึถูกแย่งไป
“กูไม่ใช่ซอมบี้ไร้สมองที่อยู่ใต้อำนาจมึง! กูเป็นวิวัฒนาการระยะ 3!” ฮัวหมิงจ้องเขม็งด้วยสายตาโหดเหี้ยมและทันใดนั้นก็ฟาดดาบเล็งเข้าที่คอของเยวจึ พลังของวิวัฒนาการะยะ 3 ระเบิดออกมา
“ปัง!”
หากครั้งนี้ฮัวหมิงกลับเป็นฝ่ายร่วงลงพื้น ต่อมาเขาก็โดนเหยียบเข้าที่หน้าอย่างแรงจนโหนกแก้มครึ่งหนึ่งแตกละเอียด เลือดไหลทะลักออกมาจากปากฮัวหมิงจนเต็มพื้นไปหมด
หลี่บี๋เฟิงผลักเยวจึออก จากนั้นก็อัดฮัวหมิงต่ออย่างแรง บิดแขนหักจนกระดูกโผล่ออกมาให้เห็น
“วิวัฒนาการระยะ 3 งั้นเหรอ?” หลี่บี๋เฟิงมีสีหน้าดุดัน “แต่กูระยะ 4!”
หลี่ซิงยูซึ่งอยู่ในสภาพย่ำแย่ไม่ได้ยุ่งกับกูเหลียงเฉินอีก เขาไม่สามารถจะเอาตัวเองรอดได้ด้วยซ้ำและไม่สามารถดูแลฮัวหมิงที่ยื่นมือเขามาช่วยจนตอนนี้บาดเจ็บหนัก หลี่ซิงยูคิดจะหมุนตัวหนีออกไปแทน
แต่ใครจะรู้ จังหวะที่หลี่ซิงยูกำลังหมุนตัวนั่นเอง—–
“ปัง!” หมัดกระแทกเข้าที่เบ้าตาของหลี่ซิงยูทันที
“พูดมา!” หลิวยู่ติงมองหน้ากูเหลียงเฉินที่เอาได้แต่พยายามกดปากแผลตัวเอง ใบหน้าช้ำและเปื้อนไปด้วยเลือด “พูดให้รู้เรื่อง! นายเป็นวิวัฒนาการระยะ 2 แต่ยังเอาชนะมันไม่ได้ นายสู้อย่างหนักแล้วสินะ?”
——–
เฉินช่าวเย่ถูกอย่างลากเหมือนหมูมาตลอดทาง แต่ในตอนนั้นเองจู่ๆชูฮันก็หยุดชะงักเมื่อหวังไคที่อยู่ในกระเป๋าของเขายื่นหัวออกมาพูด “แปลกมาก ความภักดีของกูเหลียงเฉินเพิ่มขึ้น?”
คิ้วของชูฮันเลิกขึ้นเมื่อได้เห็นข้อมูลในระบบล่มสลาย เขากำลังจะขึ้นไปถึงยอดของภูเขาแล้วขณะลากเฉินช่าวเย่ให้ปีนตามมาด้วย
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง—–
“ชูฮัน!” จู่ๆหวังไคก็ตะโกนขึ้นมา “มีคนชื่อหายไปสองคน พวกเขาตายรึเปล่า?!”