เบาะแสทั้งหมดได้ทำให้ทุกอย่างกระจ่างอย่างชัดเจนสำหรับชูฮัน แสดงว่าในชาติที่แล้วไม่มีคนที่ชื่อว่าหลิงโหลวมีชีวิตรอดจากการปะทุ เพราะอย่างนั้นซูเฟิงจึงกลายเป็นที่รู้จักหลังจากการปะทุผ่านไปไม่กี่ปี
และในขณะที่ชูฮันกำลังอยู่ในช่วงเร่งรีบ หลิงโหลวก็พูดขึ้นมาอีกครั้งซะก่อนด้วยน้ำเสียงก้าวร้าว “พลเอกชูฮันถึงแม้ฉันจะไม่มีตำแหน่งที่เฉพาะเจาะจงในกองทัพ แต่คุณก็น่าจะรับรู้ถึงการมีอยู่ของของทีมสำรองเขี้ยวหมาป่าในฐานะพลเอกของจีน ฉันถือเป็นเพื่อนร่วมงานของคุณ ดังนั้นอีกครั้งหนึ่งที่ฉันขอความร่วมมือจากคุณให้ช่วยกันฆ่าคนคนนี้!”
“ไม่!” ชูฮันปฏิเสธ เขาพูดขัดคำพูดของหลิงโหลวขึ้นอย่างไม่สนใจ
หลิงโหลวหายใจเข้าอย่างรุนแรง การขอความร่วมมือจากชูฮันทั้งถูกปฏิเสธทั้งสามครั้ง เห็นได้ชัดว่าชูฮันได้ทำการตัดสินใจที่อันตรายลงไป
ทันทีที่ชูฮันเห็นบรรยากาศที่กำลังก่อตัวขึ้น เขาก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องดี เขาแอบมีความกังวลอยู่ในใจเล็กน้อยและคิดหาเหตุผลที่เหมาะสมขึ้นมาเพื่อใช้อ้างต่อหน้าทั้งสองคนที่เขาพึ่งได้พบเจอ เขายกมือขึ้นกางพลางยิ้มใส่ทั้งสอง “ฉันรู้สึกว่ามันไม่ดีที่เราจะฆ่าเองกัน”
หวังไคที่อยู่ในกระเป๋าชูฮันและเฉินช่าวเย่ที่อยู่ข้างหลังห่างไปไม่ไกลต่างกรอกตาพร้อมๆกันโดยมิได้นัดหมาย นี้เป็นคำพูดจากปากชูฮันเองเนี่ยนะ ไม่อยากจะเชื่อ!
ชูฮันหมดหนทาง นอกเหนือจากเหตุผลนี้เขาไม่สามารถหาอะไรมาเพื่อห้ามทั้งสองคนไม่ให้สู้กันได้แล้ว สำหรับซูเฟิงนั่นแน่นอนว่าไม่ใช่ศัตรูของเขาอยู่แล้ว ถึงแม้สำหรับในชาตินี้ซูเฟิงและเขาจะยังไม่รู้จักกันและกัน แต่ในชาติที่แล้วพวกเขาเป็นเพื่อนกัน
ส่วนหลิงโหลวที่เป็นทีมสำรอง แต่แน่นอนว่าป่ายหวีเนอและซางจิ่วตี้ไม่น่าจะใกล้ชิดกับหลิงโหลว หากใครจะรู้ไม่แน่เธออาจจะมีความสัมพันธ์กับหัวหน้าทีมเขี้ยวหมาป่า? แล้วถ้าเขาฆ่าผิดคนล่ะ?
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือซูเฟิง และจากการสังเกตและการคาดเดาทั้งหลาย…แม้ซูเฟิงและหลิงโหลวจะไม่สามารถระบุตัวตนได้แน่ชัดว่าเป็นวิวัฒนาการหรือพรสวรรค์กันแน่ แต่ระยะของทั้งคู่น่าจะต้องเป็นระยะ 6 หรือมากกว่า ส่วนตัวเขาเองนั้นเป็นแค่วิวัฒนาการระยะ 4 เขาจะกล้าเผิชญหน้ากับระดับปรมาจารย์ทั้งสองคนตรงหน้าได้อย่างไร? ไม่ใช่ว่าเขากลัวแต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะต่อกรกับระยะ 6
สีหน้าของหลิงโหลวยิ่งเย็นชาขึ้น เธอควงเคียวยักษ์ในมือหมุนวนไปรอบๆจนมันเกิดเป็นลมหมุนขนาดย่อมในอากาศ ทันใดนั้นมันก็มีจิตสังหารแผ่กระจายอยู่รอบตัวเธอและเผยให้เห็นถึงพลังผันผวนระดับสูงซึ่งมันหนักหน่วงอย่างมาก หากก็ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเธอเป็นวิวัฒนาการหรือพรสวรรค์ระยะไหนกันแน่
เช่นเดียวกับน้ำเสียงของเธอที่ยิ่งดุดันมากกว่าเดิม “หรือว่ามันยากที่คุณจะฆ่า? พลเอกชูฮัน คนตรงข้ามนี่คิดจะฆ่าฉันมาเป็นสิบวันแล้ว!”
ชูฮันตะลึงไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้นหากเขาก็รีบดึงสติตัวเองกลับมาอย่างรวดเร็ว และในที่สุดเขาก็ได้รับการชี้แจงข้อมูลอย่างกระจ่างจากคำพูดของหลิงโหลว ทั้งสองคนต่างต่อสู้กันไปมาอยู่แบบนี้มาถึงสิบวันแล้ว การต่อสู้ของคนระดับสูงที่ทรงพลังเหลือล้ำช่างน่าตะลึงจริงๆ!
ความคิดมากมายทั้งหลายถูกชูฮันซ่อนไว้ในใจ จากนั้นเขาก็หันหน้ามาและมองไปที่ซูเฟิง “คุณกำลังไล่ล่าหญิงสาวน่ารักอย่างงั้นเหรอ?”
หลิงโหลว? แน่นอนว่าไม่น่ารัก!
ภาพลักษณ์ที่เธอแสดงออกต่อภายนอกนั้นเต็มไปด้วยความโหดร้ายและดุดันแต่ชูฮันสามารถดึงตัวตนที่แท้จริงของเธอออกมาได้เพราะฉะนั้นตอนนี้มันจึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่เขาจะดึงทั้งสองคนนี้ให้มาเป็นพวกเขา
แววตาของซูเฟิงเริ่มเย็นยะเยือกขึ้น “ยัยนั่นฆ่าหมาฉัน!”
ชูฮันเหงื่อแตก นี่มันอะไร? จากนั้นก็เหลือบกลับไปที่หลิงโหลวอย่างลังเลและสับสนเล็กน้อย “ทำไมคุณฆ่าไปฆ่าหมาเขา?”
“หมานั่นมันเป็นซอมบี้และความสามารถมันอาจฆ่าล้างบ้างคนทั้งค่ายเลยได้ด้วยซ้ำ!” น้ำเสียงของหลิงโหลวเต็มไปด้วยความดุดันและจริงจัง เห็นได้ชัดจากน้ำเสียงของเธอว่าเธอเริ่มหมดความอดทนแล้ว “จะไม่ให้ฉันฆ่ามันแล้วก็ปล่อยมันไปอย่างนั้นเหรอ?”
ชูฮันพูดอะไรไม่ออก นี้มันเรื่องบ้าบออะไรกัน? สู้กันเป็นเวลาสิบวันสิบคืนเพราะเรื่องหมา? เห็นได้ชัดเลยว่าระดับสมองของคนระดับปรมาจารย์นั้นแตกต่างจากคนทั่วไป!
แต่ต่อหน้าสายตาสองคู่ที่มองมา สีหน้าของชูฮันกลับปรากฏให้เห็นแต่ความนิ่งสงบ จากนั้นเขาก็มองไปที่ซูเฟิง “นี่ถือเป็นความผิดของคุณ คุณไม่สามารถปล่อยให้หมาคุณกินอะไรก็ได้ แต่นั่นมันไม่ใช่ประเด็นสำคัญตอนนี้คุณหาหมาตัวใหม่เลี้ยงแทนซะ”
“อะไรน่ะ?” “อะไรน่ะ?” ซูเฟิงและหลิงโหลวต่างตะโกนใส่ชูฮันขึ้นมาพร้อมกัน สีหน้าของซูเฟิงเต็มไปด้วยแววสังหาร หิมะรอบๆปลิวว่อนด้วยแรงกดอากาศมหาศาล ดูเหมือนว่าตอนนี้ทั้งสองคนพร้อมจะฉีกชูฮันออกเป็นชิ้นๆได้ทุกเมื่อ
เฉินช่าวเย่กลัวมากจนถอยเท้าหนีไปหลายก้าว แม้เดิมทีเขาจะอยู่ห่างออกมาอยู่รอบแต่พลังผันผวนของทั้งสองที่ระเบิดออกมามันรุนแรงและสูงเกินไปจนทำให้เฉินช่าวเย่กลัว
หวังไคที่อยู่ในกระเป๋าชูฮันหัวใจเต้นรัวจนแทบจะระเบิดออกมา ในตอนนั้นสถาการณ์ทำให้มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะคิดคำถามขึ้นมา…ถ้าชูฮันตาย ตัวมันก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม จากนั้นก็รอให้เจ้าบ้านคนใหม่ปรากฏตัวขึ้นอย่างนั้นสินะ?
ชูฮันไม่กลัวที่จะเดินหน้าพูดต่อ การกระทำของเขายิ่งทำให้เฉินช่าวเย่กลัวยิ่งกว่าเดิม เขาใช้น้ำเสียงเป็นมิตรพูดอธิบายต่อ “เหตุผลที่พวกคุณจะทำร้ายฉันเพียงเพราะว่าฉันให้คำแนะนำพวกคุณเนี่ยนะ? แล้วพวกคุณก็จะไม่มีทางหยุดต่อสู้กัน มันได้ประโยชน์อะไร? ลองคิดดู พวกคุณทั้งคู่มีระดับพลังเท่ากัน ไม่ใครสักคนจะต้องลงท้ายด้วยการตายและอีกคนก็คงจะบาดเจ็บสาหัสและต้องรักษาตัวไปอีกนาน?”
ซูเฟิงอึ้งพลางเลียริมฝีปาก เขายังไม่เคยเอ่ยปากพูดอะไรเลยตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ แต่ในตอนนี้ที่เขาได้ยินทฤษฏีประหลาดของชูฮัน เขาก็ตัดสินใจฟังเพราะเขาเองก็เหนื่อยเหมือนกัน
ส่วนหลิงโหลวนั้นเป็นเพราะทั้งเธอและชูฮันต่างก็เป็นทหารเหมือนกัน เธอจึงไม่ได้แสดงท่าทีเป็นปรปักษ์ต่อชูฮัน ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อตัวตนของชูฮันที่ค่อนข้างสูงมากด้วย ที่เธอรู้เพราะว่ามันไม่ได้มีพลเอกเยอะมากมายอะไรในจีน
ดังนั้นทั้งสองคนจึงทั้งประหลาดใจและสงบลงเมื่อได้ยินคำพูดของชูฮัน ทั้งคู่ต่างมองมาที่ชูฮันอย่างเงียบๆ
“แต่พวกคุณโชคดีที่ได้เจอฉันก่อนในช่วงเวลาสำคัญ” โดยไม่สนใจสายตาประหลาดใจจากทั้งสองที่มองมา ขูฮันยังคงพูดล้างสมองทั้งคู่ต่อไป “เพราะฉันเป็นคนนอก เพราะฉะนั้นการตัดสินจากคนนอกที่เป็นคนสังเกตการณ์นั้นจะสมเหตุสมผลมากกว่า และจากมุมมองของฉันแล้ว นี้มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่ทั้งสองคนต้องมาต่อสู้กันเลยสักนิด”
“ปัญหาที่มีในตอนแรกกับหลิงโหลว เนื่องจากเธอถูกคุณไล่ตามก่อนเธอจึงต้องต่อต้านเพื่อป้องกันตัว ส่วนสาเหตุที่คุณไล่ตามเธอนั้นก็เป็นเพราะหลิงโหลวฆ่าหมาซอมบี้ของคุณที่เป็นภัยอันตรายต่อมนุษยชาติ จากมุมของหลิงโหลวมันเป็นเรื่องที่ถูกต้องและสมควรที่จะทำ…ซึ่งมันก็ถูกต้องแล้ว”
สีหน้าของหลิงโหลวเปลี่ยนไปพร้อมกับเชิดคางขึ้นเล็กน้อย
หลังจากพูดแบบนั้นชูฮันก็ไม่สนใจสายตาอันตรายจากซูเฟิง เขายังคงพูดต่อ “มาพูดถึงด้านซูเฟิงกัน อย่างแรกโลกาวินาศได้ปะทุผ่านมาครึ่งปีแล้ว หมาของคุณกลายเป็นซอมบี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ซูเฟิงอึ้งไปและขณะที่กำลังจะเอ่ยปากตอบนั้นเอง——
“ความจริงแล้วมันไม่สำคัญว่ามันกลายเป็นซอมบี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” จู่ๆชูฮันก็พูดแทรกซูเฟิงที่กำลังจะตอบขึ้นมา “สิ่งที่สำคัญก็คือมันไม่ใช่สัตว์ธรรมดาอีกต่อไปแล้ว ซอมบี้ก็คือซอมบี้ สายพันธุ์เดียวกัน มันเป็นพลังชั่วร้ายที่สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับสิ่งมีชีวิตบนโลก เพราะฉะนั้นถ้าเจอเมื่อไหร่ก็ควรฆ่าทิ้งทันที”
ทันใดนั้นจิตสังหารของซูเฟิงก็ระเบิดออกมา “แก!”
“โอเค ฉันเข้าใจความรู้สึกของคุณ มันเป็นเรื่องเศร้าที่ต้องเสียสัตว์เลี้ยงที่เรารักและเลี้ยงดูมา ฉันเข้าใจคุณจริงๆ” ชูฮันขัดจังหวะซูเฟิงอีกครั้ง “แต่คุณเคยคิดถึงบ้างมั้ยว่าหมาซอมบี้ของคุณกินคนไปแล้วมากมายเท่าไหร่ แล้วมันจะกินคุณเข้าสักวันมั้ยเมื่อมันยกระดับขึ้นไปสูงเรื่อยๆในอนาคต? คุณควรจะตรวจสอบให้มั่นใจด้วยซ้ำว่าตัวคุณไม่เคยถูกมันกัดหรือมีบาดแผลรอยข่วนที่เกิดจากมัน”
ทันใดนั้นร่างของซูเฟิงก็สั่นสะเทือน แววตาของเขาแสดงออกถึงความเจ็บปวด เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ชูฮันพูดนั้นไม่ได้มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของซูเฟิงเลย เขาไม่สนว่าคนกี่คนที่ถูกหมาเขากินไป แต่เขากับหมาของเขาไม่เคยแยกจากกันเลยตั้งแต่ในอดีตถึงแม้ตอนนี้มันจะกลายร่าง การพึ่งพาและความใกล้ชิด นอกเหนือจากความหิวกระหายที่มันต้องการจะกินเขาอยู่หลายครั้ง!