ติงซือเย้าเหงื่อแตกเข้าไปใหญ่ เหอเฟิงกำลังเล่นเกมส์อะไรอยู่กันแน่? ทำไมเขาถึงต้องทำแบบนี้? ซางจิ่วตี้และชูฮันเกี่ยวพันตรงไหนกับเรื่องนี้?
ปัก!
เกิดเสียงกระแทกดังขึ้นส่งผลให้ติงซือเย้ายิ่งตกใจกลัวเข้าไปกว่าเดิมอีก เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมกับเหงื่อที่ไหลโชก ในตอนนั้นเองซางจิ่วตี้ที่ได้ถอดรหัสจดหมายเสร็จแล้วมีสีหน้าตกใจฉายชัดเต็มใบหน้าเธอ ปากกาในมือของเธอตกลงกระแทกบนโต๊ะและกลิ้งไถล
มีอะไร? มีอะไรกัน?
ติงซือเย้าแทบจะเป็นลม ถึงแม้เขาจะเคยอยู่ในทีมฮูหยาและปฏิบัติภารกิจมานับไม่ถ้วน แถมยังมีอัตราความสำเร็จของภารกิจสูงถึง 100% และไม่หวาดกลัวต่อซอมบี้เลยสักนิด
หากปีศาจสองตัวที่กำลังจะพูดบางอย่างต่อหน้าเขากลับทำให้เขารู้สึกกลัว!
“ตระกูล…Rothschild(รอธส์ไชลด์)?!” น้ำเสียงของซางจิ่วตี้สั่นสะท้านอย่างเห็นได้ชัด เธอดูตกใจอย่างมากที่ได้เห็นข้อความในจดหมายที่ถอดรหัสเรียบร้อยแล้ว “ตระกูลลึกลับนี้กำลังเดินทางมาจีน???”
ตระกูลรอธไชลด์ หนึ่งในตระกูลที่เก่าแก่และลึกลับที่สุดของโลก เคยครองเศรษฐกิจโลกโดยครอบครองทองคำมากถึง 80% ของโลก แต่หลังจากพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สองและเศรษฐกิจที่ล้มเหลวในอเมริกา ตระกูลรอธไชลด์ก็เริ่มหายไปจากหน้าสังคมในศตวรรษที่ 21 แต่ไม่ว่าพวกเขาจะหายตัวไปจากหน้าสังคมยังไงพวกเขาก็ยังคงเป็นตระกูลที่ร่ำรวยและลึกลับที่สุดในโลกอยู่ดี ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาครอบครองอะไรไว้บ้างในมือและพวกเขามีอำนาจมากขนาดไหน
ความตกใจบนสีหน้าของซางจิ่วตี้ไม่สามารถปกปิดได้ ซางจิ่วตี้ทำท่าราวกับว่ากระดาษในมือนั้นเป็นของร้อนที่จับต้องไม่ได้
ติงซือเย้าที่ยืนอยู่ถัดไปแทบจะหมดสติกับสิ่งที่รับรู้ รอธไชลด์?!
“พี่ชาย? พี่สาว?” ติงซือเย้าทนสถานการณ์นี้ไม่ไหวอีกต่อไป เขาตะโกนเรียกสติทั้งคู่ “นี้มันเรื่องใหญ่เกินไป เราต้องรีบเอาของพวกเขากลับไปเก็บที่เดิม!”
“อย่าพึ่งใจร้อน” เหอเฟิงค่อยๆเอ่ย “นายคิดว่าคนในตระกูลนี้จะส่งของแบบนี้มาที่ค่ายซางจิง? เราก็รู้กันอยู่ว่าค่ายซางจิงไม่ได้ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองหลวง อีกทั้งข้อมูลในห้องเก็บเอกสารก็ไม่ได้สอดคล้องกับยุคศิวิไลซ์ ข้อมูลในห้องนั้นถูกค่อยๆเก็บสะสมหลังจากเกิดการปะทุขึ้น”
พ้ะ!
ซางจิ่วตี้เอนตัวผิงพนักเก้าอี้ เธอพลันนึกถึงบางอย่างขึ้นได้ “ตระกูลรอธไชลด์ไม่ได้สูญหายไปในสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วเหรอ? แล้วคนของพวกเขาติดต่อข้ามมหาสมุทรมาถึงเราได้ยังไง?”
“ความล้มเหลวทางเศรษฐกิจไม่ได้หมายความว่าด้านอื่นๆจะต้องหยุดชะงัก” น้ำเสียงของเหอเฟิงดูมีอะไรแฝงอยู่ “พวกคุณทั้งสองเป็นต่างก็หนึ่งในสมาชิกของทีม ในยุคศิวิไลซ์พลังอำนาจนั้นมีขีดจำกัด ดังนั้นข้อมูลมากมายจึงยังไม่ชัดเจน ตระกูลรอธไชลด์เองก็มักไม่ทำตัวโดดเด่น พวกเขาไม่เปิดเผยตัว อย่าลืมสิว่าพวกเขาเป็นชาวยิว”
ในเวลาเดียวกัน ทั้งซางจิ่วตี้และติงซือเย้าต่างรู้สึกสับสนกับเรื่องที่ได้รับรู้ พวกเขาแทบจะยืนอยู่ไม่ไหว สิ่งที่เหอเฟิงนำพามานั้นเหนือล้ำเกินกว่าพวกเขาจะรับมือและอดทนได้ไหว
“อย่าพึ่งรีบเป็นลมไป” น้ำเสียงของเหอเฟิงทั้งราบเรียบและน่ากลัว “เนื้อหาของเอกสารนี้สำหรับในจีนมีแค่เราสามคนเท่านั้นที่รู้ แล้วเราควรทำอะไรก่อนดี?”
“ฉันควรทำยังไง?” ติงซือเย้าโวยวายขึ้นมา “ฉันกำลังถาม นี้ไม่ใช่เรื่องที่เราสามารถเข้าไปแทรกแซงได้ แต่เราต้องเอามันกลับไปคืน!”
“ไม่! เอากลับไปไม่ได้!” ซางจิ่วตี้รีบคัดค้านทันทีและตอนนี้จิตใจเธอเริ่มสงบลงแล้ว แม้เธอเองก็จะทั้งช็อคและวิตกกับสิ่งที่ได้รับรู้ไม่ต่างจากติงซือเย้า แต่อย่างไรก็ตามเธอมั่นใจว่าเหอเฟิงต้องมีเหตุผลในการนำข้อมูลนี้ออกมา
“ใช่ เราเอากลับไปไม่ได้” เหอเฟิงหรี่ตา แต่เขาก็ยังไม่สามารถหาทางออกที่ดีพอได้ “การที่ข้อมูลนี้ถูกปล่อยออกมา แสดงว่าเรื่องของตระกูลที่ลึกลับนี้อาจจะเป็นที่รู้กันกว้างแล้ว พวกเขาต้องการใช้ช่องว่างนี้เพื่อหากำไรหรืออาจจะแสวงหาผลประโยชน์ เพราะฉะนั้นการจะนำกลับไปคืนนั้นเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ยิ่งโดยเฉพาะถ้าพวกทหารระดับสูงในซางจิงรู้เรื่องมันจะยิ่งเลวร้ายเข้าไปอีก ฉันกลัวว่ามันจะเป็นที่ช็อคสำหรับทุกคนไม่ต่างกับตอนเกิดการประทุโลกาวินาศขึ้น”
“ทั้งค่ายซางจิงจะตกอยู่ในวิกฤตและแม้แต่ทั้งจีนก็อาจอยู่ในโกลาหลไปด้วย” หน้าผากของซางจิ่วตี้เอ่อล้นไปด้วยหยดเหงื่อ ผลกระทบของจดหมายเข้ารหัสนี้ใหญ่เกินไปและมันก็ยากมากที่จะรับมือ
ติงซือเย้าตัวหดหลบอยู่ตรงมุมห้อง เขาร้องไห้อย่างไม่มีน้ำตา เขารู้สึกเสียใจที่น่าจะขอตัวออกไปตั้งแต่ตอนแรกก่อนที่เหอเฟิงจะพูดทุกอย่างออกมา เขาไม่อยากจะมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ ไม่อยากจะรู้เกี่ยวกับตระกูลรอธไชลด์ ตอนนี้มีพวกเขาสามคนที่รู้เรื่องราวเนื้อหาของจดหมายเข้ารหัสนี้
“ทำไมคุณไม่ตามหาชูฮันโดยตรง?” ซางจิ่วตี้ที่ตัวสั่นเอ่ยถาม เธอสบตากับเหอเฟิงด้วยความระมัดระวังเต็มที่ “คุณก็รู้ว่าเรื่องนี่มันสำคัญมากขนาดไหนและความสามารถของฉันก็มีจำกัด ฉันไม่สามารถช่วยคุณได้”
ในประเด็นที่สำคัญขนาดนี้ มีเพียงแค่ชูฮันเท่านั้นที่สามารถทำการตัดสินใจได้และมีเพียงแค่กระบวนความคิดของเขาเท่านั้นที่เหมือนกับดาบที่คอยฟาดฟันจะสามารถหาทางออกให้ทุกคนได้ นี่คือมติที่คนทั้งค่ายเขี้ยวหมาป่าต่างเห็นพ้องต้องกันหมด
“ก็เขาหายตัวไปและทีมลาดตระเวนของเราก็ไม่พบร่องรอยใดๆของเขาเลย ไม่เพียงแค่นั้นแต่กองทัพที่เขาพาไปก็ยังหายตัวไปด้วยอย่างไร้ร่องรอย คนทั้งหมด 300 คนหายไปหมด” เหอเฟิงค่อยๆพูดเปิดอธิบายอย่างช้าๆและค่อยๆเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นเรื่อยๆ “ที่สำคัญก็คือฉันมาหาคุณเพื่อขอความร่วมมือและต้องเป็นคุณเท่านั้น เพราะความสนใจของฉันและคุณนั้นมีอย่างเท่าเทียมกัน แต่ถ้าเป็นชูฮันฉันไม่สามารถรับประกันได้ว่าฉันจะทำงานร่วมกับเขาได้รอด”
เหอเฟิงเป็นคนตรงไปตรงมาจนซางจิ่วตี้ถึงกับอึ้ง ก่อนที่เธอจะทันได้คิดอะไร เหอเฟิงก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “เมื่อเดือนก่อนมีคนมากกว่ายี่สิบคนบินมาโดยใช้เฮลิคอปเตอร์ คนพวกนั้นนำข่าวบางอย่างมาให้เกี่ยวกับสิ่งที่ชูฮันทำกับค่ายซางจิง คุณเองก็ควรจะได้ยินเรื่องนี้”
ซางจิ่วตี้พยักหน้า
“เพราะงั้นฉันเลยมาหาคุณโดยตรง ถึงอย่างไรแล้วจดหมายเข้ารหัสนี้ก็ไม่ได้ระบุเวลาเจาะจงที่ตระกูลรอธไชลด์จะมาถึงจีน แต่ยังไงมันก็ทำให้เราได้มีเวลาเตรียมตัวก่อนล่วงหน้า” ขณะที่กำลังพูดจู่ๆเหอเฟิงก็มีท่าทีเปลี่ยนไป “ที่สำคัญที่สุดก็คือฉันมีลางสังหรณ์ไม่ดี”
“อะไรน่ะ? ลางสังหรณ์?” จู่ๆซางจิ่วตี้ก็รู้สึกกังวลขึ้นมา
“ถ้าฉันส่งจดหมายเข้ารหัสนี้ให้ชูฮันโดยตรง…” เหอเฟิงพูดพร้อมกับทำสีหน้าแปลกๆ “ฉันคิดว่าเขาคงพุ่งเข้ามาหาฉันและฉีกเอกสารนี่ทิ้งเป็นเศษแน่”
ซางจิ่วตี้ตกใจ “ชูฮันจะปฏิเสธที่จะร่วมมือกับคุณ?”
งั้นตอนนี้เธอควรทำอย่างไรดี?
“ฉันไม่รู้ ฉันไม่สามารถเดาความคิดของเขาได้” เหอเฟิงพูดความจริง “แม้ว่ามันจะฟังดูไร้สาระ แต่เขามักให้ความรู้สึกแปลกๆเสมอเวลาอยู่ใกล้ๆ มันเหมือนกับว่าเขาสามารถคาดเดาอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหรือการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่และเขามักจะเตรียมตัวรับมือมันไว้แล้วล่วงหน้าทั้งๆที่เรายังไม่รู้อะไรเลย”
หัวใจของซางจิ่วตี้เต้นรัว มันไม่ใช่แค่เหอเฟิงที่รู้สึกอย่างนั้น ความจริงแล้วเธอเองก็มักรู้สึกแบบนั้นอยู่บ่อยๆและมันก็เริ่มชัดเจนขึ้นทุกที