“เพราะงั้นฉันก็เลยเลือกที่จะมาหาคุณโดยตรงเพื่อขอความร่วมมือ จะว่ามันเป็นทางเลือกที่ดีกว่าก็ว่าได้” ทัศนคติของเหอเฟิงทำให้ติงซือเย้าตกใจมาก เขาไม่เคยเห็นเหอเฟิงแสดงด้านอ่อนแอออกมาให้เห็นเลย จากนั้นเหอเฟิงก็พูดต่อ “อย่างน้อยฉันก็แสดงความจริงใจให้เห็น ฉันรู้ว่าชูฮันต้องมีทางออกแต่ฉันหาตัวเขาไม่เจอ เพราะงั้นตอนนี้สถานการณ์มันเลยยุ่งยากมาก”
“ถ้าอย่างนั้น คำถามก็คือตอนนี้กัปตันจะทำอย่างไร?” ติงซือเย้ายิ่งแทบจะหน้ามืดเข้าไปเรื่อยๆและทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าเขาไม่สามารถตามสถานการณ์ได้ทัน
“ฉันมีคำถาม” ทันใดนั้นซางจิ่วตี้ก็พูดขึ้น “ตระกูลรอธไชล์ยังคงเป็นตระกูลที่ลึกลับที่สุดในโลกอยู่มั้ย?”
“ฉันไม่รู้” เหอเฟิงตอบตามจริง “ฉันไม่รู้เกี่ยวกับตระกูลลึกลับอะไรนี่มากเท่าไหร่ และฉันก็เชื่อว่าผู้บัญชาการมู๋และเลาหมิงเองก็รู้เพียงแค่เล็กน้อยเหมือนกัน สมกับที่ทุกคนเรียกว่าตระกูลลึกลับ แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้เรื่องเชิงลึกภายในของพวกเขา พวกเราทั้งหมดก็รู้เพียงแค่ข้อมูลผิวพื้นเท่านั้น”
“ทำไมอยู่ดีๆตระกูลรอธไชลด์ถึงถึงเขียนจดหมายนี่ขึ้นมาและเราก็ยังไม่รู้เลยว่าชูฮันจะกลับมาเมื่อไหร่” ติงซือเย้าพูดโพล่งขึ้นมา “ผมช่วยอะไรได้? นี้เป็นตระกูลลึกลับที่ครองโลกเศรษฐกิจมากว่าสองศตวรรษและกำลังจะมาจีน เราจะรับมือกับพวกเขายังไง? จุดประสงค์ของพวกเขาคืออะไร? แต่ก่อนจีนเคยมีคนมากที่สุดในโลกแต่ตอนนี้กลายเป็นเรามีซอมบี้มากที่สุดในโลก พวกเขาจะมาทำอะไร?”
“มันมีข้อสังเกตบางอย่างอยู่” จู่ๆเหอเฟิงก็ยิ้มมุม “มันมีตระกูลลึกลับมากมายหลายตระกูลในโลก ทำไมพวกเขาเหล่านั้นถึงไม่คิดจะมาจีนเหมือนรอธไชลด์? และในยุคโลกาวินาศเช่นนี้ตระกูลรอธไชลด์ก็ยังคงแข็งแกร่งอยู่ไม่ต่างจากเดิม พวกเขาถึงกับสามารถส่งจดหมายข้ามน้ำข้ามทะเลทรายมาถึงซางจิงทั้งๆที่ก็รู้ว่าตอนนี้มันมีซอมบี้อยู่ทั่วทุกมุมแห่ง ยิ่งการเดินทางในตอนนี้เป็นเรื่องที่ยากมากแต่พวกเขากลับส่งจดหมายมา มันใช้เวลานานเท่าไหร่กันกว่าจดหมายจะเดินทางมาถึงซางจิง? นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่?”
“พวกเขายังมีมารยาทอีกงั้นเหรอ สุดยอดมาก” ติงซือเย้าพูดอย่างชื่นชมแต่ต่อมาเขาก็ได้สติกลับมา “แต่ยิ่งทำแบบนี้ มันยิ่งดูน่าสงสัยเข้าไปอีก หรือมันมีอุปสรรคงั้นเหรอ?”
เหอเฟิงชะงักไปครู่หนึ่งจากนั้นก็เอ่ยถาม “นายเคยคิดมั้ยว่าในเมื่อพวกเขาแข็งแกร่งนัก ทำไมพวกเขาถึงต้องให้ความสนใจกับเรื่องของมารยาทในยุคโลกาวินาศแทนที่จะออกคำสั่งกับเราไปเลย?”
“เคารพจีน?” ติงซือเย้าเกาหัวพลางพูด “หรือว่ามีข้อห้ามบางอย่างอยู่?”
“กลัว? ใช่! ความกลัว! มันมีความเป็นไปได้—-” จู่ๆซางจิ่วตี้ก็นึกขึ้นได้ “จีนเองก็มีตระกูลลึกลับเหมือนกัน!”
ติงซือเย้าไม่อยากจะเชื่อ
เหอเฟิงเคาะนิ้วลงกับโต๊ะเป็นจังหวะขณะขบคิดอยู่ในหัว น้ำเสียงเขาดูไม่ได้ตกใจอะไร “มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ใช่เหรอไง?”
“อะไร? อะไรที่ชัดเจน?” ติงซือเย้ารู้สึกโง่อย่างมากที่ตัวเองไม่รู้อะไรเลยอยู่คนเดียว
“ป่ายหวีเนอ…” ซางจิ่วตี้พึมพำ “ตระกูลป่าย!”
อีกครั้งที่เหอเฟิงยิ้มมุมปาก “ความสามารถของคุณช่างโดดเด่น ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่อยากจะทำงานร่วมกับคุณ”
สองชั่วโมงต่อมา ทั้งสามต่างตกลงที่จะเริ่มขั้นตอนแรก เหอเฟิงออกไปจากห้องทำงานของซางจิ่วตี้ โดยกลับคืนสู่สภาพผู้ลี้ภัยดังเดิมอีกครั้งและติงซือเย้าที่อยู่ข้างๆเหอเฟิงก็เอาแต่คอยกวาดตารอบๆไม่หยุดพร้อมส่งเสียงกระซิบคุยกับเหอเฟิง “กัปตัน พวกเราเป็นคนดีใช่มั้ย? พวกเราเป็นฝ่ายคุณธรรมใช่มั้ย? เราไม่ได้ทำอะไรไม่ดี ใช่มั้ย? เราได้ทรยศต่อค่ายซางจิงหรือเปล่า?”
“นายจะกลัวอะไร?” เส้นเลือดบนหน้าผากของเหอเฟิงขึ้นเป็นเส้นด้วยความหงุดหงิด ทันใดนั้นเขาก็หยุดเดินและเผยสีหน้าเย็นชา “กลัวว่ามีคนจะลอบฆ่าตายเหรอไง?”
“ผมไม่ได้กลัวตาย” ทันใดนั้นติงซือเย้าก็ค่อยๆสงบอารมณ์ลง ขาของเขาไม่ได้สั่นจนจะล้มเหมือนตอนแรกแล้ว “ผมแค่ไม่เข้าใจว่าผมเป็นใคร ใครภักดีต่อใคร? และใครเป็นสมาชิกของทีมฮูหยากันแน่? ใครเป็นพันธมิตร?”
หน้าของเขาเฟิงส่องประกายแปลกๆ เขาเงียบไปครู่หนึ่งและเริ่มมีสายตาดิ่งลึก “นายรู้มั้ยว่าชูฮันทำอะไรเมื่อวันแรกของวันขึ้นปีใหม่ นายรู้มั้ยว่าชูฮันพูดคำสาบานอะไรบ้างตอนที่รับตราตำแหน่งพลเอก”
ติงซือเย้ายิ่งมีสายงุนงงกว่าเดิมเข้าไปอีก “คำสาบานของชูฮันเปลี่ยนไปงั้นเหรอ? คำสาบานของทหารระดับสูงนั้นมีเอกสารรับรองที่ซางจิงเตรียมไว้แล้วนี่นา? ถึงแม้ว่าคำสาบานตนของพลเอกกับคนสาบานตนทั่วไปจะแตกต่างกันแต่ว่าคำสาบานของพลเอกทุกคนน่าจะต้องเหมือนกันหมด”
“ชูฮันไม่ได้อ่านเอกสารรับรองพลเอกอย่างเป็นทางการ” เหมือนกับว่าเหอเฟิงสามารถมองผ่านทะลุความคิดของติงซือเย้าได้ เหอเฟิงยกเท้าขึ้นออกตัวเดินต่อไปข้างหน้า น้ำเสียงของเขานิ่งเรียบไร้อารมณ์ “เขาบอกว่าจะจงรักภักดีต่อจีนตลอดชีวิต”
ติงซือเย้าอึ้งและเกิดความช็อคขึ้นในหัวใจและร่างกายเริ่มสั่นสะท้านเพราะช็อคอย่างแรง
ภักดีต่อจีน?
โดยไม่คำนึงว่าใครจะเป็นผู้นำของซางจิง ใครจะมีตำแหน่งสูงสุดในจีน หรือใครจะมีความเกี่ยวข้องกับจีนมากน้อยแค่ไหน ประโยคของชูฮันเป็นเหมือนการชี้นำทิศทางที่ถูกต้อง
ไม่ภักดีต่อบุคคลใดทั้งนั้น เพียงแค่ภักดีต่อประเทศจีน นี้ไม่เพียงแค่แถลงการณ์แต่ยังคือเป้าหมายที่ชัดเจน
ติงซือเย้าได้สติกลับมาหลังจากผ่านไปพักใหญ่แต่เหอเฟิงก็ได้เดินห่างไปไกลแล้ว ติงซือเย้ารีบวิ่งตาให้ทันเหอเฟิงพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ยังคงแฝงไปด้วยอาการตกใจ “เข้าใจแล้วครับกัปตัน”
เหอเฟิงไม่ได้พูดอะไรตอบ เหอเฟิงเอาแต่เงียบ
“แต่ว่า” ติงซือเย้าเหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นได้ “ผมควรทำอย่างไรดีตอนนี้? อยู่ที่ค่ายเขี้ยวหมาป่าต่อไปหรือกลับไปกับกัปตัน?”
“ทำเพื่อชูฮัน” เหอเฟิงพูดขึ้นมา
“อะไรนะ?” ทันใดนั้นเสียงของติงซือเย้าก็เริ่มดังขึ้นและเพิ่มเป็นตะโกน “ผม ผม ผม? นี่ผมไม่ใช่สมาชิกของทีมฮูหยาแล้วเหรอ?”
หน้าผากของเหอเฟิงมีเส้นเลือดตึงขึ้นมา ติงซือเย้าก็พูดอะไรไม่ออกทันทีเมื่อเห็นอาการของเหอเฟิง การเป็นสมาชิกของทีมฮูหยานั้นคือถาวร แม้แต่สมาชิกที่อายุน้อยที่สุดอย่างจุ้ยชูและจุนจื่อก็ยังไม่ต่าง แล้วเขาจะออกมาทีมได้ยังไง? นี่มันเป็นเรื่องประหลาดขนาดไหนกัน?
“ฉันจะปล่อยให้นายซ่อนตัวอยู่ที่นี้ต่อไป” เหอเฟิงตะโกนใส่ติงซือเย้า “ตอนนี้ระบบการสื่อสารยังไม่ดีเท่าไหร่ ทำให้คนสามารถหายตัวไปได้อย่างง่ายดาย ภารกิจก่อนหน้านี้ของนายยังไม่ได้รับการรายงาน คนที่ซางจิงยังไม่รู้ว่านายยังมีชีวิตอยู่”
เฮ้!
ติงซือเย้ามีสีหน้าสยองและหลังจากถอนหายใจ ติงซือเย้าก็พูดขึ้น “หัวหน้า ผม? ผมรายงานกัปตันไปแล้วไม่ใช่เหรอ? หัวหน้า หัวหน้าทำให้ทุกคนคิดว่าผมตาย?”
“อืม” เหอเฟิงไม่ได้มีท่าทีรู้สึกผิดเลย “ฉันดึงข้อมูลส่วนบุคคลของนายออกไปแล้ว”
“ถ้างั้น! งั้นผม ผม ผมก็ตายไปแล้ว!?” ติงซือเย้ารู้สึกไม่อยากจะเชื่อและรู้สึกยอมรับไม่ได้
“ใช่ เพราะงั้นตอนนี้นายต้องอย่าทำตัวโดดเด่น และไม่ใช่เพียงแค่นาย” ประโยคต่อไปของเหอเฟิงทำให้ติงซือเย้าแทบล้ม “ฉันจะส่งสมาชิกของฮูหยาออกมาทั้งหมดแล้วก็รายงานว่าพวกเจาตาย จากนั้นก็ทุกคนมาเข้ากับค่ายเขี้ยวหมาป่า”