“ถ้างั้น! หัวหน้าต้องการย้ายทั้งทีมของฮูหยามาอยู่ที่ค่ายเขี้ยวหมาป่าใช่มั้ย?” ติงซือเย้าแทบจะตามความคิดของเหอเฟิงไม่ทัน “หัวหน้าไปได้ความคิดอะไรแบบนี้มาจากไหน?”
“เรียนรู้จากชูฮัน” ปากของเหอเฟิงบิดมุมปากคล้ายกับคำนวนบางอย่างอยู่ในหัว
“อะไรน่ะ? ผมไม่เข้าใจ!” ติงซือเย้ามองหน้าเหอเฟิง
“ทีมลาดตระเวนของค่ายซางจิงค้นหาทีมของชูฮันไม่เจอแต่ทีมหลงยาพบพวกเขาที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งขณะที่กลุ่มของชูฮันเผอิญขับรถผ่านสมาชิกของทีมหลงยาที่ไปปฏิบัติภารกิจเข้าพอดี มันเป็นเรื่องบังเอิญมากที่ได้เห็นชูฮันมาพร้อมกับคนอีกสามร้อยคน” รอยยิ้มของเหอเฟิงเริ่มกว้างขึ้นๆ “แน่นอนว่าฉันให้กัปตันทีมหลงยาเก็บเรื่องนี้เอาไว้ เพราะงั้นเลยไม่มีใครรู้”
ติงซือเย้ารีบเอามือตระครุบปาก สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวและเต็มไปด้วยความตกใจ ทีมฮูหยาและหลงยา…ไม่ใช่สิ่งที่เขาจินตนาการเลย?
“อีกอย่าง” ทันใดนั้นเหอเฟิงก็ถามขึ้น “ฉันได้ยินว่าหยวนซีเยเป็นแม่ของชูฮัน?”
“ใช่” ติงซือเย้าไม่เข้าใจ “ฉันได้สั่งให้นายทำรายงานภารกิจให้ฉันไปแล้วนะ ฉันพูดไปชัดเจนแล้ว…แต่ใครคือหยวนซีเย? ทำไมฉันต้องใช้สมาชิกของฮูหยาถึงสองคนเพื่อไปปฏิบัติภารกิจช่วยชีวิตเธอ แถมสหายของฉันยังต้องตายไปอีกเพราะภารกิจนี้”
“ที่ข้อมูลส่วนตัวของชูฮัน ในส่วนของพ่อแม่ระบุบางอย่างไว้” แววตาของเหอเฟิงล้ำลึกดั่งมหาสมุทร โดยไม่สนใจแววตาประหลาดใจของติงซือเย้าที่มองมา “Mensa องค์กรนี่ นายรู้จักมั้ย?”
“ผมเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเมื่อตอนที่เจอหยวนซีเยแต่ผมไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร?” ติงซือเย้าตอบตามจริง
“ก่อนหน้านี้ฉันนึกไม่ออก ฉันนึกหาความเชื่อมโยงพวกนี้ไม่ออกจนกระทั่งได้เห็นรายงานภารกิจของทีมหลงยา” เหอเฟิงพูดขณะเดินไปด้วยและมีรอยยิ้มที่ดูแฝงนัยน์บางอย่างปรากฏบนหน้า “คาดว่าคนที่เข้าไปขโมยข้อมูลที่ห้องเก็บเอกสารน่าจะเป็นชูฮัน เพราะข้อสงสัยทุกอย่างมันเข้าเค้าหมด”
ติงซือเย้ารีบเดินตามฝีเท้าของเหอเฟิงให้ทัน “กัปตัน กัปตันก็เห็นว่าอัตราการสำเร็จของภารกิจผมว่าสูงแค่ไหน กัปตันบอกผมสิ?”
เหอเฟิงเพียงแค่เหลือบตามองกลับมาโดยไม่ได้พูดอะไรนอกจากยิ้ม
———
ในเมืองหลิงเฉิง มีซอมบี้กระจายตัวอัดแน่นอยู่เต็มพื้นที่ไปหมดจนแทบไม่มีจุดว่างให้หลบซ่อน ทั้งถนนล้นไปด้วยซอมบี้เต็มไปหมด กำแพงเต็มไปด้วยรอขีดขูดและกลิ่นเหม็นเน่าของซอมบี้
กลุ่มทหารสิบหกกลุ่มเข้ามาในหลิงเฉิงที่ไม่ต่างอะไรจากสุสาน โดยแยกกันไปกลุ่มละทิศทาง มันมีเส้นทางมากมายนับไม่ถ้วนให้ไปถึงกลางเมือง ประกอบกับมีต้นไม้ยักษ์ที่เติบโตขึ้นในโลกาวินาศอย่างก้าวกระโดดคลุมเต็มพื้นที่ไปหมด ทันทีที่พวกเขาเข้ามาในเมือง พวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับเมล็ดทรายที่ตกลงไปในทะเลทราย พวกเขาเหมือนกับถูกกลืนกินไปอย่างสิ้นเชิงและทำให้ไม่มีหนทางการติดต่อระหว่างพวกเขาเลยสักนิด
สิบคนที่อยู่ในแต่ละกลุ่มทำตามระเบียบการพื้นฐานโดยเดินอย่างเงียบๆเรียงแถวหาทางเข้าไปใจกลางเมือง และในขณะเดียวกันคนที่มาใหม่ก็ถูกพวกทหารเดิมเดินบังไว้ เหล่าคนมาใหม่พยายามเรียนรู้และทำตามพฤติกรรมและระเบียบการของทหารเดิมให้ทัน
ที่ห้องมืดอับแห่งหนึ่ง มีป้ายโฆษณาขนาดใหญ่แขวนอยู่ด้านนอกของตัวบ้าน รอยเลือดเปื้อนเป็นลายทางฝังลึกไว้นานจนไม่สามารถดูได้ออกว่ามันเกิดขึ้นมานานเท่าไหร่แล้วและมีอะไรเขียนอยู่บนนั้น
พวกหนูวิ่งพล่านกรูกันเข้าไปในตัวบ้าน ตัวมันสกปรกดำและเปื้อนเลือด ดูไม่ออกว่าเป็นเลือดคนหรือเป็นเลือดซากศพที่พวกมันไปแทะกินเป็นอาหาร หนูพวกนี้มีขนาดใหญ่มาก ฟันแหลมคม ตาของมันเป็นหลุมลึกลงไปโดยไม่มีลูกตา
นี้เป็นหลุ่มหนูซอมบี้ที่กลายพันธุ์จากการกินเนื้อซอมบี้!
“ปัง!”
ประตูถูกเปิดออกโดนลูกเตะ ตามมาด้วยเสียงดังลั่น “พวกนายสามารถเข้าไปที่กลางเมืองวันพรุ่งนี้ได้ คืนนี้พักที่นี้ไปก่อน ไอ้พวกหนูนี้เป็นซอมบี้ ฆ่ามันซะ!”
พัฟ! พัฟ!
หัวของพวกมันถูกฟันขาดทันทีและถูกโยนออกไปนอกบ้าน
“ปัง!”
ตามมาด้วยเสียงปิดประตูดังปังจนประตูสั่นไปอยู่พักหนึ่ง
เกิดความเงียบขึ้นภายในตัวบ้าน คนทั้งเก้าคนเริ่มตกอยู่ในความเงียบนิ่ง หลี่บี๋เฟิงที่ยืนอยู่ต่อหน้าทุกคนมีสภาพเหงื่อโชก ทั้งเก้าคนต่างเหนื่อยล้าจนไม่อยากจะพูดอะไรทั้งนั้น
“ทำไมไม่พูดอะไร?!” ความหงุดหงิดของหลี่บี๋เฟิงถูกระบายอารมณ์ใส่คนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด “เป็นใบ้กันเหรอไง?”
นี่เป็นกลุ่มเดินทางที่ออกมากลุ่มแรก นำทีมโดยหลี่บี๋เฟิง…วิวัฒนาการระยะ 4 เพราะในทีมนี้หลี่บี๋เฟิงถือว่าแข็งแกร่งที่สุด เขาเป็นคนจัดวางทุกอย่างให้สมาชิกทั้งเก้าคน เขาทำให้ความสามารถในการต่อสู้ของทีมอยู่ในระดับสูงที่สุดและรวดเร็วที่สุด
เพราะหลี่บี๋เฟิงไล่ฆ่าซอมบี้ทุกตัวที่เจอระหว่างทางมาตลอด ส่วนคนทั้งเก้าคนได้แต่วิ่งตามหลังเขามาเรื่อยๆจนขาแทบหักเพราะตามความเร็วของหลี่บี๋เฟิงไม่ทัน หลี่บี๋เฟิงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองฆ่าซอมบี้ไปได้ทั้งหมดกี่ตัว ภาพที่เกิดขึ้นสร้างความตกใจให้แก่ทั้งเก้าคนอย่างมาก พวกเขาได้เห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของวิวัฒนาการระยะ 4 กับตาตัวเองเป็นครั้งแรก
และเป็นเพราะความสามารถที่ไม่อาจจะเทียบได้ของหลี่บี๋เฟิงทำให้ทั้งสิบคนพุ่งตรงเข้ามาที่กลางเมืองในเวลาอันรวดเร็วและลืมภารกิจที่ต้องตามหาร่องรอยของซุปเปอร์ซอมบี้ไปโดยสิ้นเชิง แต่เป็นเพราะว่าการเดินทางทั้งหมดใช้เวลาไปหมดแล้วหนึ่งวัน เพราะฉะนั้นคาดว่าพวกเขาน่าจะทำตามจุดประสงค์ของการฝึกครั้งนี้ได้ในเช้าวันพรุ่งนี้
“เราเดินทางกันมาทั้งวัน นี่เราลืมอะไรบางอย่างกันไปหรือเปล่า?” คนธรรมดาที่ถูกหลี่บี๋เฟิงตะโกนใส่พูดขึ้น “ดูเหมือนเราจะไม่ได้ตามหาร่องรองของซูปเปอร์ซอมบี้กัน?”
“อ่า!” หลี่บี๋เฟิงหันไปมอง จากนั้นก็โพล่งขึ้น “ฉันลืม…”
ทั้งเก้าคนแทบจะเป็นลมเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่บี๋เฟิง หัวหน้าคนนี้…?
“แต่ไม่เป็นไร!” หลี่บี๋เฟิงโบกมือ และพูดตามมที่คิด “ซุปเปอร์ซอมบี้คือราชาซอมบี้ที่มีพลังสูงมาก ฉันไล่ฆ่าซอมบี้มาตลอดทางจนถึงนี้แต่มันไม่การการตอบสนองอะไรจากซุปเปอร์ซอมบี้เลย ถ้ามันอยู่แถวๆนี้มันจะต้องปรากฏตัวออกมาแน่เพราะเราไล่ฆ่าพรรคพวกมันมาตลอดทาง แต่นี่มันไม่มีการตอบสนองอะไร แสดงว่ามันไม่ได้อยู่บริเวณนี้เพราะฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องตามหามันที่เส้นนี้แล้ว ตัดทิ้งไปได้เลย”
อย่างนั้นก็ได้เหรอ? บางคนตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“หรือยังไง? จะให้ย้อนกลับไปตามหาเหรอไง?!” หลี่บี๋เฟิงหันกลับไปมองทุกคน “มันไม่เป็นอะไรที่จะใช้การวิธีการตัดออก เชื่อฉันสิ!”
ในขณะเดียวกัน ตรงหน้าประตูร้านค้าที่สกปรก มันมีซากศพซอมบี้นอนกองอยู่ด้านนอกของร้านค้า หากมันมีเสียงบางอย่างที่ดังโวยวายออกมาจากด้านในร้านค้าและไม่นานหลังจากนั้น——-
“แม่ง! เสียเวลาเปล่า!” เฉินช่าวเย่แหกปากโวยวาย “ทำไมไม่มีของอะไรเลยในร้านขายเน้ือ? ฉันยังไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากไข่เนี่ย!”
ติงเซวได้แต่พยายามอดกลั้นฝืนร่างกายที่แทบจะเป็นลมอยู่แล้วเอาไว้และในขณะที่เธอกำลังจะเปิดปากพูด
“นั่นก็เพราะ นายควรจะเดินไปอีกทางอย่างที๋ฉันบอก มันมีร้านอิตาลีอยู่ตรงนั้น!” ซูเซียงหลงและเฉินช่าวเย่ถอนหายใจพรูดอย่างหงุดหงิดเพราะความหิวและกวาดตามองไปรอบๆ