กูเหลียงเฉินรู้สึกได้ถึงแค่พลังโจมตีที่แข็งแกร่ง ถ้ามันไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายต้องการรีบกำจัดอาวุธของเขาให้เร็วที่สุด คาดว่าแขนของเขาคงขาดไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นแขนของเขาก็ยังเจ็บหนักจากแรงกระแทกที่รุนแรงนั่นอยู่ดี กล้ามเนื้อของเขาเริ่มบวมเป่งและความเจ็บเริ่มแทรกซึมลงไปถึงกระดูก
เขาเงยหน้าขึ้น มองไปที่ดาบโค้งตรงหน้าด้วยความระวัง การโจมตีระดับนี้อย่างน้อยอีกฝ่ายต้องเป็นวิวัฒนาการระยะ 5
คนอื่นๆเองก็ช็อคกันหมดกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทหารผ่านศึกทั้งหลายต่างรวมตัวและยืนตั้งท่าป้องกันรอบกูเหลียงเฉินทันที
ในตอนนั้นเอง ตรงข้ามกับกลุ่มทหารผ่านศึก ดาบโค้งก็ถูกชักกลับไปในมือของอีกฝ่าย อู๋หยูเฉียงมองไปที่ผู้คนตรงหน้าเขา เขาก้าวเท้าตรงเข้ามาข้างหน้าโดยไม่สนใจสายตาของทุกคนที่มองมาและเมื่ออู๋หยูเฉียงเข้าใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น เขาก็ค่อยๆหลุบตามองต่ำลง มองไปที่เจิ้งเย้าที่ยังคงหมอบอยู่ที่พื้น
“พวกแกก็เหมือนกับผู้หญิงคนนี้นั่นแหละ มีแต่พวกขยะทั้งนั้น” อู๋หยูเฉียงทำตัวสูงส่งเหนือคนอื่นอย่างไม่คิดปิดบัง “ฉันนั่งฟังพวกแกพล่ามเรื่องไร้สาระมาได้ห้านาทีแล้ว ตั้งแต่ฟังมาฉันยังไม่เห็นว่าพวกแกคนไหนสักคนจะไม่ใช่ขยะเลย? เสียเวลาเปล่าชะมัด! เหอะ! พลเอก? ฮ่าฮ่าฮ่า!”
อู๋หยูเฉียงพูดอย่างไม่ไว้หน้ากูเหลียงเฉินหรือคนอื่นๆในสายตาเลย เพราะถึงอย่างไรเขาถือว่าตัวเขาเป็นถึงวิวัฒนาการระยะ 5 และก็มีแค่กูเหลียงเฉินที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มที่สี่นี้ซึ่งก็เป็นเพียงแค่วิวัฒนาการระยะ 3 เท่านั้น คนพวกนี้ไม่มีใครเทียบเขาได้
กูเหลียงเฉินกุมแขนที่เจ็บของเขาไว้ หัวใจของเขาเต้นรัวด้วยความกังวล ผู้ชายตรงหน้ามีบุคลิกที่แกร่งมากและการปรากฏตัวของเขาก็น่าดุดัน ไม่เหมือนกับผู้ชายคนที่พึ่งจากไปก่อนหน้านี้
“ใช่ ใช่แล้ว!” เจิ้งเย้าที่สบโอกาสก็คว้าผลประโยชน์ตรงหน้าเอาไว้ทันที เธอตะกายตัวขึ้นไปกอดขาของอู๋หยูเฉียงไว้พลางชี้นิ้วไปที่กูเหลียงเฉินและคนอื่นๆตรงข้าม “พวกมันก็ดีแต่โม้ ก็แค่กลุ่มขยะไร้ประโยชน์ นี้ต่างหากคนที่แข็งแกร่งจริงๆ คนที่ทรงพลังจริงๆได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว พวกแกเลิกเห่าได้แล้ว!”
“ออกไป!” อู๋หยูเฉียงไม่มีความสงสาร เขาใช้เท้ายันตัวเจิ้งเย้าออกไปจากตัว “อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่าแกคิดอะไรอยู่!”
อู๋หยูเฉียงได้ยินบทสนทนาก่อนหน้านั้นชัดเจน ชื่อของชูฮันในตอนนี้ใครจะไม่รู้จัก? ชื่อมันดังก้องฟ้าซะขนาดนี้ อู๋หยูเฉียงที่มักจะสนใจเกี่ยวกับอันดับของนักต่อสู้อยู่แล้วรู้ดีถึงเอกลักษณ์ของชูฮัน และในเมื่อกลุ่มคนพวกนี้เป็นหนึ่งในกองทัพของชูฮันซึ่งเป็นพลเอกที่อายุน้อยที่สุดของจีน เขา…อู๋หยูเฉียงก็ต้องใช้โอกาสนี้เพื่อเข้าหาชูฮัน เขาต้องกั้นอีกฝ่ายไม่ให้ฆ่าได้อย่างง่ายๆ
อย่างไรก็ตาม การไม่ฆ่าไม่ได้หมายความว่าอีนี่จะทำอะไรตามใจชอบได้
เมื่อนึกได้เช่นนั้น อู๋หยูเฉียงก็ยื่นเท้าออกไปเขี่ยคางของเจิ้งเย้าด้วยท่าทางเหยียดหยามอย่างมาก พลางเบนหน้าหันไปพูดกับกูเหลียงเฉิน “มีคนต้องโทษประหารให้ฆ่า พวกกลุ่มขยะพวกนี้ไม่มีแม้แต่ความเมตตาให้กับผู้หญิงเลย น่าสนใจนี่งั้นก็เอาขยะที่พวกแกไม่ต้องการมาให้ฉันใช้ประโยชน์น่าจะดีกว่าเพราะฉันไม่ได้สัมผัสผู้หญิงมาหลายวันแล้ว!”
ตาของเจิ้งเย้าเป็นประกาย “ฉันสัญญา—-“
พั้วะ! ภาพตัดอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครมองตามทัน คำพูดของเจิ้งเย้ายังไม่ทันจบประโยคดี เธอถูกอู๋หยูเฉียงกระฉากตัวขึ้นมา ทุกคนยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง อู๋หยูเฉียงก็พลันหายตัวไปอย่างว่องไวในอากาศ
กูเหลียงเฉิงคิ้วกระตุก “นี่เป็นปัญหาใหญ่แล้ว”
“ปัญหาอะไร? แต่ถึงยังไงเจิ้งเย้าก็ไม่ใช่สมาชิกของกลุ่มเราแล้ว เราไม่เห็นจำเป็นต้องเป็นกังวลอะไรเกี่ยวกับเธอ” บางคนไม่เข้าใจว่าทำไมกูเหลียงเฉินต้องเป็นกังวล ทั้งยังแววตาของหลี่ชวนที่แฝงไปด้วยความกลัวขณะมองตามอู๋หยูเฉียงที่หายไป “คนไหนแข็งแกร่งกว่ากัน คนนี้หรือคนก่อนหน้านี้? พวกเรารวมกันสู้น่าจะมีสิทธิ!”
“ฉันไม่สามารถบอกความแตกต่างระหว่างสองคนนั้นได้ อีกอย่างพลังของฉันนั้นสูงกว่าระยะวิวัฒนาการของฉันเยอะ” กูเหลียงเฉินส่ายหัวและถอนหายใจ
ทหารผ่านศึกหลายคนเริ่มคิดวิเคราะห์
“เรื่องมันก็จบไปแล้ว เราเริ่มค้นหาร่องรอยซุปเปอร์ซอมบี้ต่อไปแต่เร่งความเร็วขึ้น ตอนนี้มีนักต่อสู้ระดับสูงสองคนอยู่ในหลิงเฉิงแล้ว นี้มันไม่ใช่แล้ว!”
“ใช่ เราจำเป็นต้องเร่งความคืบหน้าขึ้นและไปให้ถึงจุดนัดพบให้ไวที่สุด!”
“อืม เราจำเป็นต้องรายงานสถานการณ์ต่อท่านพลเอก”
ยืนอยู่ห่างออกไป ซูเฟิงยืนดูอยู่พร้อมกับเอามือเตะคางอย่างใช้ความคิด ตอนนี้เขากำลังคิดว่าเขาจำเป็นต้องสู้กลับ เขารู้ว่าอีกฝ่ายพึ่งจับตัวผู้หญิงและจากไปแถมมันเป็นการกระทำที่ฉลาดมาก
———
ครึ่งวันต่อมาบนทางเดินที่มืดมิด อู๋หยูเฉียงคิดว่าบริเวณนี้น่าจะไม่มีใครอยู่ เขาใช้เท้าเตะประตูให้เปิดออกจากนั้นก็โยนเจิ้งเย้าในมือลงไปที่พื้น
เจิ้งเย้าที่ถูกปฏิบัติไม่ต่างกับกระสอบทราบที่ถูกหิ้วโยนไปมาสำลักออกมาเป็นเลือด เธอนอนอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยคราบสกปรกเต็มไปหมด มันมีทั้งเลือดเหม็นเน่าและเศษชิ้นส่วนที่น่าขยะแขงกระจายอยู่ไปทั่วห้อง
แววตาของเจิ้งเย้าวาวด้วยความขุ่นเคือง เธอเจอกับกลุ่มคนโง่ๆที่ไม่สนใจเธอจริงจัง และตอนนี้คนที่เธอกอดขาเพราะคิดว่าเป็นทางออกกลับทำกับเธอเหมือนขยะ
อู๋หยูเฉียงไม่ให้เกียรติเจิ้งเย้าเลยสักนิด น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยการกดดัน ข่มขู่และคุกคาม “ฉันจะถามคำถามแกและแกควรจะตอบมาตามจริง ไม่อย่างนั้นแกก็รู้ว่าในห้องนี้เต็มไปด้วยสัตว์เลื้อยคลานเต็มไปหมด ฉันจะขังแกไว้ในนี้และไม่ช้าก็เร็วแกก็จะเหลือแต่ซากกระดูกที่เน่าเปื่อย”
สัตว์ทั้งหลายในโลกาวินาศถูกจำแนกออกเป็นสองสายพันธุ์ พวกสัตว์ที่กลายพันธุ์ทางพันธุกรรมเป็นบ้าคลั่ง คล้ายกับมนุษย์ที่กลายเป็นมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ ส่วนอีกประเภทก็คือพวกที่รับไวรัสที่ไม่รู้จักเข้าไปในร่างเหมือนซอมบี้และก็กลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ซอมบี้ ที่เนื้อสดๆคือของโปรดปราน เลือดทำให้มีฤทธิ์คลั่งและต้องการ
ยกเว้นสัตว์ป่าที่มักไม่ค่อยพบเจอกับซอมบี้ซึ่งอยู่ในป่าทึบ สัตว์ในเมืองอย่างพวกหนู แมลง แมว หมา พวกมันส่วนใหญ่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบของซอมบี้จำนวนมหาศาลได้ พวกมันจึงกลายพันธุ์เป็นซอมบี้กันหมด
สัตว์เลื้อยคลานที่ซึ่งตอนนี้อยู่ในห้องนี้คือหนอนที่มีไวรัสซอมบี้อยู่ในร่าง เมื่อคนธรรมดาถูกพวกมันกัด คนคนนั้นจะติดเชื้อทันทีไม่ต่างจากถูกซอมบี้กัด พวกสัตว์เลื้อยคลานพวกนี้เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมาก อาจดูไม่น่ากลัวแต่พวกมันมีจำนวนมหาศาลอยู่ภายในตัวเมืองและอันตรายที่เกิดจากมันนั้นรวดเร็วและไม่สามารถประมาทได้เลย
นี่เป็นเหตุผลข้อที่สองที่ทำให้ค่ายทั้งหลายเลือกที่จะตั้งอยู่ห่างจากตัวเมือง นอกเหนือจากเหตุผลที่ตัวเมืองมีซอมบี้อยู่เป็นจำนวนมาก
“อย่า ฉันไม่กล้า ไม่กล้า” เจิ้งเย้ารีบอ้าปากตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้งทันที เผยให้อู๋หยูเฉียงเห็นฟันที่เหลืองอ๋อยสกปรก
และในขณะเดียวกัน แววตาของเจิ้งเย้าก็เผยความกลัวที่แสดงให้เห็นถึงคนขี้ขลาด พวกสัตว์เลื้อยคลานบนพื้น…แม้แต่เจิ้งเย้าก็ยังสามารถได้ยินเสียงเคี้ยวที่น่าขยะแขงของพวกหนอนพวกนี้ชัดเจน พวกมันค่อยกลืนกินเนื้อมนุษย์จากกระดูกอย่างรวดเร็ว
อู๋หยูเฉียงไม่มีความรังเกียจบนสีหน้าเขาเลยสักนิด เขาพูดขึ้นอย่างเย็นชา “พวกแกเป็นทหารหนิ รู้จักพลโทเหอซางมั้ย?”